นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรับมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวผ่านรายการสนทนาประสาสมัคร โดยอธิบายเรื่องการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชา ที่มีส่วนพื้นที่ทับซ้อนของไทย และมีผู้ออกมาเรียกร้องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่กลัวว่าไทยจะเสียดินแดน ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการปลุกกระดมทางความคิดจนเกินเหตุ ตนต้องขออธิบายให้ชัดเจน ว่า เรื่องเขาพระวิหารนั้น ศาลโลกตัดสินให้ไทยแพ้คดีและให้ดินแดนเขาพระวิหารตกเป็นของประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ดังนั้น พื้นที่ตามเส้นแผนที่ที่ขีดไปเมื่อ 40-50 ปีนั้น ยังไงก็ต้องเป็นของกัมพูชา แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาก็หากินร่วมกัน มีผลประโยชน์ร่วมกันไม่มีปัญหาอะไร
นายสมัคร กล่าวต่อว่า แต่เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลกัมพูชา ต้องการที่จะเอาเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยยื่นเรื่องไปกับทางยูเนสโก ทีนี้ เมื่อประเทศไทยมีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ทางบริเวณทางขึ้นปราสาทก็ต้องทำการทักท้วง ก็ได้ไปเจรจากันที่กรุงปรารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจกัน จึงได้ข้อตกลงว่า ไทยทักท้วงสำเร็จ กัมพูชาสามารถขอขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น เพราะเป็นของเขา พื้นที่ของเขา ขอบเขตเท่านั้น เราก็ตกลง ส่วนพื้นที่ พื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดไม่มีการเจรจา ส่วนที่มีสิ่งปลูกสร้างอยุ่บนพื้นที่ทับซ้อนนั้น ภายใน 2 ปี ก็ต้องทำการจัดการให้หมด ก็แปลว่า ไทยไม่มีการเสียดินใดๆ ทั้งสิ้น
นายสมัคร กล่าวต่อว่า แต่เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลกัมพูชา ต้องการที่จะเอาเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยยื่นเรื่องไปกับทางยูเนสโก ทีนี้ เมื่อประเทศไทยมีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ทางบริเวณทางขึ้นปราสาทก็ต้องทำการทักท้วง ก็ได้ไปเจรจากันที่กรุงปรารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจกัน จึงได้ข้อตกลงว่า ไทยทักท้วงสำเร็จ กัมพูชาสามารถขอขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น เพราะเป็นของเขา พื้นที่ของเขา ขอบเขตเท่านั้น เราก็ตกลง ส่วนพื้นที่ พื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดไม่มีการเจรจา ส่วนที่มีสิ่งปลูกสร้างอยุ่บนพื้นที่ทับซ้อนนั้น ภายใน 2 ปี ก็ต้องทำการจัดการให้หมด ก็แปลว่า ไทยไม่มีการเสียดินใดๆ ทั้งสิ้น