xs
xsm
sm
md
lg

ขอบารมี 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ "สมุทรปราการ" ที่พึ่งทางใจให้สู้กับอุปสรรค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถือเป็นอุบัติภัยครั้งใหญ่ของเมืองสมุทรปราการ สำหรับเหตุเพลิงไหม้ภายในบริษัทหมิงตี้เคมิคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก ในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่เช้ามืดวานนี้ (5 ก.ค. 2564) และกว่าจะควบคุมเพลิงจนสงบได้ก็คือช่วงเช้าวันที่ 6 ก.ค. จนทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บ้านเรือนโดยรอบในระยะ 5 ก.ม. ต้องอพยพหนีกันวุ่นวายไม่น้อย

แม้ขณะนี้เพลิงจะสงบลงแล้ว แต่ยังมีความกังวลในเรื่องของฝุ่นควันและสารเคมีที่ตกค้างในอากาศ และความเสียหายของโรงงานและบ้านเรือนประชาชนที่ต้องเยียวยาซ่อมแซมกันต่อ คงจะกินเวลาอีกยาวนาน

ในช่วงเวลาที่คนทั้งประเทศยากลำบากพอแรงอยู่แล้วจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ระบาดหนัก และสภาพเศรษฐกิจที่ซวนเซจวนล้ม เมื่อชาวสมุทรปราการต้องมาเจอภัยพิบัติซ้ำเติมอีกในครั้งนี้ นอกจากความช่วยเหลือจากภาครัฐที่จะต้องรีบจัดการแล้ว เราจึงอยากขอบารมีจาก 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสมุทรปราการ ให้ช่วยคุ้มครองชาวสมุทรปราการให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้

หลวงพ่อโตแห่งวัดบางพลีใหญ่ใน

ประชาชนขึ้นไปปิดทองหลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ใน (แฟ้มภาพ)
หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน

"หลวงพ่อโต" แห่งวัดบางพลีใหญ่ใน ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ถือเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองสมุทรปราการ ประวัติของหลวงพ่อโตนั้นเล่ากันว่าได้พบเห็นองค์พระลอยยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านพยายามฉุดองค์พระขึ้นจากน้ำแต่ก็ไม่สำเร็จ จากนั้นองค์พระก็ลอยมาผุดขึ้นที่คลองสำโรง สมุทรปราการ ชาวบ้านแถบนี้จึงอาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดพลับพลาชัยขนะสงคราม หรือวัดบางพลีใหญ่ในมาจนถึงปัจจุบัน

หลวงพ่อโตปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดบางพลีใหญ่ใน โดยเหตุที่เรียกว่าหลวงพ่อโตเนื่องจากองค์ท่านมีขนาดใหญ่โต หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ และมีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อครั้งที่สร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ๆ นั้นก็มีการวัดขนาดองค์พระกับช่องประตู โดยเผื่อความกว้างของช่องประตูไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาอัญเชิญหลงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริงๆ ปรากฏว่าหลวงพ่อองค์ใหญ่กว่าช่องประตูมาก บางคนเชื่อว่าเป็นอภินิหารของหลวงพ่อโต จึงช่วยกันจุดธูปอธิษฐานขอให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูโบสถ์ไปได้ ซึ่งก็สามารถอัญเชิญหลวงพ่อผ่านเข้าประตูโบสถ์ได้อย่างง่ายดาย

กราบหลวงพ่อโตแห่งวัดสาขลา

เจดีย์เอียงวัดสาขลา
หลวงพ่อโต วัดสาขลา

“วัดสาขลา” ตั้งอยู่ที่ ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างโดยชาวชุมชนที่อยู่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เล่ากันในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อเกิดสงคราม 9 ทัพ ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เหลือแต่ผู้หญิงและคนชรา เมื่อทหารพม่าเดินทัพผ่านมาชาวบ้านที่เหลือร่วมมือกันสู้พม่าอย่างกล้าหาญจนชนะได้ หมู่บ้านแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า “หมู่บ้านสาวกล้า” ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น “หมู่บ้านสาขลา”

วัดสาขลาก็เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทองปางมารวิชัย ซึ่งมีความงดงามและเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านสาขลาเป็นอย่างมาก อีกทั้งภายในวัดยังมีพระสังกัจจายน์มหาลาภ ลักษณะรูปยืนองค์ใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของวัด ใกล้ๆ กันจะเห็นพระปรางค์เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมคลอง มีลักษณะเอียงซึ่งมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ก็คือ “พระปรางค์เอียง” ซึ่งเมื่อประมาณ 100 ปีก่อนเกิดการทรุดตัวของแผ่นดินจากน้ำท่วมขัง ทำให้พระปรางค์เอียงแต่ก็มิได้โค่นล้มแต่อย่างใด

กราบพระบรมสารีริกธาตุที่พระสมุทรเจดีย์

องค์เจดีย์ตั้งอยู่เคียงกับวิหาร
พระสมุทรเจดีย์

พระสมุทรเจดีย์ถือเป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองสมุทรปราการ องค์เจดีย์ตั้งอยู่บริเวณคุ้งน้ำเจ้าพระยาใกล้ปากอ่าว อยู่ในพื้นที่ของวัดพระสมุทรเจดีย์ เดิมเรียก "พระเจดีย์กลางน้ำ" ตามสภาพเดิมที่ตั้งอยู่บนเกาะมีน้ำล้อมรอบ แต่ภายหลังแม่น้ำตื้นเขินขึ้นจนเป็นแผ่นดินเชื่อมติดกัน สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ และมาเสร็จสิ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นพระเจดีย์ทรงกลมตามแบบกรุงศรีอยุธยามา สูงถึง 39.75 เมตร ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ จากพระบรมมหาราชวัง

องค์เจดีย์ตั้งอยู่ติดกับพระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ชาวเมืองสมุทรปราการจะเฉลิมฉลองปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองแห่งนี้ในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 11 ด้วยงานนมัสการพระสมุทรเจดีย์เป็นประจำทุกปี มีการเชิญผ้าแดงผืนใหญ่ตั้งบนบุษบก แห่รอบเมืองและล่องแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนถึงอำเภอพระประแดง แล้วแห่กลับมาทำพิธีทักษิณาวัตร จากนั้นจึงนำผ้าห่มองค์พระสมุทรเจดีย์ รวมทั้งประชาชนจะได้สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๒ ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านในด้วย

ศาลเจ้าเสียนหลอไต้เทียนกง

สถาปัตยกรรมแบบจีนที่งดงาม
ศาลเจ้าเสียนหลอไต้เทียนกง

“ศาลเจ้ามูลนิธิธรรมกตัญญู" (เสียนหลอไต้เทียนกง) หรือที่บางคนเรียกกันว่า “ศาลเจ้าเสียนหลอไต้เทียนกง” ได้รับการถ่ายทอดความเชื่อทางศาสนามาจากมูลนิธิหนานคุณเซินไต้เทียนฟู่ ซึ่งมีความศรัทธาในเรื่องเทพเจ้าโหงวหวังเอี้ย หรือ เทพเจ้าแห่ง 5 ตระกูล โดยได้มีผู้อัญเชิญเสด็จเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 แต่เพิ่งมาสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นในภายหลังเมื่อปี พ.ศ.2534

ที่นี่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนที่งดงาม โดดเด่นด้วยสีแดง-ทอง อันเป็นสีมงคลของชาวจีน บนหลังคาปูกระเบื้องและประดับประดาด้วยสัตว์มงคลตามความเชื่อของชาวจีน ซึ่งมีทั้งหงส์ และมังกร และยังมีตัวละครในนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ของชาวจีนอีกด้วย ส่วนตรงชายคาก็ยังมีการแกะสลักไม้ลงรักปิดทองงามจับตา บริเวณทางเข้าศาลจะมีสิงโตคู่ตั้งอยู่ด้านหน้า สิงโตคู่นี้เป็นสิงโตคู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยแกะสลักขึ้นจากหินหยกเขียว นำเข้าจากประเทศจีน

ด้านในศาลเจ้าสามารถเดินสักการะเรียงกันไปดังนี้ วิหารเทพเจ้า 5 พระองค์ วิหารเทพจงจินหู่ วิหารเทพเฉินหวงเหย่ วิหารไท้ส่วยเอี๊ย วิหารเจ้าแม่กวนอิม วิหารฮกเต็กเจี่ยสินแป๊ะกง วิหารเจ้าแม่บังเกิดเกล้า และศาลเล็ก

พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ (ภาพ : เพจพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ สมุทรปราการ)

พระเกศจุฬามณีเจดีย์ (ภาพ : เพจพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ สมุทรปราการ)
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตั้งอยู่ที่ ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เป็นประติมากรรมลอยตัวรูปช้าง 3 เศียร ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ถูกสร้างขึ้นโดยด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกและแห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันมีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรพลาดของจังหวัดสมุทรปราการ โดยคติโบราณเชื่อว่าบทบาทและหน้าที่อันสำคัญยิ่งของช้างเอราวัณ คือ เป็นพาหนะที่นำเสด็จพระอินทร์ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งบนสวรรค์และโลกมนุษย์ เพื่อดูแลทุกข์สุขของชาวโลก เนื่องจากพระอินทร์ทรงเป็นหัวหน้าเทวดาที่คอยควบคุมดูแลดินฟ้าอากาศ มีวัชระสายฟ้าเป็นอาวุธ เป็นศัตรูกับความแห้งแล้ง บันดาลความอุดมสมบูรณ์และความชุ่มฉ่ำสู่โลกมนุษย์ ช้างเอราวัณจึงมีหน้าที่ดูดน้ำจากโลกขึ้นไปสวรรค์ ให้พระอินทร์บันดาลเกิดน้ำจากฟ้าตกลงสู่โลกมนุษย์

ภายในตัวช้างเอราวัณจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ 3 ชั้นด้วยกันตามแนวคิดในไตรภูมิคือ บาดาล โลกมนุษย์ และสวรรค์ จัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่าอันเป็นของสะสมของเจ้าของพิพิธภัณฑ์ รวมถึงงานฝีมือล้ำค่าจากช่างฝีมือทั่วไทย ภาพงานจิตรกรรมที่งดงาม รวมถึงพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ อีกด้วย

นอกจากนั้นแล้ว บริเวณโดยรอบช้างเอราวัณด้านนอกยังจัดเป็นเส้นทางแสวงบุญ สามารถมาเที่ยวชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระเกศจุฬามณีเจดีย์ ศาลาพระพรหม ศาลาพระตรีมูรติ ศาลพระพิฆเนศวร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (กวนอิม) ปางประทานพร และพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

#########################################

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline


กำลังโหลดความคิดเห็น