พาไปสัมผัสกับ 5 หน้ากาล อันน่าทึ่งบนทับหลังของปราสาทหินในบ้านเรา ซึ่งแม้บางชิ้นจะมีลักษณะอันโดดเด่นเป็นหนึ่งเดียวในเมืองไทยและในโลก แต่ว่าก็ไม่สามารถนำไปเคลมว่าเป็นบรรพบุรุษของ “ลาบูบู้” ที่กำลังฟีเวอร์ได้ด้วยประการทั้งปวง
พลันที่ “ลิซ่า” โพสต์ภาพคู่กับน้อง “ลาบูบู้” หลังจากนั้นเพียงชั่วข้ามคืน ได้เกิดกระแส ”ลาบูบู้ฟีเวอร์” ขึ้นในเมืองไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก
สำหรับลาบูบู้ (LABUBU) เป็นหนึ่งในจักรวาล “The Monsters” จากอาณาจักร POP MART ที่ถือกำเนิดโดย “คาซิง ลุง” (Kasing Lung) ศิลปินชาวฮ่องกง ผู้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายยุโรป และนำมาผสมผสานกับเรื่องราวของเอลฟ์ จนกลายเป็นอาร์ตทอยสุดน่ารัก
หลังลิซ่าสร้างกระแสสุดฟีเวอร์ นอกจากจะทำให้ลาบูบู้ขายดีถล่มทลายจนหมดเกลี้ยงขาดตลาดในหลาย ๆ ที่แล้ว ยังเกิดการเคลมน้องลาบูบู้จนกลายเป็นไวรัลจากชาวเน็ตประเทศเพื่อนบ้าน ว่า...ลาบูบู้นั้นมาจากภาพสลักหน้ากาลที่ปรากฏบนปราสาทหินในประเทศของเขา แถมชาวเน็ตเพื่อนบ้านบางคนระบุชัดลงไปเลยว่ามาจากหน้ากาลของ “ปราสาทบันทายศรี” ที่ขึ้นชื่อในเรื่องภาพสลักหินอันประณีตวิจิตร
ดังนั้นเราจึงขอพาไปรู้จักกับหน้ากาล ที่เป็นส่วนหนึ่งของงานสถาปัตยกรรมศาสนสถานโดยเฉพาะปราสาทหินต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ คนคงคุ้นหน้าคุ้นตากับตัวหน้ากาลกันมาบ้างไม่มากก็น้อย
“หน้ากาล” (Kala face) หรือ “เกียรติมุข” หรือ “สิงหมุข” มาจากความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีลักษณะเป็นรูปหน้ายักษ์ผสมสิงห์ที่มีแต่ใบหน้าไม่มีลำตัว มีหน้าตาดุร้าย นัยน์ตาถลนโปน คิ้วขมวด จมูกใหญ่ ปากกว้างมีฟันบนโผล่ออกมา มีแขนออกมาจากด้านข้างของศีรษะที่สวมเครื่องประดับ
หน้ากาล คือ ผู้ที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งแม้แต่ตัวเอง เปรียบดังกาลเวลาที่กลืนกินทุกอย่าง นอกจากนี้ กาล (กาละ) ยังเป็นชื่อหนึ่งของ “พระยม” ผู้พิพากษาคนตายในอาถรรพเวทของศาสนาฮินดูอีกด้วย
ความเชื่อเรื่องหน้ากาลปรากฏในหลายประเทศของไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย รวมไปถึงในประเทศจีน ส่วนในประเทศไทยมีหลักฐานว่าพบงานศิลปกรรมหน้ากาลมาตั้งแต่สมัยทวารวดี
คนสมัยก่อนมีความเชื่อว่า หน้ากาลคือผู้ปกป้องดูแลรักษามิให้สิ่งชั่วร้ายเข้าไปภายในศาสนสถาน ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างลวดลายหน้ากาลประดับไว้เหนือประตูทางเข้าศาสนสถานเพื่อเป็นดังสิ่งคุ้มครองป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาในศาสนสถานนั้น ๆ
สำหรับภาพจำของหน้ากาลที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย คือภาพลวดลายหน้ากาลที่สลักบนทับหลังของปราสาทหินต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่หน้ากาลจะเป็นตัวรองอยู่ด้านล่าง ส่วนเหนือหน้ากาลขึ้นไปจะเป็นบรรดาทวยเทพต่าง ๆ ตามความเชื่อ อย่างเช่น พระศิวะ พระยม พระอินทร์ เป็นต้น
ในบ้านเรามีทับหลังของปราสาทหินที่มีรูปหน้ากาลปรากฏอยู่มากมาย และนี่คือ 5 หน้ากาลคัดสรรชวนชม บนลวดลายทับหลังที่มีความสวยงามน่ายล และมีองค์ประกอบตามความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป
หน้ากาล ปราสาทบ้านพลวง
ปราสาทบ้านพลวง ตั้งอยู่ที่บ้านพลวง ต.กังแอน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวปราสาทก่อด้วยหินทรายและอิฐ มีปรางค์ประธานองค์เดียวตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง มีคูน้ำล้อมรอบ
แม้จะเป็นปราสาทขนาดเล็ก แต่ปราสาทบ้านพลวงมีลวดลายสลักหินที่งดงามอ่อนช้อยในหลายจุดด้วยกัน โดยเฉพาะบนทับหลัง โดยทับหลังด้านทิศเหนือเป็นภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลิยะ
ส่วนทับหลังด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ จำหลักเป็นรูป “พระอินทร์”ทรงช้างเอราวัณอยู่บน “หน้ากาล” ซึ่งทั้ง 2 ด้าน มีลวดลายที่แตกต่างกัน โดยด้านทิศตะวันออกจะมีรูปสัตว์ต่าง ๆ สอดแทรกอยู่เหนือกรอบทับหลัง สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์
ภาพพระอินทร์บนหน้ากาลในทับหลังปราสาทบ้านพลวงถือเป็นหลักฐานสำคัญที่นักวิชาการใช้สันนิษฐานว่า ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานชุมชนที่ใช้สำหรับบูชาพระอินทร์เมื่อครั้งในอดีต
หน้ากาล ปราสาทเมืองต่ำ
ปราสาทเมืองต่ำ ตั้งอยู่ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เป็นศิลปะแบบบาปวน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 – 17 เพื่อเป็นเทวสถานของลัทธิฮินดูไศวนิกาย ตัวปราสาทหลักเป็นปรางค์อิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน
ที่ปราสาทเมืองต่ำมีหน้ากาลแกะสลักบนทับหลังหลายชิ้นด้วยกัน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือทับหลังที่องค์ปรางแถวหน้าด้านทิศเหนือ ซึ่งแกะสลักเป็นภาพพระศิวะปาง “อุมามเหศวร” ประทับบนโคนนทิ ที่ยืนอยู่บนตัวหน้ากาลที่ 2 มือกำลังจับขาตัวสัตว์ที่ยืนจับเถาพวงมาลัยอีกที โดยมีลวดลายพรรณพฤกษาศิลปะแบบบาปวนที่สมบูรณ์ เติมเต็มในองค์ประกอบของทับหลังชิ้นนี้
หน้ากาล ปรางค์สองพี่น้อง มรดกโลกศรีเทพ
“ปรางค์สองพี่น้อง” เป็นหนึ่งในโบราณสถานสำคัญของ “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ” แห่ง “เมืองโบราณศรีเทพ” อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ มรดกโลก (แห่งล่าสุด) ลำดับที่ 7 ของไทย
ปรางค์สองพี่น้องเป็นสถาปัตยกรรมแบบเขมรโบราณ (อ้างอิงข้อมูลจากกรมศิลปากร) ประกอบด้วยปรางค์ 2 องค์ใหญ่เล็ก ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน
ปรางค์องค์ใหญ่สูงราว 7 เมตร ส่วนปรางค์องค์เล็กที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นภายหลัง มีไฮไลต์สำคัญคือทับหลังรูป “อุมามเหศวร” ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งเป็นทับหลังที่มีสภาพและลวดลายดูสมบูรณ์ที่สุดหนึ่งเดียวแห่งมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ (ลักษณะของทับหลังและเสาประดับกรอบประตูเป็นสิ่งกำหนดอายุขององค์ปรางค์)
