ประธานวิปรัฐ ยัน กมธ.วิสามัญศึกษาแก้ รธน.แล้วเสร็จ 18 ส.ค.นี้ พร้อมเสนอร่างประกบฉบับรัฐบาลและฉบับหมอเหวง อ้างที่ประชุมมีความเห็นพ้องแก้ ม.190 ม.237 พ่วงแก้ ม.365(2) ปลดล็อกนักการเมืองถือหุ้นของเอกชนที่มีสัมปทานกับรัฐ และ ม.66 เปิดช่อง ส.ส.-ส.ว.ก้าวก่าย ขรก.ได้
วันนี้ (16 ก.ค.) ที่รัฐสภา นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของรัฐบาลจะนำผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้เพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาประกอบการพิจารณาด้วย โดยจะมีการสรุปผลในวันที่ 18 ส.ค.ซึ่งก็จะตรงกับที่รัฐบาล และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ คปพร.(กลุ่ม นปก.เดิม นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ) เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาพอดี
นายสามารถ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ วานนี้ (15 ก.ค.) ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า รัฐธรรมนูญปี 50 มีหลายมาตราที่จะต้องแก้ไข เช่น มาตรา 190 มาตรา 237 มาตรา 265(2) เรื่องที่ ส.ส.และ ส.ว.ถือหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐ และมาตรา 266 ส.ส.ต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมกับหน่วยงานราชการ ส่วนมาตรา 309 จะคงไว้หรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะขณะนี้ คตส.ได้หมดวาระและโอนงานให้ ป.ป.ช.แล้ว
นายสามารถ กล่าวอีกว่า มีหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนจะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเพิ่มขึ้นนั้น จะแก้หรือไม่แก้ ก็มีความขัดแย้งอยู่แล้ว รัฐบาลเองได้พยายามสร้างความสมานฉันท์ด้วยการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษา แต่ปัญหาการเมืองก็ไม่ได้ลดน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่เคลื่อนไหวน่าจะมีวาระซ่อนเร้นมากกว่า