โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ทะเลไทยฝั่งอันดามัน...
หลังฤดูมรสุมผ่านพ้น ท้องทะเลได้แปรเปลี่ยนจากเกรี้ยวกราดคลื่นลมถั่งโถม กลับคืนสู่ท้องทะเลที่สงบสวยงาม
สวยงามชนิดที่หลายๆคนยกให้เป็นดังทะเลสวรรค์ เป็นจุดดักฝันของคนรักทะเลจากทั่วทุกสารทิศให้เดินทางมาสัมผัสในความงดงาม
สำหรับหนึ่งในท้องทะเลไทยฝั่งอันดามันที่มีชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วโลกก็คือ “เกาะหลีเป๊ะ” อันสวยงาม ที่เป็นดังเกาะในฝัน สวรรค์ของคนรักทะเล
เกาะหลีเป๊ะ เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล ชื่อเกาะหลีเป๊ะมาจากภาษาถิ่นชาวเล บ้างก็ว่าแปลว่าบาง บ้างก็ว่าแปลว่าแบนราบ ตั้งตามรูปพรรณสัณฐานของเกาะ
หลีเป๊ะแม้จะเป็นเกาะเล็ก ๆ แต่ด้วยความสวยงามของธรรมชาติ หาดทราย ท้องทะเล เกาะแห่งนี้จึงได้รับความนิยมอย่างสูง จากเกาะอันสงบสวยงามไปด้วยธรรมชาติอันพิสุทธิ์ วันนี้เกาะหลีเป๊ะกลายเป็นเกาะท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ที่บนเกาะมีทั้ง รีสอร์ท ที่พัก ร้านอาหาร สถานบันเทิง บาร์เบียร์ ช้อปปิ้ง บริการดำน้ำ และบริการนำเที่ยว ซึ่งเกาะหลีเป๊ะเป็นดังฮับในการเชื่อมต่อไปเที่ยวยังจุดต่าง ๆ ของหมู่เกาะตะรุเตา
ใครที่มาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะหากมีโอกาส ขอแนะนำให้ไปเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญ ๆ ของหมู่เกาะตะรุเตา เชื่อมโยงกับหลีเป๊ะ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวหลาย ๆ จุดนอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ยังมีความแปลกตาน่าทึ่งของธรรมชาติที่สรรค์สร้างออกมาให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ได้ตื่นตาตื่นใจกัน
และนี่ก็คือ 9 จุดท่องเที่ยวอันโดดเด่นของหมู่เกาะตะรุเตา ซึ่งมีเกาะหลีเป๊ะเป็นไฮไลท์สำคัญ
1.“เกาะตะรุเตา” จากอดีตคุกกลางทะเลที่วันนี้ยังคงไว้ด้วยสภาพธรรมชาติอันสวยงามพิสุทธิ์ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “มรดกแห่งอาเซียน” ในปี พ.ศ. 2525
เกาะตะรุเตาวันนี้เป็นที่ตั้งของที่ทำการ“อุทยานแห่งชาติตะรุเตา”และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เกาะแห่งนี้มีประวัติศาสตร์และรอยอดีตของการเป็นคุกเปิดที่ยังหลงเหลือ
บนเกาะตะรุเตายังคงไว้ด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์กับจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ “อ่าวสน” เป็นอ่าวที่มีรูปโค้งมีหาดทรายสลับกับหาดหินซึ่งข้อมูลของอุทยานฯระบุว่า หินที่นี่มีอายุมากถึงราว 700 ล้านปีทีเดียว “อ่าวเมาะและ” เป็นหาดทรายขาวสะอาดมีดงมะพร้าวร่มรื่น และ “อ่าวตะโละวาว”ที่มีเอกลักษณ์ด้วยแท่งหินซีกก้อนยักษ์ตั้งตระหง่านในทะเล มีสะพานท่าเรือทอดตัวเคียงคู่กันไป
ส่วน “อ่าวพันเตมะเลกา” นั้นเป็นดังจุดรับแขกของที่นี่ เพราะเรือจะมาจอดเทียบท่าที่ร่องน้ำจืดติดกับอ่าว หน้าอ่าวมีประภาคารตั้งตระหง่านเป็นสง่า
อ่าวพันเตมะละกามีแนวหาดทรายยาวขาวเนียน ผืนทรายละเอียดประหนึ่งแป้ง บางช่วงบางจุดของหาดเมื่อเราลงไปเดินสัมผัส พื้นทรายจะส่งเสียง “เอี๊ยดๆ”สะท้อนแรงเหยียบของเท้ากลับมาเป็นที่น่าเพลิดเพลิน แม้เสียงเอี๊ยด ๆ ไม่มีใครตีเป็นคีย์ตัวโน้ตดนตรี แต่นี่คือความเพลินใจสบายเท้าที่ผมนิยมชมชอบการการเดินบนพื้นถนนในป่าคอนกรีตเป็นไหน ๆ
นอกจากนี้เกาะตะรุเตายังเป็นที่ตั้งของ “ศาลเจ้าพ่อตะรุเตา” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของผู้คนในแถบนี้ ที่ใครเมื่อมาถึงเกาะควรมาสักการบูชาท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล
2.“เกาะไข่” เกาะที่ในอดีตเคยมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่เป็นจำนวนมาก
เกาะไข่ นอกจากจะมีหาดสวยน้ำใสแล้ว ยังมีสัญลักษณ์แห่งตะรุเตาและสัญลักษณ์สตูลอย่าง "ซุ้มประตูหิน" มีลักษณะเป็นแนวหินยื่นยาวจากตัวเกาะโค้งทอดตัวลงบนชายหาด นับเป็นผลงานการสร้างสรรค์อันน่าทึ่งของธรรมชาติ ซึ่งมีความเชื่อว่า ใครที่ควงคู่กันมาเดินลอดซุ้มประตูแห่งนี้ความรักจะสมหวังยั่งยืน
3.“เกาะหินงาม” เกาะที่ไม่มีหาดทรายขาวเนียนให้เหยียบย่ำ หากแต่มีก้อนหินงามๆ ก้อนมนๆ ทรงกลม รี แบน สีดำ น้ำตาลเข้ม อยู่เต็มหาด ซึ่งกว่าที่เกาะหินงามจะมีวันนี้ ธรรมชาติต้องใช้เวลาสรรค์สร้างอย่างยาวนานมากกินเวลานับพันนับหมื่นปี หรืออาจจะมากกว่านั้น!?!
