นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้เงินจากกองทุนหมู่บ้านเพิ่มเติม 80,000 ล้านบาท และเงินจากโครงการเอสเอ็มแอล ซึ่งเดิมคือโครงการอยู่ดีมีสุขจากรัฐบาลที่ผ่านมาวงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า โดยมั่นใจว่าเม็ดเงินจะเข้าสู่รากหญ้าภายในปีนี้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชนบทและเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งจะดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน เหมือนเดิม และเมื่อมีการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าแล้ว จะมีการหมุนเวียนสร้างอาชีพ และฟื้นกลับคืนสู่เศรษฐกิจภาพรวมได้
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังกล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่า จะให้ความสำคัญในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล รถไฟรางคู่ การพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ โดยได้หารือร่วมกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อสร้างระบบรางเข้าถึงพื้นที่กระจายสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งจะขอเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในหลายจังหวัดที่มีศักยภาพมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจะต้องมีระบบรางเข้าถึง เพื่อลดต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีแนวคิดปรับโครงสร้างการบริหารจัดการอ้อย จากเดิมบางส่วนใช้เพื่อการส่งออก จะเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนเพื่อใช้ในประเทศแทน เพราะปัจจุบันจำเป็นต้องใช้พืชพลังงานจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าหากนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนและมีกำไรจะดีกว่าการส่งออกไปขายต่างประเทศ
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังกล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่า จะให้ความสำคัญในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล รถไฟรางคู่ การพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ โดยได้หารือร่วมกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อสร้างระบบรางเข้าถึงพื้นที่กระจายสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งจะขอเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในหลายจังหวัดที่มีศักยภาพมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจะต้องมีระบบรางเข้าถึง เพื่อลดต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีแนวคิดปรับโครงสร้างการบริหารจัดการอ้อย จากเดิมบางส่วนใช้เพื่อการส่งออก จะเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนเพื่อใช้ในประเทศแทน เพราะปัจจุบันจำเป็นต้องใช้พืชพลังงานจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าหากนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนและมีกำไรจะดีกว่าการส่งออกไปขายต่างประเทศ
