พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน แสดงความประหลาดใจกับทีวีไทยถึงกรณีที่มีข่าวว่า อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ โดยยอมรับว่า เป็นเพื่อนสนิทกับ พล.ต.จำลอง แต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องแนวทางการต่อสู้ ซึ่ง พล.ต.จำลอง จะเน้นในเรื่องสันติวิธี และอหิงสาในการต่อสู้ ที่ต้องใช้เวลาและความอดทน ส่วนตนมีความอดทนน้อยกว่า
นอกจากนี้ พล.อ.พัลลภ กล่าวต่อไปว่า ทั้ง พล.ต.จำลอง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ต้องไปปรึกษาใคร ในเรื่องการต่อสู้ทางการเมือง และ พล.ต.จำลองก้ไม่เคยมาปรึกษาด้วย แต่ก็แปลกใจเหมือนกันที่มีข่าวว่า อยู่เบื้องหลังการก่อความวุ่นวาย เพราะหากเขาอยู่เบื้องหลังคงไม่ชุมนุมยืดเยื้อมาร่วม 3 เดือนอย่างแน่นอน เพราะไม่มีความอดทนขนาดนั้น ซึ่งตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยไปร่วมชุมนุมด้วยแม้แต่ครั้งเดียว
พล.อ.พัลลภ กล่าวเตือน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ระมัดระวังอย่ารับใช้การเมือง ในการตั้งข้อหากบฏกับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นข้อหาเดียวกับที่เขาเคยได้รับเมื่อครั้งร่วมยึดอำนาจในเหตุการณ์ เมษาฮาวาย ระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน พ.ศ.2524 โดยกล่าวว่า การตั้งข้อหากบฏเป็นข้อหาที่รุนแรงมาก ซึ่งหมายถึงการใช้กำลังยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาล แต่สิ่งที่พันธมิตรฯ ทำตลอดช่วงที่ผ่านมา คือกดดันให้รัฐบาลลาออก ด้วยการชุมนุมกดดันทางการเมืองอย่างสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และเกรงว่าหากมีการจับกุมด้วยข้อนี้ เชื่อว่าจะทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไป
พล.อ.พัลลภ ยังกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ไม่ควรแอบอ้างเบื้องสูง หรือการพูดจาที่ทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่มีความรุนแรงอะไร และไม่เชื่อว่าหากมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2535 ว่า สถานการณ์รุนแรงจนกลายเป็นจุดจบของรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร หลังประกาศภาวะฉุกเฉิน ยื่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
นอกจากนี้ พล.อ.พัลลภ กล่าวต่อไปว่า ทั้ง พล.ต.จำลอง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ต้องไปปรึกษาใคร ในเรื่องการต่อสู้ทางการเมือง และ พล.ต.จำลองก้ไม่เคยมาปรึกษาด้วย แต่ก็แปลกใจเหมือนกันที่มีข่าวว่า อยู่เบื้องหลังการก่อความวุ่นวาย เพราะหากเขาอยู่เบื้องหลังคงไม่ชุมนุมยืดเยื้อมาร่วม 3 เดือนอย่างแน่นอน เพราะไม่มีความอดทนขนาดนั้น ซึ่งตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยไปร่วมชุมนุมด้วยแม้แต่ครั้งเดียว
พล.อ.พัลลภ กล่าวเตือน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ระมัดระวังอย่ารับใช้การเมือง ในการตั้งข้อหากบฏกับแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นข้อหาเดียวกับที่เขาเคยได้รับเมื่อครั้งร่วมยึดอำนาจในเหตุการณ์ เมษาฮาวาย ระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน พ.ศ.2524 โดยกล่าวว่า การตั้งข้อหากบฏเป็นข้อหาที่รุนแรงมาก ซึ่งหมายถึงการใช้กำลังยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาล แต่สิ่งที่พันธมิตรฯ ทำตลอดช่วงที่ผ่านมา คือกดดันให้รัฐบาลลาออก ด้วยการชุมนุมกดดันทางการเมืองอย่างสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และเกรงว่าหากมีการจับกุมด้วยข้อนี้ เชื่อว่าจะทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไป
พล.อ.พัลลภ ยังกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ไม่ควรแอบอ้างเบื้องสูง หรือการพูดจาที่ทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่มีความรุนแรงอะไร และไม่เชื่อว่าหากมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2535 ว่า สถานการณ์รุนแรงจนกลายเป็นจุดจบของรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร หลังประกาศภาวะฉุกเฉิน ยื่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง