นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของรัฐบาล จะนำผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มาร่วมประกอบการพิจารณาด้วย เนื่องจากช่วงที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปผลการศึกษาครบ 60 วัน ในวันที่ 18 สิงหาคม ซึ่งจะตรงกับเวลาที่รัฐบาล และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ คปพร. เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้ามาเช่นกัน อีกทั้งการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ วานนี้ (15 ก.ค.) ยังได้ข้อสรุปตรงกันว่า จำเป็นต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 190 การทำสนธิสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา มาตรา 237 การยุบพรรคหากกรรมการบริหารพรรคทำผิดหรือรู้เห็นการกระทำ มาตรา 265 (2) การที่ ส.ส.และ ส.ว.ถือหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐ มาตรา 266 ส.ส.ต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายทั้งทางตรง และทางอ้อมกับหน่วยงานราชการ ส่วนมาตรา 309 จะคงไว้หรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.ได้หมดวาระและโอนงานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.แล้ว
ส่วนที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชน จะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเพิ่มขึ้นนั้น นายสามารถ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามสร้างความสมานฉันท์ด้วยการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษา แต่ปัญหาการเมืองก็ไม่ได้ลดน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่เคลื่อนไหวน่าจะมีวาระซ่อนเร้น
ส่วนที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชน จะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเพิ่มขึ้นนั้น นายสามารถ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามสร้างความสมานฉันท์ด้วยการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษา แต่ปัญหาการเมืองก็ไม่ได้ลดน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่เคลื่อนไหวน่าจะมีวาระซ่อนเร้น
