นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลและแนวทางการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยชี้แจงนโยบายในภาพรวมเพื่อแสดงให้ประชาชน และทุกฝ่ายเห็นว่านโยบายที่เคยใช้ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งจะสามารถนำมาปฏิบัติได้หรือไม่ ดังนั้นจึงอยากเห็นการนำนโยบายดังกล่าวเดินหน้าต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของระบบขนส่งมวลชนทั้ง 9 เส้นทาง นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญที่ต้องเร่งรีบดำเนินการที่จะขยายเส้นทางจากส่วนกลางของกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดรอบนอก เช่น สมุทรปราการ นครปฐม นครนายก ปทุมธานี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดยจะต้องดำเนินการก่อสร้างไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดโครงข่ายระบบขนส่งที่สมบูรณ์ โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี การก่อสร้างจะแล้วเสร็จให้ประชาชนใช้บริการ
นอกจากนี้ ยังได้ย้ำถึงการที่ภาครัฐจะเข้าไปถือหุ้นของบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือบีทีเอส เพื่อประโยชน์ในการขยายเส้นทาง ซึ่งดำเนินการได้ด้วยวิธีที่กระทรวงการคลัง จะเข้าไปซื้อหุ้นคืนจากเจ้าหนี้ของบีทีเอสในต่างประเทศ ให้ได้ครบ 89 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะไม่กระทบสัมปทานที่ กทม.เป็นเจ้าของ และการบริการเดินรถที่บีทีเอส เป็นเจ้าของอยู่ ส่วนเงินลงทุนระบบรถไฟฟ้าทั้ง 9 เส้นทางนี้ มั่นใจว่ากระทรวงการคลัง สามารถรับไปดำเนินการได้ ซึ่งนอกจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือเจบิกแล้ว ยังสามารถออกพันธบัตรในประเทศระดมเงินทุนได้ไม่น้อยกว่า 300,000-500,000 บาท โดยสามารถให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรร้อยละ 4-5 เชื่อว่าจะมีผู้ออมเงินในประเทศซื้อพันธบัตรเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ และจะขยายขนาดของรางขนาด 1 เมตร เป็นขนาดแสตนดาร์ดเกจ (Standard Guage) ซึ่งจะช่วยให้การบริการของรถไฟไทยเพิ่มความเร็วเหมือนประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ ในส่วนของระบบขนส่งมวลชนทั้ง 9 เส้นทาง นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญที่ต้องเร่งรีบดำเนินการที่จะขยายเส้นทางจากส่วนกลางของกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดรอบนอก เช่น สมุทรปราการ นครปฐม นครนายก ปทุมธานี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน โดยจะต้องดำเนินการก่อสร้างไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดโครงข่ายระบบขนส่งที่สมบูรณ์ โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี การก่อสร้างจะแล้วเสร็จให้ประชาชนใช้บริการ
นอกจากนี้ ยังได้ย้ำถึงการที่ภาครัฐจะเข้าไปถือหุ้นของบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือบีทีเอส เพื่อประโยชน์ในการขยายเส้นทาง ซึ่งดำเนินการได้ด้วยวิธีที่กระทรวงการคลัง จะเข้าไปซื้อหุ้นคืนจากเจ้าหนี้ของบีทีเอสในต่างประเทศ ให้ได้ครบ 89 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะไม่กระทบสัมปทานที่ กทม.เป็นเจ้าของ และการบริการเดินรถที่บีทีเอส เป็นเจ้าของอยู่ ส่วนเงินลงทุนระบบรถไฟฟ้าทั้ง 9 เส้นทางนี้ มั่นใจว่ากระทรวงการคลัง สามารถรับไปดำเนินการได้ ซึ่งนอกจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือเจบิกแล้ว ยังสามารถออกพันธบัตรในประเทศระดมเงินทุนได้ไม่น้อยกว่า 300,000-500,000 บาท โดยสามารถให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรร้อยละ 4-5 เชื่อว่าจะมีผู้ออมเงินในประเทศซื้อพันธบัตรเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ และจะขยายขนาดของรางขนาด 1 เมตร เป็นขนาดแสตนดาร์ดเกจ (Standard Guage) ซึ่งจะช่วยให้การบริการของรถไฟไทยเพิ่มความเร็วเหมือนประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
