ศูนย์ข่าวศรีราชา - เผยภาพวงจรปิดจับภาพพ่อค้านาฬิกาก๊อบปี้ในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี รุมต่อยตีทหารหนุ่มอเมริกันที่มาหาความสำราญในบาร์เบียร์ หลังเสร็จสิ้นภารกิจฝึกคอบร้าโกลด์ 2018 ผู้เห็นเหตุการณ์ชี้กลุ่มพ่อค้านาฬิกาไม่พอใจที่เสนอขายสินค้าไม่ได้จึงหาเรื่องชกต่อย ด้านทหารหนุ่มไม่อยากต่อสู้ ทำได้เพียงแค่ป้องกันตัว และวิ่งหนี ด้าน ตร.พื้นที่เผยพ่อค้านาฬิกาเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน
วันนี้ (27 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกสังคมออนไลน์เมืองพัทยา กำลังพากันแชร์คลิปวิดีโอที่ได้รับการเผยแพร่โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ JULIE WOLSTENCROFT ที่เผยแพร่คลิปวิดีโอความยาว 1.41 นาที ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์นักท่องเที่ยว และกลุ่มพ่อค้านาฬิกาก๊อบปี้ชาวไทยทะเลาะวิวาทกัน ท่ามกลางสายตาของประชาชน และนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
คลิปวิดีโอดังกล่าวบันทึกภาพขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกำลังแลกหมัดกับชายไทย ที่บริเวณบาร์เบียร์ ริมถนนเลียบหาดพัทยา ติดกับสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีพนักงานบาร์เบียร์ และนักท่องเที่ยวช่วยกันห้ามปราม แต่ชายไทยกลับยกพวกกรูเข้าทำร้ายนักท่องเที่ยวจนต้องวิ่งหนีเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวทั้งสองฝ่ายไปสอบสวน
โดยทราบว่า นักท่องเที่ยวเป็นทหารอเมริกันที่เดินทางมาพักผ่อนหลังผ่านการฝึกคอบร้าโกลด์ครั้งที่ 37 ประจำปี 2561 ที่เมืองพัทยา ซึ่งได้เข้าไปนั่งดื่มในบาร์เบียร์บริเวณดังกล่าว และได้มีพ่อค้าขายนาฬิกาก๊อบปี้เข้ามาเสนอขายสินค้า แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวไม่สนใจจนเกิดการรบเร้า และมีปากเสียงกันขึ้น ก่อนที่พ่อค้านาฬิกาจะชกเข้าที่ใบหน้าของทหารหนุ่มชาวอเมริกัน ที่ได้ต่อสู้เพื่อป้องกันตนเอง ซึ่งเมื่อพ่อค้านาฬิกาสู้ไม่ได้จึงไปตามกลุ่มเพื่อนจนเกิดการชุลมุนไล่ทำร้ายกันขึ้น
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีทราบว่า เบื้องต้น ได้ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ และดูภาพจากกล้องวงจรปิด โดยพบว่า กลุ่มคนขายนาฬิกาได้เปิดฉากชกต่อยนักท่องเที่ยวก่อนจนเกิดการชุลมุนกัน ซึงจะได้ตามตัวทั้ง 2 ฝ่ายมาสอบสวนก่อนดำเนินคดีตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อพอรู้ว่าสินค้าเป็นของก๊อบปี้ก็มักจะปฏิเสธการซื้อ จึงทำให้ผู้ขายสินค้าไม่พอใจ บางรายเข้าหาเรื่อง บางรายข่มขู่ทำร้ายนักท่องเที่ยว จนทำให้นักท่องเที่ยวพากันหวาดกลัว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ก็ยังไม่มีการปราบปรามอย่างจริงจังแต่อย่างใด