นั่นจึงทำให้ทางอช.ตะรุเตา ออกกฎเข้ม ห้ามใครแอบนำ(ขโมย)หินจากบนเกาะนี้ไปเด็ดขาด พร้อมกับมีป้ายคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาขึ้นติดเอาไว้ว่า
“...ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด...”
ในอดีตคนที่ขึ้นมาเที่ยวบนเกาะหินงามส่วนใหญ่จะนิยมขึ้นมาเรียงหินซ้อนต่อกันเป็นชั้นๆ เป็นเจดีย์หิน หรือคอนโดหิน แล้วอธิษฐาน บ้างก็ว่าถ้าเรียงซ้อนกันได้ 13 ก้อน 13 ชั้น จะโชคดี ส่วนบ้างก็ว่า ยิ่งเรียงได้สูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งโชคดี
ส่งผลที่ผ่านมาให้มีคนมาเรียงหินบนเกาะหินงามกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อหินบนเกาะหินงามตามมา เพราะเมื่อมีคนนำก้อนหินขึ้นเรียงซ้อนกันเป็นเจดีย์แล้ว ยามเมื่อมีลมแรงๆพัดกระโชก เจดีย์หินที่ส่วนใหญ่ถูกเรียงวางไว้แบบไม่เสถียรเมื่อถูกลมพัดเสียสมดุลเพียงเล็กน้อยก็จะโค่นพังลงมา ทำให้ก้อนหินบางก้อนแตกหักเปลี่ยนจากหินงามกลายเป็นหินแตก ส่งผลเสียหายต่อก้อนหินที่สวยงามของเกาะแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันทางอช.ตะรุเตา จึงประกาศห้ามนักท่องเที่ยวเรียงหินบนเกาะหินงาม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรหินสวยๆงามๆบนเกาะแห่งนี้ไว้ให้ดำรงคงอยู่ ไม่ให้เกิดแตกหักชำรุด(มากกว่าเดิมที่ผ่านมา) ซึ่งเกิดมาจากการเรียงหินของน้ำมือมนุษย์
4.“เกาะอาดัง” เกาะแห่งนี้มีชื่อมาจากคำว่า“อุดัง” ที่แปลว่ากุ้งในภาษามลายู เพราะในอดีตบริเวณเกาะเคยอุดมไปด้วยกุ้งทะเลชุกชุม
เกาะอาดังตั้งอยู่ใกล้ๆกับเกาะหลีเป๊ะ บนเกาะมีที่พักสงบเป็นส่วนตัว ให้บรรยากาศแตกต่างไปจากที่พักมากแสงสีบนฝั่งหาดบันดาหยาที่เกาะหลีเป๊ะ
เกาะอาดังมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขา มีป่าอุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกที่มีน้ำตลอดปี ขณะที่บริเวณที่พักมีหาดทรายละเอียดขาวเนียน นอกจากนี้บนเกาะอาดังยังมีจุดชมวิว “ผาชะโด” ที่สามารถมองลงไปเห็นวิวเกาะหลีเป๊ะกับรูปพรรณสัณฐานแบนราบ อีกทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกชั้นดี
5.“เกาะราวี” เกาะที่เป็นดังเกาะคู่แฝดของเกาะอาดัง โดยคนมักจะเรียกรวมกันว่า”เกาะอาดัง-ราวี”
เกาะราวี ตั้งอยู่ห่างจากเกาะอาดังเพียง 1 กม. บนเกาะเป็นจุดพักกินอาหารกลางวันของนักท่องเที่ยว ซึ่งใครเมื่อกินอิ่มแล้วก็ให้นำขยะเศษอาหารที่เหลือกลับไปทิ้งด้วย
เกาะราวี มี“หาดทรายขาว” หาดงามน้ำในทะสวย มีทรายละเอียดขาวเนียน ท่ามกลางธรรมชาติของต้นไม้ร่มรื่น และพร็อพประกอบทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชบาติ อย่างตอไม้ ขอนไม้ หรือที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่าง ชิงช้า โมบายเปลือกหอย นับเป็นอีกหนึ่งเกาะงามที่สาวๆส่วนใหญ่มาแล้วมักจะไม่พลาดการโพสต์ท่านั่งชิงช้าหรือนั่งบนขอนไม้เพื่อถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก
