ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง พิพากษาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.เชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 จำนวน 1 คนใหม่ ตามบทบัญญัติมาตรา 111 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่ง และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.เชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่จำนวน 1 คน แทนนางสาวละออง ติยะไพรัช
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีเหตุควรเชื่อได้ว่านายยงยุทธ เชิญกำนันทั้ง 10 คน เพื่อหารือและช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชน จ.เชียงราย เชื่อว่ามีการให้เงินกันจริง และคาดหวังจะให้กำนันใช้อำนาจหน้าที่เพื่อช่วยเหลือในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และแม้ว่านายยงยุทธ จะเป็น ส.ส.ระบบสัดส่วน แต่การกระทำผิดนั้นส่งผลต่อการเลือกตั้ง ทำให้ไม่สุจริต ยุติธรรม
ส่วนกรณีที่ น.ส.ละออง อ้างว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดด้วยตัวเอง แต่เมื่อผู้อื่นกระทำให้เป็นการแทน เพื่อจูงใจให้เกิดความไม่สุจริต จึงถือว่าคำร้องคัดค้านนั้นฟังไม่ขึ้น และทั้งหมดมีการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 และการกระทำดังกล่าวมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน จ.เชียงราย มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจะส่งคำพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ และปิดประกาศคำพิพากษาต่อไป แต่ในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการสอบเรื่องนี้ว่าเข้าข่ายต้องยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 237 หรือไม่ โดยต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีเหตุควรเชื่อได้ว่านายยงยุทธ เชิญกำนันทั้ง 10 คน เพื่อหารือและช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชน จ.เชียงราย เชื่อว่ามีการให้เงินกันจริง และคาดหวังจะให้กำนันใช้อำนาจหน้าที่เพื่อช่วยเหลือในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และแม้ว่านายยงยุทธ จะเป็น ส.ส.ระบบสัดส่วน แต่การกระทำผิดนั้นส่งผลต่อการเลือกตั้ง ทำให้ไม่สุจริต ยุติธรรม
ส่วนกรณีที่ น.ส.ละออง อ้างว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดด้วยตัวเอง แต่เมื่อผู้อื่นกระทำให้เป็นการแทน เพื่อจูงใจให้เกิดความไม่สุจริต จึงถือว่าคำร้องคัดค้านนั้นฟังไม่ขึ้น และทั้งหมดมีการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 และการกระทำดังกล่าวมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน จ.เชียงราย มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจะส่งคำพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ และปิดประกาศคำพิพากษาต่อไป แต่ในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการสอบเรื่องนี้ว่าเข้าข่ายต้องยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 237 หรือไม่ โดยต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย
