ในการสัมมนาหัวข้อ "ทางรอดในยุควิกฤติเศรษฐกิจ" จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า หลังจากที่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ มีความชัดเจนมากขึ้น โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการประเมินเบื้องต้น แม้อายุของรัฐบาลใหม่จะอยู่ไม่นานนัก เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจนำไปสู่การยุบสภาและคดียุบพรรคพลังประชาชนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต อาจส่งผลให้รัฐบาลชุดใหม่มีข้อจำกัดในการผลักดันนโยบายทางด้านการคลัง
อย่างไรก็ตาม นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แม้รัฐบาลชุดใหม่จะมีอายุไม่นานนัก แต่จำเป็นต้องมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ออกมา เช่น มาตรการลดภาษี อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ เช่น เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม การให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ โดยการออกพันบัตรในตลาด และการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.5 เพื่อกระตุ้นการลงทุน ซึ่งในเบื้องต้น หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ต้องสร้างความเชื่อมั่นในการสรรหาบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันในระยะยาวก็ควรมีการปรับโครงสร้างการเมือง โดยการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากความเห็นของทุกภาคส่วนในสังคม มีการปฏิรูปการเมือง เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพมากขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน โครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ แต่เปลี่ยนแนวทางไปให้เอกชน เป็นผู้รับสัมปทานก่อสร้างและบริหาร โดยรัฐบาลทำหน้าที่กำกับให้โครงการโปร่งใสเท่านั้น โดยแนวทางดังกล่าว จะช่วยให้โครงการดังกล่าวไม่ผูกติดกับปัญหาการเมืองจนล่าช้าเหมือนช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายอนุสรณ์ กล่าวว่า แม้รัฐบาลชุดใหม่จะมีอายุไม่นานนัก แต่จำเป็นต้องมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ออกมา เช่น มาตรการลดภาษี อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ เช่น เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม การให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ โดยการออกพันบัตรในตลาด และการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.5 เพื่อกระตุ้นการลงทุน ซึ่งในเบื้องต้น หลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ต้องสร้างความเชื่อมั่นในการสรรหาบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันในระยะยาวก็ควรมีการปรับโครงสร้างการเมือง โดยการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากความเห็นของทุกภาคส่วนในสังคม มีการปฏิรูปการเมือง เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพมากขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน โครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ แต่เปลี่ยนแนวทางไปให้เอกชน เป็นผู้รับสัมปทานก่อสร้างและบริหาร โดยรัฐบาลทำหน้าที่กำกับให้โครงการโปร่งใสเท่านั้น โดยแนวทางดังกล่าว จะช่วยให้โครงการดังกล่าวไม่ผูกติดกับปัญหาการเมืองจนล่าช้าเหมือนช่วงที่ผ่านมา