6.”เกาะรอกลอย”(รอ-กลอย) เกาะขนาดเล็กประเภทจิ๋วแต่แจ๋ว กับวิวทิวทัศน์งดงามตา โดยเฉพาะกับหาดทรายและผืนน้ำทะเลที่ไหลผ่านสันทรายน้ำตื้นระหว่างเกาะรอกลอยกับเกาะดงที่อยู่ติดๆกันนั้น มันช่างสวยงามจับใจ
สายน้ำที่เกาะรอกลอยใสแจ๋วแหวว ก่อนจะค่อยๆไล่โทนไปสู่สีเขียวอมฟ้าจางๆ ยามต้องแสงแดดจะเป็นประกายพริบพรายระยิบระยับ จนได้รับฉายาว่าเป็น “มรกตกลางทะเล” รวมถึงถูกยกให้เป็น “สระ(ว่าย)น้ำกลางทะเล” ที่ใครมาเห็นต่างอดไม่ได้ที่จะลงแหวกว่ายเล่นน้ำท่ามกลางสระธรรมชาติอันงดงามแห่งนี้
7. “เกาะหินซ้อน” ที่เป็นประติมากรรมธรรมชาติก้อนหินใหญ่วางซ้อนกันกลางทะเลดูเหมือนจะตกไม่ตกแหล่ แต่ว่ากลับมีความสมดุล ดูน่าทึ่งเป็นยิ่งนัก
8. “ร่องน้ำจาบัง” จุดดำน้ำไฮไลท์แห่งหมู่เกาะตะรุเตา โลกใต้ทะเลที่ร่องน้ำจาบังอุดมไปด้วยปะการังสีสันสดสวยทั้ง ชมพู ม่วง แดง เหลือง สีฟ้า สมดังคำร่ำลือว่าที่นี่มีปะการัง 7 สี สวยไม่เป็นรองใคร
แต่ด้วยความที่กระแสน้ำที่นี่ไหลเชี่ยวแรงมาก ดังนั้นผู้ที่ลงดำน้ำดูปะการังต้องสวมชูชีพทุกครั้ง ใครที่ว่ายน้ำไม่แข็งหรือว่ายน้ำไม่เป็นต้องเกาะเชือกที่เขามีผูกไว้ให้แม่นมั่น เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนและไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง
9. “เกาะหลีเป๊ะ” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลอันแสนฮอตฮิตของบ้านเรา
เกาะหลีเป๊ะ ก่อนที่จะถูกค้นพบและแปรสภาพกลายเป็นเกาะท่องเที่ยวเต็มรูปแบบอย่างในวันนี้ เดิมเป็นบ้านของชาวเล(อูรักลาโว้ย)มาก่อน ก่อนที่อุทยานแห่งชาติ คนบนแผ่นดินใหญ่ การท่องเที่ยว นายทุน นักท่องเที่ยว และฯลฯ จะตามเข้ามาในภายหลัง พร้อมๆกับรุกคืบผลักดันชาวเล“คนใน”เจ้าของเดิม ให้ออกไปยืนห่างๆไม่ต่างอะไรจาก“คนนอก” ซึ่งวันนี้บนเกาะหลีเป๊ะยังพอมีภาพวิถีชีวิตของชาวเลยุคใหม่ หลงเหลือให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสกันแบบพอหอมปากหอมคอ ไม่ว่าจะเป็น บ้านเรือนผสมแบบดั้งเดิมกับวิถีใหม่ หรือการใช้ชีวิตร่วมสมัยที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป
สำหรับชายหาดหลักๆอันสวยงามโดดเด่นบนเกาะหลีเป๊ะนั้น ได้แก่
“หาดชาวเล”(Sunrise Beach)ที่บริเวณหลังเกาะ เดิมที่นี่เคยเป็นถิ่นอาศัยของชุมชนชาวเล แต่เมื่อการท่องเที่ยวเติบโต ที่ดินถูกขาย ให้เช่าทำเป็นที่พัก บังกะโล ชาวเลก็ถูกย้ายไปตั้งชุมชนลึกเข้าไปใกล้ๆกับโรงเรียนบ้านอาดัง(โรงเรียนประจำเกาะหลีเป๊ะ) ขณะที่วิถีชาวเลวันนี้ก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ออกทะเลเป็นหลักวันนี้เปลี่ยนมาทำด้านการท่องเที่ยวขับเรือนำเที่ยว เป็นลูกจ้าง แรงงาน ตามร้านอาหาร โรงแรม หรือบางคนก็เปิดร้านอาหารเองก็มี
หาดชาวเล เป็นชายหาดยาวทอดเคียงคู่ไปกับทิวสน ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดี ในยามเช้าที่ฟ้าเป็นใจสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมแดงลอยโผล่ขึ้นมาจากม่านเมฆกลางทะเลอันสวยงาม โดยมี “เกาะกระ” เกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่ใกล้ๆฝั่ง และที่เรือจอดเรียงราย ร่วมเป็นองค์ประกอบแห่งความงาม
“หาดเมาเท่น”(เมาเทิร์น) หาดที่ตั้งชื่อตามตามชื่อรีสอร์ทที่อยู่บริเวณนั้น (หรือบางคนก็เรียกหาดนี้ว่า “หาดคาร์มา”)
หาดเมาเท่น ตั้งอยู่ใกล้ๆหาดชาวเล ณ ส่วนปลายสุดฝั่งหนึ่งของแนวชายหาดหลังเกาะ มีแนวชายหาดขาวเนียนสวยงามยื่นเป็นครึ่งวงรีกินเข้าไปในทะเล เป็นหาดน้ำตื้นที่คนนิยมมาเล่นน้ำกันมาก มีน้ำทะเลสวยใสแจ๋ว
ในช่วงน้ำลง ที่หน้าหาดเมาเท่นจะผุดแนวสันทรายกลางทะเลขึ้นมา เป็นเกาะเล็กๆแบนๆ น้ำทะเลใสแจ๋ว ทรายละเอียดยิบ นอกจากนี้ในช่วงเย็นที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะ
“หาดประมง” หรือ “หาดซันเซ็ท” (Sunset) เป็นอีกหนึ่งหาดบนเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม เพราะแนวหาดหันหน้าเข้าประจันกับดวงอาทิตย์ยามเย็นแบบชัดแจ้ง
บนเกาะหลีเป๊ะยังมีหาดไฮไลท์อยู่อีกหนึ่งหาดคือ “หาดบันดาหยา” อันเป็นด่านแรกในการเหยียบเกาะหลีเป๊ะ เพราะเป็นจุดขึ้น-ลงเรือเทียบท่าชายฝั่ง
สำหรับชื่อหาดบันดาหยานั้นเป็นชื่อแท้ๆของหาดแห่งนี้ แต่ที่ผ่านมาเรามักจะเรียกชื่อหาดนี้ตามฝรั่งกันติดปากว่า“หาดพัทยา” รวมไปถึงตามเอกสารนำเที่ยวและข้อมูลท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ตจำนวนมากก็มักจะเรียกว่าหาดพัทยาด้วยเช่นกัน
หาดบันดาหยา เป็นหาดโค้งยาวสวยงาม มีทรายละเอียดแน่นนุ่มเท้า เป็นหาดยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ทั้งมาเล่นน้ำ อาบแดด พักผ่อน ดื่มกิน และเมามาย รวมถึงมาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ตกทะเลอันสวยงาม
นอกจากนี้บนหาดบันดาหยายังมีเส้นทางถนนคนเดินอันคึกคักมากไปด้วยร้านรวง ทอดยาวไปสิ้นสุดๆแถวบริเวณกลางเกาะ นับเป็นแหล่งบันเทิงยามราตรีที่ยากจะหลับใหลเช่นเดียวกับหน้าหาดบันดาหยา
สำหรับเกาะหลีเป๊ะแล้ว จากเกาะที่เคยสงบสวยงามจากธรรมชาติอันพิสุทธิ์เมื่อครั้งอดีต วันนี้ได้เปลี่ยนเป็นเกาะท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ(แต่ก็ยังคงความงามอยู่) ซึ่งเมื่อเกาะหลีเป๊ะมีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นแหล่งทำเงินสำคัญของสตูล
ทำให้เกาะหลีเป๊ะเกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ขึ้นมากมาย จนส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (โดยเฉพาะในช่วงราว 6-7 ปีที่ผ่านมา) ทำให้หลายๆคนอดเป็นห่วงเกาะหลีเป๊ะไม่ได้ ว่า หากต่างคนต่างมุ่งเข้ามากอบโกย ไม่มีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้เกาะหลีเป๊ะ ไม่มีการจัดระเบียบควบคุมสิ่งก่อสร้าง ควบคุมทัศนะอุจาด ไม่แก้ปัญหาเรื่องขยะได้ สิ่งแวดล้อม ไม่มีการวางแผนเพื่อรองรับการเติบโตของเกาะในทิศทางที่ถูกต้องและชัดเจน
เกาะหลีเป๊ะในวันหน้าอาจเป็น“เกาะเละปี๋” ที่ถ้าหากว่าทางผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ปล่อยปละละเลยปัญหาต่าง ๆ ให้เป็นไปตามยถากรรม บางทีในอนาคตข้างหน้าทะเลไทยอาจต้องสูญเสียเพชรเม็ดงามนามว่า“หลีเป๊ะ”ไป แบบไม่มีวันหวนคืน
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ทะเลไทยฝั่งอันดามัน...