ทับหลังรูปอุมามเหศวรเป็นศิลปะขอมแบบบาปวนต่อนครวัด แกะสลักเป็นรูปพระอิศวรอุ้มนางปารพตี ประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราช ที่ยืนอยู่บนตัวหน้ากาลอีกที ท่ามกลางลวดลายพรรณพฤกษาศิลปะแบบบาปวน
หน้ากาลตัวนี้มีลักษณะแปลกแตกต่างจากหน้ากาลบนทับหลังอื่น ๆ เพราะเป็นหน้ากาลที่ไม่กลืนกินหรือคายอะไรออกมา แถมยังโผล่ออกมาไม่เต็มหน้า ที่สำคัญคือหน้ากาลตัวนี้ มือซ้าย-ขวากำลังจับยึดนาคสามเศียรมีรัศมี เลื้อยออกมาจากเถาพวงมาลัยซึ่งเป็นศิลปะแบบนครวัด (คล้ายนาคบนสะพานนาคที่ปราสาทหินพิมาย) ซึ่งน่าจะเป็นทับหลังที่มีตัวหน้ากาลจับยึดนาคหนึ่งเดียวในเมืองไทยที่พบเจอ ณ ปัจจุบัน
ตามความเชื่อเรื่องหน้ากาลเป็นผู้ปกป้องสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในศาสนาสถาน ปัจจุบันจึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมไปเดินลอดประตูใต้ทับหลังรูปอุมามเหศวร โดยเชื่อว่าหน้ากาลแห่งมรดกโลกตัวนี้จะช่วยกลืนกินสิ่งชั่วร้ายสิ่งไม่ดีออกไปจากตัวเรา ซึ่งนี่ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ที่แน่ ๆ วันนี้นี่คือหน้ากาลบนทับหลังปราสาทหินหนึ่งเดียวในเมืองไทยอย่างจริงแท้แน่นอน (เพราะปราสาทหินอื่น ๆ ในบ้านเรายังไม่มีที่ใดเป็นมรดกโลก)
หน้ากาล ปราสาทศีขรภูมิ
ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง ตั้งอยู่ที่ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในลัทธิไศวนิกายในราวพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นศิลปะนครวัด ประกอบด้วยปรางค์ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน
ปราสาทศีขรภูมิ แม้เป็นปราสาทขนาดเล็กแต่ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทหินที่มีภาพสลักหินบนทับหลังที่สวยที่สุดในเมืองไทย โดยช่างโบราณได้แกะสลักเป็นลวดลาย “ศิวนาฏราช” ภาพพระศิวะ 10 กร กำลังวาดลีลาร่ายรำบนหงส์ 3 ตัว เหนือหน้ากาล โดยมีเทพอีก 4 องค์ คือ พระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และพระอุมา (มเหสีของพระศิวะ) ร่วมในพิธี
สำหรับตัวหน้ากาลบนทับหลังชิ้นนี้ถูกยกให้เป็นหน้ากาลแกะสลักที่ดูมีชีวิตและสวยที่สุดในเมืองไทยเช่นกัน โดยช่างได้บรรจงแกะสลักออกมาได้อย่างสุดวิจิตร ตัวหน้ากาลแลบลิ้นออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยม ลักษณะคล้ายกลีบบัว ฟันแถวบนมีขนาดใหญ่เรียงเป็นแถวอย่างมีระเบียบ มีลวดลายประจำยามประดับระหว่างคิ้วทั้งสอง ศีรษะตกแต่งด้วยกะบังหน้ามีลายใบไม้ ลายประจำยาม ที่มือ 2 ข้างกำลัง จับสิงห์ที่ยืนกุมดอกบัวร้อยเรียงเป็นมาลัยโค้ง ร่วมด้วยลวดลายประดับอื่น ๆ ที่ช่างโบราณแกะออกมาได้อย่างงดงามวิจิตร อ่อนช้อย ประณีต ดูมีชีวิต
นอกจากนี้ปราสาทศรีขรภูมิยังมีภาพสลัก “นางอัปสรา” ที่สวยที่สุดในเมืองไทย ยืนถือดอกไม้บนกรอบเสาประตู ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
หน้ากาล ปราสาทหินพนมรุ้ง
ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง” อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ที่องค์ประกอบได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทหินที่งดงามที่สุดในเมืองไทย
