นายชัยนันท์ อุโฆษกุล ประธานคณะอนุกรรมการการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ และขณะนี้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออกขนาดกลางและย่อม ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทมากที่สุด ขาดความเชื่อมั่น จึงได้เทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ออกมามาก ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีออกมาขอให้ผู้ส่งออกหยุดเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงไม่เป็นผล ทางเดียวที่จะช่วยชะลอการเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คือรัฐบาลต้องเร่งหามาตรการในการสร้างความเชื่อมั่นให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทในปีนี้อาจจะแข็งค่าถึง 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษกกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก และหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศปรับลดดอกเบี้ยลงอีก จะยิ่งกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องหาวิธีบริหารจัดการการไหลเข้า-ออก ของเงินทุนให้เหมาะสม
ทางด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า การส่งออกปีนี้จะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 12.82 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน 18.09 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัญหาซับไพรม์ และราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันดีเซลจะสูงขึ้นอีก 13.9 เปอร์เซ็นต์ และเบนซินสูงขึ้น 11.9 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ ยังเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.13 - 33.14 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทในปีนี้อาจจะแข็งค่าถึง 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษกกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก และหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศปรับลดดอกเบี้ยลงอีก จะยิ่งกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องหาวิธีบริหารจัดการการไหลเข้า-ออก ของเงินทุนให้เหมาะสม
ทางด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า การส่งออกปีนี้จะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 12.82 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน 18.09 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัญหาซับไพรม์ และราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันดีเซลจะสูงขึ้นอีก 13.9 เปอร์เซ็นต์ และเบนซินสูงขึ้น 11.9 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ ยังเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.13 - 33.14 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