หลังฤดูมรสุมผ่านพ้น ท้องทะเลได้แปรเปลี่ยนจากเกรี้ยวกราดคลื่นลมถั่งโถม กลับคืนสู่ท้องทะเลที่สงบสวยงาม
สวยงามชนิดที่หลายๆคนยกให้เป็นดังทะเลสวรรค์ เป็นจุดดักฝันของคนรักทะเลจากทั่วทุกสารทิศให้เดินทางมาสัมผัสในความงดงาม
สำหรับหนึ่งในท้องทะเลไทยฝั่งอันดามันที่มีชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วโลกก็คือ “เกาะหลีเป๊ะ” อันสวยงาม ที่เป็นดังเกาะในฝัน สวรรค์ของคนรักทะเล
เกาะหลีเป๊ะ เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล ชื่อเกาะหลีเป๊ะมาจากภาษาถิ่นชาวเล บ้างก็ว่าแปลว่าบาง บ้างก็ว่าแปลว่าแบนราบ ตั้งตามรูปพรรณสัณฐานของเกาะ
หลีเป๊ะแม้จะเป็นเกาะเล็ก ๆ แต่ด้วยความสวยงามของธรรมชาติ หาดทราย ท้องทะเล เกาะแห่งนี้จึงได้รับความนิยมอย่างสูง จากเกาะอันสงบสวยงามไปด้วยธรรมชาติอันพิสุทธิ์ วันนี้เกาะหลีเป๊ะกลายเป็นเกาะท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ที่บนเกาะมีทั้ง รีสอร์ท ที่พัก ร้านอาหาร สถานบันเทิง บาร์เบียร์ ช้อปปิ้ง บริการดำน้ำ และบริการนำเที่ยว ซึ่งเกาะหลีเป๊ะเป็นดังฮับในการเชื่อมต่อไปเที่ยวยังจุดต่าง ๆ ของหมู่เกาะตะรุเตา
ใครที่มาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะหากมีโอกาส ขอแนะนำให้ไปเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญ ๆ ของหมู่เกาะตะรุเตา เชื่อมโยงกับหลีเป๊ะ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวหลาย ๆ จุดนอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ยังมีความแปลกตาน่าทึ่งของธรรมชาติที่สรรค์สร้างออกมาให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ได้ตื่นตาตื่นใจกัน
และนี่ก็คือ 9 จุดท่องเที่ยวอันโดดเด่นของหมู่เกาะตะรุเตา ซึ่งมีเกาะหลีเป๊ะเป็นไฮไลท์สำคัญ
1.“เกาะตะรุเตา” จากอดีตคุกกลางทะเลที่วันนี้ยังคงไว้ด้วยสภาพธรรมชาติอันสวยงามพิสุทธิ์ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “มรดกแห่งอาเซียน” ในปี พ.ศ. 2525
เกาะตะรุเตาวันนี้เป็นที่ตั้งของที่ทำการ“อุทยานแห่งชาติตะรุเตา”และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เกาะแห่งนี้มีประวัติศาสตร์และรอยอดีตของการเป็นคุกเปิดที่ยังหลงเหลือ
บนเกาะตะรุเตายังคงไว้ด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์กับจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ “อ่าวสน” เป็นอ่าวที่มีรูปโค้งมีหาดทรายสลับกับหาดหินซึ่งข้อมูลของอุทยานฯระบุว่า หินที่นี่มีอายุมากถึงราว 700 ล้านปีทีเดียว “อ่าวเมาะและ” เป็นหาดทรายขาวสะอาดมีดงมะพร้าวร่มรื่น และ “อ่าวตะโละวาว”ที่มีเอกลักษณ์ด้วยแท่งหินซีกก้อนยักษ์ตั้งตระหง่านในทะเล มีสะพานท่าเรือทอดตัวเคียงคู่กันไป
ส่วน “อ่าวพันเตมะเลกา” นั้นเป็นดังจุดรับแขกของที่นี่ เพราะเรือจะมาจอดเทียบท่าที่ร่องน้ำจืดติดกับอ่าว หน้าอ่าวมีประภาคารตั้งตระหง่านเป็นสง่า
อ่าวพันเตมะละกามีแนวหาดทรายยาวขาวเนียน ผืนทรายละเอียดประหนึ่งแป้ง บางช่วงบางจุดของหาดเมื่อเราลงไปเดินสัมผัส พื้นทรายจะส่งเสียง “เอี๊ยดๆ”สะท้อนแรงเหยียบของเท้ากลับมาเป็นที่น่าเพลิดเพลิน แม้เสียงเอี๊ยด ๆ ไม่มีใครตีเป็นคีย์ตัวโน้ตดนตรี แต่นี่คือความเพลินใจสบายเท้าที่ผมนิยมชมชอบการการเดินบนพื้นถนนในป่าคอนกรีตเป็นไหน ๆ
นอกจากนี้เกาะตะรุเตายังเป็นที่ตั้งของ “ศาลเจ้าพ่อตะรุเตา” สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของผู้คนในแถบนี้ ที่ใครเมื่อมาถึงเกาะควรมาสักการบูชาท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล
2.“เกาะไข่” เกาะที่ในอดีตเคยมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่เป็นจำนวนมาก
เกาะไข่ นอกจากจะมีหาดสวยน้ำใสแล้ว ยังมีสัญลักษณ์แห่งตะรุเตาและสัญลักษณ์สตูลอย่าง "ซุ้มประตูหิน" มีลักษณะเป็นแนวหินยื่นยาวจากตัวเกาะโค้งทอดตัวลงบนชายหาด นับเป็นผลงานการสร้างสรรค์อันน่าทึ่งของธรรมชาติ ซึ่งมีความเชื่อว่า ใครที่ควงคู่กันมาเดินลอดซุ้มประตูแห่งนี้ความรักจะสมหวังยั่งยืน
3.“เกาะหินงาม” เกาะที่ไม่มีหาดทรายขาวเนียนให้เหยียบย่ำ หากแต่มีก้อนหินงามๆ ก้อนมนๆ ทรงกลม รี แบน สีดำ น้ำตาลเข้ม อยู่เต็มหาด ซึ่งกว่าที่เกาะหินงามจะมีวันนี้ ธรรมชาติต้องใช้เวลาสรรค์สร้างอย่างยาวนานมากกินเวลานับพันนับหมื่นปี หรืออาจจะมากกว่านั้น!?!
นั่นจึงทำให้ทางอช.ตะรุเตา ออกกฎเข้ม ห้ามใครแอบนำ(ขโมย)หินจากบนเกาะนี้ไปเด็ดขาด พร้อมกับมีป้ายคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาขึ้นติดเอาไว้ว่า
“...ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด...”
ในอดีตคนที่ขึ้นมาเที่ยวบนเกาะหินงามส่วนใหญ่จะนิยมขึ้นมาเรียงหินซ้อนต่อกันเป็นชั้นๆ เป็นเจดีย์หิน หรือคอนโดหิน แล้วอธิษฐาน บ้างก็ว่าถ้าเรียงซ้อนกันได้ 13 ก้อน 13 ชั้น จะโชคดี ส่วนบ้างก็ว่า ยิ่งเรียงได้สูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งโชคดี
ส่งผลที่ผ่านมาให้มีคนมาเรียงหินบนเกาะหินงามกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อหินบนเกาะหินงามตามมา เพราะเมื่อมีคนนำก้อนหินขึ้นเรียงซ้อนกันเป็นเจดีย์แล้ว ยามเมื่อมีลมแรงๆพัดกระโชก เจดีย์หินที่ส่วนใหญ่ถูกเรียงวางไว้แบบไม่เสถียรเมื่อถูกลมพัดเสียสมดุลเพียงเล็กน้อยก็จะโค่นพังลงมา ทำให้ก้อนหินบางก้อนแตกหักเปลี่ยนจากหินงามกลายเป็นหินแตก ส่งผลเสียหายต่อก้อนหินที่สวยงามของเกาะแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันทางอช.ตะรุเตา จึงประกาศห้ามนักท่องเที่ยวเรียงหินบนเกาะหินงาม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรหินสวยๆงามๆบนเกาะแห่งนี้ไว้ให้ดำรงคงอยู่ ไม่ให้เกิดแตกหักชำรุด(มากกว่าเดิมที่ผ่านมา) ซึ่งเกิดมาจากการเรียงหินของน้ำมือมนุษย์
4.“เกาะอาดัง” เกาะแห่งนี้มีชื่อมาจากคำว่า“อุดัง” ที่แปลว่ากุ้งในภาษามลายู เพราะในอดีตบริเวณเกาะเคยอุดมไปด้วยกุ้งทะเลชุกชุม
เกาะอาดังตั้งอยู่ใกล้ๆกับเกาะหลีเป๊ะ บนเกาะมีที่พักสงบเป็นส่วนตัว ให้บรรยากาศแตกต่างไปจากที่พักมากแสงสีบนฝั่งหาดบันดาหยาที่เกาะหลีเป๊ะ
เกาะอาดังมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขา มีป่าอุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกที่มีน้ำตลอดปี ขณะที่บริเวณที่พักมีหาดทรายละเอียดขาวเนียน นอกจากนี้บนเกาะอาดังยังมีจุดชมวิว “ผาชะโด” ที่สามารถมองลงไปเห็นวิวเกาะหลีเป๊ะกับรูปพรรณสัณฐานแบนราบ อีกทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกชั้นดี
5.“เกาะราวี” เกาะที่เป็นดังเกาะคู่แฝดของเกาะอาดัง โดยคนมักจะเรียกรวมกันว่า”เกาะอาดัง-ราวี”
เกาะราวี ตั้งอยู่ห่างจากเกาะอาดังเพียง 1 กม. บนเกาะเป็นจุดพักกินอาหารกลางวันของนักท่องเที่ยว ซึ่งใครเมื่อกินอิ่มแล้วก็ให้นำขยะเศษอาหารที่เหลือกลับไปทิ้งด้วย
เกาะราวี มี“หาดทรายขาว” หาดงามน้ำในทะสวย มีทรายละเอียดขาวเนียน ท่ามกลางธรรมชาติของต้นไม้ร่มรื่น และพร็อพประกอบทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชบาติ อย่างตอไม้ ขอนไม้ หรือที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่าง ชิงช้า โมบายเปลือกหอย นับเป็นอีกหนึ่งเกาะงามที่สาวๆส่วนใหญ่มาแล้วมักจะไม่พลาดการโพสต์ท่านั่งชิงช้าหรือนั่งบนขอนไม้เพื่อถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก
6.”เกาะรอกลอย”(รอ-กลอย) เกาะขนาดเล็กประเภทจิ๋วแต่แจ๋ว กับวิวทิวทัศน์งดงามตา โดยเฉพาะกับหาดทรายและผืนน้ำทะเลที่ไหลผ่านสันทรายน้ำตื้นระหว่างเกาะรอกลอยกับเกาะดงที่อยู่ติดๆกันนั้น มันช่างสวยงามจับใจ
สายน้ำที่เกาะรอกลอยใสแจ๋วแหวว ก่อนจะค่อยๆไล่โทนไปสู่สีเขียวอมฟ้าจางๆ ยามต้องแสงแดดจะเป็นประกายพริบพรายระยิบระยับ จนได้รับฉายาว่าเป็น “มรกตกลางทะเล” รวมถึงถูกยกให้เป็น “สระ(ว่าย)น้ำกลางทะเล” ที่ใครมาเห็นต่างอดไม่ได้ที่จะลงแหวกว่ายเล่นน้ำท่ามกลางสระธรรมชาติอันงดงามแห่งนี้
7. “เกาะหินซ้อน” ที่เป็นประติมากรรมธรรมชาติก้อนหินใหญ่วางซ้อนกันกลางทะเลดูเหมือนจะตกไม่ตกแหล่ แต่ว่ากลับมีความสมดุล ดูน่าทึ่งเป็นยิ่งนัก
8. “ร่องน้ำจาบัง” จุดดำน้ำไฮไลท์แห่งหมู่เกาะตะรุเตา โลกใต้ทะเลที่ร่องน้ำจาบังอุดมไปด้วยปะการังสีสันสดสวยทั้ง ชมพู ม่วง แดง เหลือง สีฟ้า สมดังคำร่ำลือว่าที่นี่มีปะการัง 7 สี สวยไม่เป็นรองใคร
แต่ด้วยความที่กระแสน้ำที่นี่ไหลเชี่ยวแรงมาก ดังนั้นผู้ที่ลงดำน้ำดูปะการังต้องสวมชูชีพทุกครั้ง ใครที่ว่ายน้ำไม่แข็งหรือว่ายน้ำไม่เป็นต้องเกาะเชือกที่เขามีผูกไว้ให้แม่นมั่น เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนและไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง
9. “เกาะหลีเป๊ะ” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลอันแสนฮอตฮิตของบ้านเรา
เกาะหลีเป๊ะ ก่อนที่จะถูกค้นพบและแปรสภาพกลายเป็นเกาะท่องเที่ยวเต็มรูปแบบอย่างในวันนี้ เดิมเป็นบ้านของชาวเล(อูรักลาโว้ย)มาก่อน ก่อนที่อุทยานแห่งชาติ คนบนแผ่นดินใหญ่ การท่องเที่ยว นายทุน นักท่องเที่ยว และฯลฯ จะตามเข้ามาในภายหลัง พร้อมๆกับรุกคืบผลักดันชาวเล“คนใน”เจ้าของเดิม ให้ออกไปยืนห่างๆไม่ต่างอะไรจาก“คนนอก” ซึ่งวันนี้บนเกาะหลีเป๊ะยังพอมีภาพวิถีชีวิตของชาวเลยุคใหม่ หลงเหลือให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสกันแบบพอหอมปากหอมคอ ไม่ว่าจะเป็น บ้านเรือนผสมแบบดั้งเดิมกับวิถีใหม่ หรือการใช้ชีวิตร่วมสมัยที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป
สำหรับชายหาดหลักๆอันสวยงามโดดเด่นบนเกาะหลีเป๊ะนั้น ได้แก่
“หาดชาวเล”(Sunrise Beach)ที่บริเวณหลังเกาะ เดิมที่นี่เคยเป็นถิ่นอาศัยของชุมชนชาวเล แต่เมื่อการท่องเที่ยวเติบโต ที่ดินถูกขาย ให้เช่าทำเป็นที่พัก บังกะโล ชาวเลก็ถูกย้ายไปตั้งชุมชนลึกเข้าไปใกล้ๆกับโรงเรียนบ้านอาดัง(โรงเรียนประจำเกาะหลีเป๊ะ) ขณะที่วิถีชาวเลวันนี้ก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ออกทะเลเป็นหลักวันนี้เปลี่ยนมาทำด้านการท่องเที่ยวขับเรือนำเที่ยว เป็นลูกจ้าง แรงงาน ตามร้านอาหาร โรงแรม หรือบางคนก็เปิดร้านอาหารเองก็มี
หาดชาวเล เป็นชายหาดยาวทอดเคียงคู่ไปกับทิวสน ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดี ในยามเช้าที่ฟ้าเป็นใจสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมแดงลอยโผล่ขึ้นมาจากม่านเมฆกลางทะเลอันสวยงาม โดยมี “เกาะกระ” เกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่ใกล้ๆฝั่ง และที่เรือจอดเรียงราย ร่วมเป็นองค์ประกอบแห่งความงาม