16 ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์
ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 และมีการบูรณะเรื่อยมา โดยเคยเป็นทั้งศาสนาสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย และศาสนสถานในศาสนาพุทธลัทธิมหายาน
สำหรับหนึ่งในจุดไฮไลต์ต้องห้ามพลาดของปราสาทหินพนมรุ้งก็คือ “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” ที่อยู่ทางประตูทิศตะวันออกของปราสาทประธาน
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งทับหลังชิ้นหนึ่งของโลก ทั้งลวดลาย เรื่องราวและชื่อเสียง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกโจรกรรมไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่สหรัฐอเมริกาอยู่หลายปี ก่อนที่จะทวงคืนกลับสู่ประเทศไทยเมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2531
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์แกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์กำลังบรรทม (นอน) ตะแคงขวาบนพระยาอนันตนาคราช ที่ทอดตัวอยู่ท่ามกลางเกษียรสมุทร พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยหนุนส่งกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ครุฑ นกแก้ว ลิง ดอกบัว ชายผ้า เครื่องประดับ อาวุธ เป็นต้น
สำหรับตัวหน้ากาลที่สลักบนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์นั้นก็ถือว่าแปลกแตกต่างจากทับหลังทั่วไป เพราะเป็นตัวหน้ากาลคู่ (ทับหลังทั่วไปจะมีหน้ากาลอยู่ตัวเดียวตรงกลางช่วงล่าง) อยู่ขนาบริมซ้าย-ขวา ของทับหลัง กำลังคายพวงอุบะขนาดใหญ่ที่มีนกแก้วเกาะอยู่ 2 ข้าง ส่วนเหนือขึ้นไปมีครุฑกำลังยืนจังก้าอยู่
อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันภาพสลักหน้ากาลคู่ไม่มีให้ชมแล้ว เพราะทับหลังนารายบรรทมสินธุ์ที่ได้คืนมาจากอเมริกาก่อนนำมาไว้ ณ ที่เดิมนั้น มีสภาพเสียหายแตกเป็นส่วน โดยส่วนของหน้ากาลทางฝั่งริมด้านซ้ายหายไป เหลือเฉพาะเพียงหน้ากาลทางฝั่งริมด้านขวา (เมื่อมองเข้าไป) ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ให้ชมกันเท่านั้น
ขณะที่หลักฐานภาพทับหลังช่วงก่อนถูกโจรกรรมนั้นยังคงปรากฏภาพครุฑและตัวหน้ากาลทางฝั่งริมซ้ายในสภาพที่สมบูรณ์สวยงาม นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่าปวดใจที่เกิดจากการกระทำของคนในประเทศที่อ้างว่าศิวิไลซ์แต่กลับเลือกขโมยโบราณวัตถุชิ้นเอกคุณค่าระดับโลกของประเทศที่เล็กกว่าไปครอบครองอย่างหน้าด้าน ๆ
และนี่ก็คือ 5 ตัวหน้ากาลบนปราสาทหิน 5 แห่งที่มีลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไป หน้ากาลบนทับหลังบางปราสาทถือว่ามีหนึ่งเดียวในไทย หรืออาจจะมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก นับเป็นอีกหนึ่งมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของคนโบราณ ซึ่งตัวหน้ากาลที่ปรากฏตามศาสนาสถานในหลายประเทศนั้น ไม่สามารถนำไปเคลมว่าเป็นบรรพบุรุษของ “ลาบูบู้” ได้แต่อย่างใด?