“หาดเมาเท่น”(เมาเทิร์น) หาดที่ตั้งชื่อตามตามชื่อรีสอร์ทที่อยู่บริเวณนั้น (หรือบางคนก็เรียกหาดนี้ว่า “หาดคาร์มา”)
หาดเมาเท่น ตั้งอยู่ใกล้ๆหาดชาวเล ณ ส่วนปลายสุดฝั่งหนึ่งของแนวชายหาดหลังเกาะ มีแนวชายหาดขาวเนียนสวยงามยื่นเป็นครึ่งวงรีกินเข้าไปในทะเล เป็นหาดน้ำตื้นที่คนนิยมมาเล่นน้ำกันมาก มีน้ำทะเลสวยใสแจ๋ว
ในช่วงน้ำลง ที่หน้าหาดเมาเท่นจะผุดแนวสันทรายกลางทะเลขึ้นมา เป็นเกาะเล็กๆแบนๆ น้ำทะเลใสแจ๋ว ทรายละเอียดยิบ นอกจากนี้ในช่วงเย็นที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะ
“หาดประมง” หรือ “หาดซันเซ็ท” (Sunset) เป็นอีกหนึ่งหาดบนเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม เพราะแนวหาดหันหน้าเข้าประจันกับดวงอาทิตย์ยามเย็นแบบชัดแจ้ง
บนเกาะหลีเป๊ะยังมีหาดไฮไลท์อยู่อีกหนึ่งหาดคือ “หาดบันดาหยา” อันเป็นด่านแรกในการเหยียบเกาะหลีเป๊ะ เพราะเป็นจุดขึ้น-ลงเรือเทียบท่าชายฝั่ง
สำหรับชื่อหาดบันดาหยานั้นเป็นชื่อแท้ๆของหาดแห่งนี้ แต่ที่ผ่านมาเรามักจะเรียกชื่อหาดนี้ตามฝรั่งกันติดปากว่า“หาดพัทยา” รวมไปถึงตามเอกสารนำเที่ยวและข้อมูลท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ตจำนวนมากก็มักจะเรียกว่าหาดพัทยาด้วยเช่นกัน
หาดบันดาหยา เป็นหาดโค้งยาวสวยงาม มีทรายละเอียดแน่นนุ่มเท้า เป็นหาดยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ทั้งมาเล่นน้ำ อาบแดด พักผ่อน ดื่มกิน และเมามาย รวมถึงมาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ตกทะเลอันสวยงาม
นอกจากนี้บนหาดบันดาหยายังมีเส้นทางถนนคนเดินอันคึกคักมากไปด้วยร้านรวง ทอดยาวไปสิ้นสุดๆแถวบริเวณกลางเกาะ นับเป็นแหล่งบันเทิงยามราตรีที่ยากจะหลับใหลเช่นเดียวกับหน้าหาดบันดาหยา
สำหรับเกาะหลีเป๊ะแล้ว จากเกาะที่เคยสงบสวยงามจากธรรมชาติอันพิสุทธิ์เมื่อครั้งอดีต วันนี้ได้เปลี่ยนเป็นเกาะท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ(แต่ก็ยังคงความงามอยู่) ซึ่งเมื่อเกาะหลีเป๊ะมีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นแหล่งทำเงินสำคัญของสตูล
ทำให้เกาะหลีเป๊ะเกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ขึ้นมากมาย จนส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (โดยเฉพาะในช่วงราว 6-7 ปีที่ผ่านมา) ทำให้หลายๆคนอดเป็นห่วงเกาะหลีเป๊ะไม่ได้ ว่า หากต่างคนต่างมุ่งเข้ามากอบโกย ไม่มีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้เกาะหลีเป๊ะ ไม่มีการจัดระเบียบควบคุมสิ่งก่อสร้าง ควบคุมทัศนะอุจาด ไม่แก้ปัญหาเรื่องขยะได้ สิ่งแวดล้อม ไม่มีการวางแผนเพื่อรองรับการเติบโตของเกาะในทิศทางที่ถูกต้องและชัดเจน
เกาะหลีเป๊ะในวันหน้าอาจเป็น“เกาะเละปี๋” ที่ถ้าหากว่าทางผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ปล่อยปละละเลยปัญหาต่าง ๆ ให้เป็นไปตามยถากรรม บางทีในอนาคตข้างหน้าทะเลไทยอาจต้องสูญเสียเพชรเม็ดงามนามว่า“หลีเป๊ะ”ไป แบบไม่มีวันหวนคืน
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR