“ตรัง เมืองคนช่างกิน”
คือฉายาที่บ่งบอกถึงตัวตนอันชัดเจนในความเป็นคนช่างกินของชาวตรัง(ส่วนใหญ่)ได้เป็นอย่างดี
คนตรังมีวัฒนธรรมการกินเริ่มตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึงดึกดื่น นอกจากนี้เมืองตรังยังมีอาหารมากหลายให้เลือกกิน มีร้านอาหารอร่อยมากมาย และมีอาหารถิ่นชั้นเลิศ ที่มีรสชาติและกระบวนการทำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้เลือกลองลิ้มชิมรสกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” จึงคัดสรรให้จังหวัดตรังเป็น 1 ใน 12 “เมืองต้องห้าม...พลาด” ภายใต้แนวคิด “ยุทธจักรความอร่อย” ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความเป็นเมืองคนช่างกิน ถิ่นอาหารอร่อยมากหลายของจังหวัดตรังได้เป็นอย่างดี
ขณะที่จังหวัดสตูลที่อยู่ติดกันถัดลงใต้ไปอีกนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีอาหารการกินน่าสนใจหลากหลายให้ชวนลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็น อาหารมุสลิม อาหารทะเล อาหารพื้นบ้าน และขนมพื้นถิ่น เป็นต้น
นั่นจึงทำให้ ททท.ที่ต่อยอดความสำเร็จของโครงการเมืองต้องห้าม...พลาด ด้วยแคมเปญ “เมืองต้องห้าม...พลาดplus”(เมืองต้องห้าม...พลาดพลัส) จึงได้จับคู่จังหวัด“ตรัง-สตูล” เข้าด้วยกัน พร้อมสร้างสรรค์เป็นเส้นทางท่องเที่ยว “ตรัง plus สตูล” เชิญชวนผู้สนใจไปสัมผัสกับเส้นทางกินอร่อย เที่ยวสนุก และมากไปด้วยสถานที่น่าสนใจอันชวนให้น่าหลงใหล น่าปักหมุดหยุดเวลาไปกับความน่ารักของเมืองทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
มื้อเช้าแบบตรัง
“หรอยแบบตรัง”
คือมนต์ขลังเมืองยุทธจักรความอร่อยของคนตรัง ซึ่งในแต่ละวันจะกินกันมากถึง 5-6 มื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้าของชาวตรังนั้นถือว่า“จัดเต็ม”มากๆ จนกลายเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเมืองตรัง มักจะไม่พลาด“มื้อเช้าแบบชาวตรัง”ด้วยประการทั้งปวง
สำหรับมื้อเช้าแบบชาวตรังที่ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นก็คือ การกิน“กาแฟ”หรือ“โกปี๊” กับ“ติ่มซำ” ที่จัดเสิร์ฟมาเต็มโต๊ะ มีทั้ง ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า เต้าฮู้ปลา มะระยัดไส้ บะจ่าง ฯลฯ รวมไปถึง“หมูย่าง”อาหารถิ่นขึ้นชื่อของเมืองตรัง ซึ่งว่ากันว่า ใครที่มาเยือนเมืองตรังแล้ว ถ้าไม่(ลอง)กินหมูย่างก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงตรังโดยสมบูรณ์
หมูย่างเมืองตรังมีกรรมวิธีการทำด้วยสูตรเด็ดเฉพาะตัว ย่างด้วยเตาถ่านจนหมูสุกทั่วถึงกันทั้งตัว มีหนังกรอบ เนื้อนุ่ม หอมเครื่องเทศ รสชาติกลมกล่อมออกหวานนำนิดๆ สามารถกินเปล่าๆหรือจิ้มกับน้ำจิ้มก็อร่อยเด็ดไปคนละแบบ
นอกจากหมูย่างแล้ว ตรังยังมีของกินขึ้นชื่ออื่นๆอีก อย่างเช่น “ขนมจีบ”(ขนมจีบป้าพิณ)ที่หน้าตาคล้ายกะหรี่ปั๊บ ไส้สังขยา รสชาติหวานหอม, “เค้กเมืองตรัง” หรือ “เค้กมีรู” ที่กลิ่นหอมละมุน เนื้อนุ่มละเอียด รสชาติหวานกำลังดี
รวมไปถึง“หมี่หนำเหลี่ยว” ที่เป็นเส้นหมี่เหลืองลวกคลุกกระเทียมเจียวราดน้ำราดสูตรเฉพาะ ซึ่ง ททท.ได้คัดสรรเป็นอาหารถิ่นต้องห้ามพลาดประจำจังหวัดตรังในโครงการ “อาหารถิ่น ตะลุยกินทั่วไทย” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูชวนลิ้มลอง
ทะเลตรัง วันเดียวเที่ยว 4 เกาะ
ตรังเป็นจังหวัดชายฝั่งติดท้องทะเลอันดามันตอนล่าง “ทะเลตรัง”ถือเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน และเป็นอีกหนึ่งสิ่งไม่ควรพลาดสำหรับผู้มาเยือนเมืองตรัง
ทะเลตรังเป็นทะเลที่ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันพิสุทธิ์ มีความเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน แถมราคาค่าใช้จ่ายต่างๆก็สมเหตุสมผล(ไม่สูงเกิน) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่มีทะเลในหัวใจให้เดินทางไปสัมผัสดื่มด่ำในความงาม
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่เด่นๆของจังหวัดตรังนั้นก็อย่างเช่น เกาะเหลาเหลียง เกาะสุกร เกาะลิบง หาดเจ้าไหม หาดราชมงคล หาดปากเมง เป็นต้น
นอกจากนี้ทะเลตรังยังมีกลุ่มเกาะใกล้ชายฝั่งที่สามารถเลือกเที่ยวได้ในแบบวันเดย์ทริป(One Day Trip)ไปเช้า-เย็นกลับ กับกิจกรรม “วันเดียวเที่ยว 4 เกาะ” ซึ่งปัจจุบันเป็นแพคเกจท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างสูง
กิจกรรมวันเดียวเที่ยว 4 เกาะ เริ่มเกาะแรกกันที่ “เกาะมุก” อันเป็นที่ตั้งของ “ถ้ำมรกต” แหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์อันลือลั่น ซึ่งเราต้องลอยคอ(เกาะตัวคนข้างหน้า)ค่อยๆว่ายน้ำฝ่าความมืดมืดเข้าไป ครั้นเมื่อถึงภายในถ้ำก็จะพบกับปล่องถ้ำสูงที่มีชายหาดขนาดย่อมอยู่ภายใน ยามแสงอาทิตย์สาดส่อง น้ำทะเลในนี้จะสะท้อนแสงเกิดสีสันสวยงามดุจดังมรกตดูน่าอัศจรรย์
จากถ้ำมรกต-เกาะมุก เกาะต่อไปคือ “เกาะกระดาน” เกาะที่ได้ชื่อว่ามีชายหาดสวยที่สุดแห่งท้องทะเลตรัง กับแนวชายหาดอันสวยงามที่ทอดตัวเป็นแนวยาวหลายร้อยเมตร มีทรายละเอียดยิบดุจแป้ง เดินนุ่มเนียนสบายเท้า
เกาะที่ 3 เป็น การดำน้ำชมความสวยงามของโลกใต้ทะเลที่ “เกาะม้า” หรือ “เกาะแหวน” ก่อนจะปิดท้ายเกาะที่ 4 ที่ “เกาะเชือก” ที่มีกระแสน้ำแรงจึงต้องดำน้ำเกาะเชือก(สมดังชื่อเกาะ)ชมความงามของโลกใต้ทะเล ที่งดงามไปด้วยปะการังอันหลากหลายและฝูงปลาจำนวนมาก ชวนให้ประทับใจเป็นยิ่งนัก
พิชิตเรือนยอดไม้
จากท้องทะเลเราขึ้นฝั่งมาเที่ยวบนบกกันที่ “สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้”(ทุ่งค่าย) หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆว่า “สวนพฤกษศาสตร์ฯทุ่งค่าย” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ทุ่งค่าย อ.ย่านตาขาว
สวนพฤกษศาสตร์ฯทุ่งค่าย มีพื้นที่ราวๆ 2,600 ไร่ ภายในมีการจัดสรรเป็นส่วนต่างๆ โดยในส่วนของบริเวณที่จัดสรรไว้เพื่อการท่องเที่ยวนันทนาการ มีการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างร่มรื่นสวยงาม แบ่งเป็นสวนต่างๆตามประเภทของพืชพรรณไม้ มีป้ายสื่อความหมายให้ข้อมูลอยู่ทั่วไป รวมถึงมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ เส้นทางเดินป่าพรุให้ศึกษาเที่ยวชม โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ “สะพานศึกษาเรือนยอดไม้” ซึ่งสร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในเมืองไทย
สะพานศึกษาเรือนยอดไม้ที่นี่มีความยาวประมาณ 175 เมตร เป็นสะพานแขวนลวดสลิงในช่วงระดับต่างๆ 5 ช่วง 3 ระดับ มีความสูงตั้งแต่ 10-14 เมตร พร้อมกับมีหอคอย 6 หอ เป็นจุดเชื่อมต่อ จุดแวะพัก ฐานให้ความรู้ และจุดชมวิว
เมื่อขึ้นไปเดินบนนั้น จะได้สัมผัสกับความน่าตื่นตาตื่นใจจากการเดินสะพานแขวน ได้ชมวิวทิวทัศน์เรือนยอดไม้อันงดงาม เห็นถึงเขียวขจีความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ซึ่งเราจำเป็นต้องช่วยกันดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ให้ดีที่สุด
เที่ยวถ้ำเล ลอดท้องมังกร
ตรังเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีถ้ำสวยๆงามๆมากมาย นอกจากถ้ำมรกตกลางทะเลแล้วก็ยังมีถ้ำน่าสนใจอื่นๆอีก ได้แก่ “ถ้ำเจ้าคุณ-ถ้ำเจ้าไหม”ที่มีหลายห้องซับซ้อนภายในงดงามไปด้วยหินงอก-หินย้อย, “ถ้ำเขาปินะ” ภายในแบ่งออกเป็น 8 ถ้ำย่อย ชั้นบนสุดของถ้ำมีลานหินยื่นออกไปชมวิวอันสวยงาม ,“ถ้ำพระพุทธ” มีพระนอนองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่
รวมถึง“ถ้ำเขาช้างหาย” ที่ภายในมีหินงอกหินย้อยอันสวยงามที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก อีกทั้งยังเป็นถ้ำที่มีตำนานเล่าขานกันว่า ลูกช้างที่เพิ่งคลอดจากแม่ช้างในขบวนช้างของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชที่จะไปร่วมงานก่อสร้างพระบรมธาตุเมืองนคร ได้วิ่งซุกซนแล้วหายเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ ค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบจึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำเขาช้างหายดังในปัจจุบัน
จังหวัดตรังยังมีอีกหนึ่งถ้ำสำคัญที่เป็นอันซีนไทยแลนด์ และเป็นถ้ำต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนเมืองตรังนั่นก็คือ “ถ้ำเลเขากอบ” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด
ภายในถ้ำเลเขากอบ แบ่งเป็นถ้ำย่อยห้องต่างๆ อาทิ ถ้ำท้องพระโรง ถ้ำรากไทร ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำเจ้าสาว ซึ่งแต่ละห้องนอกจากจะสวยงามไปด้วยหินงอกหินย้อยแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ความโดดเด่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
นอกจากนี้ถ้ำเลเขากอบยังมีไฮไลท์สำคัญเป็นทีเด็ดสำหรับผู้เข้าไปชมถ้ำนั่นก็คือ เวลาเข้าถ้ำจะต้องนั่งเรือท้องแบนมุดใต้ท้องถ้ำเข้าไป
ระหว่างทางในบางช่วง(ยาวๆ)เราจำเป็นต้องนอนหงายราบให้ชิดติดกับท้องเรือมากที่สุด และห้ามผงกหัวลุกขึ้นมา(ต้องเชื่อฟังคำสั่งคนพายเรืออย่างเคร่งครัด) เนื่องจากใต้ท้องถ้ำนอกจากจะแคบมากแล้ว ยังมีเพดานถ้ำต่ำเตี้ยมากๆชนิดเฉียดสันจมูก(โด่งๆ)ไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด สามารถสร้างความสนุกสนาน ตื่นเต้นหวาดเสียว และลุ้นระทึกให้กับนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือเข้าไปในใต้ท้องถ้ำเลเขากอบได้เป็นอย่างดี
สำหรับการนั่งเรือมุดลอดถ้ำเลเขากอบอันแสนหวาดเสียวนั้นก็ถือว่าไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เนื่องจากมีความเชื่อว่า การได้มุดลอดในใต้ท้องถ้ำแห่งนี้เปรียบได้กับการมาลอดท้องมังกร ซึ่งผู้มาลอดจะประสบกับโชคดีมีชัยกลับไป
พูดถึงมังกรแล้ว ไม่ไกลจากถ้ำเลเขากอบมีอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งมังกรอันโดดเด่นแห่งจังหวัดตรังนั่นก็คือ “วังเทพธาโร” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด
วังเทพธาโร เกิดจากการที่นาย“จรูญ แก้วละเอียด” หรือ “ครูจรูญ”(ครูวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนห้วยยอด) ได้ไปกว้านซื้อไม้“เทพธาโร”(ไม้จวงหอม)ไม้มงคลที่เนื้อมีกลิ่มหอม ซึ่งชาวบ้านได้ตัดทิ้งขุดทิ้งจนเหลือแต่ตอเหลือแต่ซากเศษไม้รอเวลาเผาทิ้ง มาสร้างสรรค์เป็นประติมากรรมมังกรอันสวยงามน่าทึ่งมากมายหลายสิบตัว จนเกิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่อันโดดเด่นคู่เมืองตรังขึ้นมา
วันนี้วังเทพธาโรมีประติมากรรมมังกรน้อย-ใหญ่เกือบ 90 ตัว ในรูปร่างลักษณะท่าทางแตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นเป็นมังกรตัวสำคัญ มีขนาดใหญ่ ยาว บริเวณส่วนลำตัวหรือท้องของมังกรตัวนี้ ทำเป็นช่องทางให้เดินลอดกับ “9 ช่องประตูท้องมังกร” ซึ่งแต่ละช่องจะมีความเชื่อในด้านเสริมสิริมงคลแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น พลัง อำนาจ มั่งมี บารมี ยิ่งใหญ่ ฯ
ส่งผลให้มังกรตัวนี้กลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของวังเทพธาโรที่มีนักท่องเที่ยวมาเดินลอดเสริมสิริมงคล และอธิษฐานขอพรกันเป็นจำนวนมาก
กันตัง มนต์ขลังทรงเสน่ห์
ในจังหวัดตรังยังมี“อำเภอกันตัง”เป็นอีกหนึ่งอำเภอที่มีความโดดเด่นทางการท่องเที่ยวไม่น้อย
อำเภอกันตัง ถือเป็นแหล่งปลูกยางพาราแห่งแรกของเมืองไทย ซึ่งในปี พ.ศ. 2442 “พระสถลสถานพิทักษ์”(คออยู่เกียด ณ ระนอง) หลานของ“พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี”(คอซิมบี้ ณ ระนอง) ได้นำกล้ายางพาราจากประเทศอินโดนีเซียมาปลูกในเมืองไทยได้สำเร็จเป็นแห่งแรกที่อำเภอกันตัง (ตามดำริของพระยารัษฎาฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตรังอยู่ในขณะนั้น)
ปัจจุบันยางพารารุ่นแรกที่พระสถลสถานพิทักษ์นำมาปลูกในเมืองไทย หลงเหลืออยู่เพียงต้นเดียว คือ ยางพาราต้นใหญ่ที่อยู่ริมถนนตรังคภูมิ ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง ซึ่งทางเทศบาลตำบลกันตังและอำเภอกันตัง ได้ทำการอนุรักษ์ไว้ อีกทั้งยังได้เขียนป้ายข้อความบอกว่านี่เป็น “ต้นยางพาราต้นแรกของประเทศไทย” เพื่อให้ยางพาราต้นนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ และรับรู้ถึงคุณงามความดีของพระยารัษฎาฯ ที่ท่านได้พัฒนาและส่งเสริมกิจการการปลูกยางพาราในบ้านเราจนได้รับการยกย่องให้เป็น“บิดาแห่งยางพารา”
ด้วยคุณงามความดีของพระยารัษฎาฯที่มีมากมายหลายด้านโดยเฉพาะต่อเมืองตรัง ทางจังหวัดตรังจึงสร้างอนุสาวรีย์ “พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี(คอซิมบี้ ณ ระนอง)” ไว้ในสวนสาธารณะใจกลางเมืองตรัง เพื่อเชิดชูเกียรติของท่าน
ขณะที่ในอำเภอกันตังก็ได้มีการปรับปรุงจวนเจ้าเมืองตรังหลังเก่าที่ตั้งอยู่ด้านหลังเทศบาลกันตัง สร้างให้เป็น “พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี” โดยยังคงไว้ซึ่งลักษณะเดิมเหมือนเมื่อครั้งที่พระยารัษฎาฯยังมีชีวิตอยู่
พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯ เป็นเรือนไม้ทรงไทยประยุกต์ 2 ชั้น ภายในมีรูปหุ่นขี้ผึ้งพระยารัษฎาฯขนาดเท่าตัวจริง นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังได้แบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องโถง ห้องทำงาน ห้องนอน และยังได้จัดแสดงเครื่องมือ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของท่านอย่างครบถ้วน
ในอำเภอกันตังยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ชวนชมนั่นก็คือ “สถานีรถไฟกันตัง”ที่ตั้งอยู่บนถนนหน้าค่าย ตำบลกันตัง
สถานีรถไฟกันตัง เป็นสถานีรถไฟสถานีสุดท้ายบนเส้นทางรถไฟสายอันดามัน สถานีแห่งนี้เปิดใช้อย่างเป็นทางการมายาวนานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 ในสมัยที่กันตังยังเป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นจุดรับ-ส่งสินค้ากับต่างประเทศที่บริเวณท่าเรือกันตัง
ปัจจุบันแม้วันเวลาจะผ่านมากว่า 100 ปีแล้ว แต่สถานีรถไฟกันตังก็ยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นชวนมองอยู่ไม่เสื่อมคลาย โดยตัวสถานีเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยา ทาสีเหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาล ตัวอาคารแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านหน้ามีมุขยื่นตกแต่งมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุอันสวยงาม ดูให้บรรยากาศคลาสสิกเป็นอย่างยิ่ง
โรตี ชาชัก, ขนมผูกรัก ต้องห้ามพลาด
จากเมืองตรังล่องใต้ลงไปสู่สตูล จังหวัดสุดเขตแดนท้องทะเลอันดามันของบ้านเราที่นอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอันงดงามแล้ว สตูลยังเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ทางด้านอาหารการกินไม่น้อย
สำหรับผู้มาเยือนสตูล หนึ่งในของกินต้องห้ามพลาดก็คือ “ชาชัก” เพราะสตูลได้ชื่อเป็นต้นตำรับของชาชักในบ้านเรา
ชาชัก หรือ เตย์ ตาเระ(Tea Tarik) เป็นวิธีการชงชาที่จะใส่ส่วนผสมลงในกระบอกชาที่มีอยู่ 2 กระบอก แล้วเทสลับกันไป-มา โดยค่อยๆยกกระบอกให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนชาชักเกิดเป็นเส้นสายยาวสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง รอให้เนื้อชาผสมกลมกลืนกลมกล่อมเข้ากันดีแล้วจึงเทใส่แก้วเสิร์ฟ
ชาชักสตูลได้ชื่อว่ามีส่วนผสมของชาที่เข้มข้น กลิ่นหอมละมุน เหมาะกับการกินคู่กับโรตีที่ถือเป็นอีกหนึ่งของกินตู่เมืองสตูล ซึ่งวันนี้มีการประยุกต์โรตีให้มีหลากหลายรูปแบบและหลากหลายส่วนผสมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรตีธรรมดา โรตีใส่ไข่ โรตีตบ โรตีกล้วยหอม โรตีทิชชู ฯลฯ
ทั้งโรตีและชาชักถือเป็นของกินชูโรงแห่งจังหวัดสตูล ซึ่งว่ากันว่า “...มาสตูลทั้งที...ไม่แวะกินโรตี-ชาชัก ก็เหมือนยังมาไม่ถึงสตูล...”
นอกจากโรตี-ชาชักแล้ว สตูลยังมีอาหารเด่นๆ ได้แก่ อาหารมุสลิมพื้นบ้าน เช่น แกงตอแมะ ไก่ฆอ สลัดแขกหรือปัสมอส ส่วนอาหารทะเลที่สตูลนี่ก็ถือว่าโดดเด่นไม่น้อย โดยเฉพาะกับ “หอยท้ายเภา” หรือ “หอยตะเภา” หอยประจำจังหวัดสตูล มีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยมท้ายงอนขึ้นคล้ายท้ายเรือสำเภา ซึ่งสามารถนำไปผัดฉ่า หรือลวก เผา กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็อร่อยเด็ดนัก
ขณะที่ในส่วนของขนมนั้น สตูลมีขนมท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นขึ้นชื่อนำโดย “บุหงาบุดะ” ที่ทำจากแป้งชั้นดีสีสันจากธรรมชาติ มีไส้ทำจากมะพร้าวอ่อนให้รสชาติหวาน หอม กรอบ มัน
ขณะที่อีกหนึ่งขนมที่กำลังมาแรงนั่นก็คือ “ขนมผูกรัก” ที่ทาง ททท.คัดสรรให้เป็นเมนูอาหารถิ่นต้องห้ามพลาดประจำจังหวัดสตูลจากโครงการ “อาหารถิ่น ตะลุยกินทั่วไทย”
ขนมผูกรัก เป็นขนมกินเล่นกรุบกรอบไส้ปลา ที่มีรสชาติคล้ายขนมปั้นขลิบไส้ปลาที่เรารู้จักกันดี แต่จะมีความพิเศษที่เป็นความสะดุดตาแรกเห็นก็คือ “ลักษณะการห่อ” ที่จะผูกแผ่นแป้งให้เป็น “รูปโบว์” ซึ่งจะต้องใช้ความชำนาญและความตั้งใจในการผูก เสมือนใช้ความรักในการค่อยๆผูก ให้ออกมาเป็นขนมผูกรักอันสวยงามชวนกิน
ขนมผูกรัก จึงเป็นหนึ่งในของฝากที่หลายๆคนนิยมซื้อไปฝากคนพิเศษ เพราะเปรียบเสมือนตัวแทนความรักจากผู้ให้ถึงผู้รับนั่นเอง
เที่ยวบนฝั่ง สตูล
จากเรื่องกินอร่อย มาถึงเรื่องเที่ยวสนุกกันบ้าง เริ่มกันที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล”(คฤหาสน์กูเด็น) ที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง บนถนนสตูลธานี ซอย 5 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ วิถีวัฒนธรรม และสิ่งน่าสนใจอื่นๆอีกหลากหลายของจังหวัดสตูล นับเป็นจุดที่สามารถทำความรู้จักกับสตูลในฉบับย่อด้วยเวลาอันสั้นได้เป็นอย่างดี
ในตัวเมืองสตูลยังมีอีก 2 ศาสนสถานที่น่าสนใจ ได้แก่ “มัสยิดกลางจังหวัดสตูล” หรือ “มัสยิดมำบัง” เป็นมัสยิดในรูปทรงสมัยใหม่สีขาวงดงามตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบหินอ่อน กับ “วัดชนาธิปเฉลิม” วัดคู่บ้านคู่เมืองสตูล มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี
มาดูในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติกันบ้าง สตูลเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความโดดเด่นในเรื่องของธรรมชาติทั้งทางบก และทางทะเล
ในส่วนของทางบกสตูลมี “น้ำตกวังสายทอง”(อ.ละงู)เป็นน้ำตกอันสวยงาม มีสายน้ำชุ่มฉ่ำไหลเย็นตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีการ“ล่องแก่งวังสายทอง”(คลองลำโลน) ที่สามารถล่องได้ทั้งปีมีธรรมชาติอันร่มรื่นเป็นอีกหนึ่งสิ่งน่าสนใจ
นอกจากนี้ก็ยังมี “ทะเลบัน” แห่งอุทยานแห่งชาติทะเลบัน(ต.วังประจัน อ.ควนโดน) ที่เกิดจากการยุบตัวของพื้นดินระหว่างขุนเขา จนเกิดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ที่มีวิวทิวทัศน์อันงดงาม อุดมไปด้วยพืชพรรณต่างๆ
เที่ยวถ้ำงามเมืองสตูล
สตูลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวประเภทถ้ำอันสวยงามติดระดับโลก ได้แก่“ถ้ำภูผาเพชร”(อ.มะนัง) เป็นถ้ำใหญ่สุดอลังการกลางขุนเขา มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ แบ่งเป็นห้องต่างๆกว่า 20 ห้อง(แต่เปิดให้เที่ยวชมในบางส่วน) อาทิ ห้องปะการัง ห้องม่านเพชร ห้องพญานาค ห้องลานเพลิน เป็นต้น
เมื่อเดินเข้าไปภายในจะได้สัมผัสกับความวิจิตรตระการตาของหินงอกหินย้อยน้อยใหญ่อันชวนตื่นตะลึง ไม่ว่าจะเป็น หินงอกที่เป็นเสามหึมาค้ำเพดานถ้ำ หินงอกหินย้อยรูปร่างคล้ายปะการัง ตะกอนหินโบราณที่สะสมเป็นสันเส้นทางยาวมองดูคล้ายลำตัวพญานาค
รวมไปถึง“ห้องแสงมรกต” ที่เป็นไฮไลท์ เป็นโถงถ้ำใหญ่บนเพดานมีช่องโหว่ ยามเมื่อแสงแดดสาดส่องลอดเข้ามากระทบกับก้อนหินใหญ่กลางลาน จะเกิดเป็นสีเขียวมรกตดูสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
จังหวัดสตูลยังมีอีกหนึ่งถ้ำสำคัญ นั่นก็คือ “ถ้ำเลสเตโกดอน” (ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า) เป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวกว่า 4 กม. การเข้าไปเที่ยวในถ้ำเลสเตโกตอนต้องนั่งเรือแคนูเข้าไป
ภายในถ้ำเลสเตโกดอนเป็นพื้นที่กว้าง โล่ง สูง มีปล่องอากาศภายใน จึงมีอากาศโปร่งสบาย ระหว่างมีความงดงามของหินงอกหินย้อยให้ชมกันเป็นระยะๆ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ กับรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามจินตนาการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น หินคล้ายปลีกล้วย คล้ายหลอดกาแฟ หินคล้ายขั้นบันได เป็นต้น
นอกจากนี้ภายในถ้ำเลสเตโกดอนยังมีจุดที่พบเจอซากฟอสซิลเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการค้นพบสำคัญคือฟอสซิลฟันกรามของช้างสเตโกดอน อันเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเลสเตโกดอน”แห่งนี้
สันหลังมังกร
จากเข้าถ้ำ เราเปลี่ยนบรรยากาศมาชมความงามของท้องทะเลสตูลกันบ้าง เริ่มกันที่ “สันหลังมังกร” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ตันหยงโป อ.เมือง เป็นแนวชายหาดในทะเล เกิดจากซากเปลือกหอยจำนวนมากมายมหาศาลถับถมกันจนเกิดเป็นแนวสันทรายใต้ผิวน้ำอันน่าอัศจรรย์
ยามน้ำทะเลลดระดับลง สันทรายจากเปลือกหอยจะพากันปรากฏเด่นให้เห็น(เช่นเดียวกับทะเลแหวก) เกิดเป็นสันทรายกลางทะเลเวิ้งว้างเชื่อมระหว่างเกาะปูเลาอูบี(เกาะหัวมัน) กับเกาะปูเลาตีกอ(เกาะสาม) มีระยะทางยาวกว่า 5 กม.
สันทรายที่นี่มีความสวยงาม มีความคดโค้งไปมา ดูราวกับมังกรกำลังพลิ้วกายแหวกว่ายกลางทะเล เป็นที่มาของชื่อ “สันหลังมังกร” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดน่าชมและน่าไปเดินถ่ายรูปสวยๆ ชิลๆ กลางทะเลสตูลที่น่าสนใจยิ่ง
ตะรุเตา รักเราไม่เก่าเลย
มาถึงไฮไลท์ของท้องทะเลสตูลที่มีความสวยงามเป็นเลิศ เป็นหนึ่งทะเลในฝัน สวรรค์ของคนรักทะเล นั่นก็คือ “หมู่เกาะตะรุเตา” ที่ประกอบไปด้วยหมู่เกาะน้อย ใหญ่ มากกว่า 50 เกาะ สำหรับเกาะที่เป็นไฮไลท์สำคัญทางการท่องเที่ยวของหมู่เกาะแห่งนี้ ได้แก่
-“เกาะไข่” ที่นอกจากจะมีหาดสวยน้ำใสแล้ว ยังมี“ซุ้มประตูหิน”สัญลักษณ์แห่งตะรุเตาเป็นแนวหินยื่นยาวจากตัวเกาะโค้งทอดตัวลงบนชายหาด ซึ่งมีความเชื่อว่า ใครที่ควงคู่กันมาเดินลอดซุ้มประตูแห่งนี้ความรักจะสมหวังยั่งยืน
-“เกาะหินงาม” เกาะที่ไม่มีหาดทราย แต่มีก้อนหินงามๆ ก้อนมนๆ ทรงกลม รี แบน สีดำ น้ำตาลเข้ม อยู่เต็มหาด ถือเป็นความงามที่แตกต่างไปจากเกาะอื่นๆทั่วไป
-“เกาะอาดัง-ราวี” 2 เกาะใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆกัน และก็มีเสน่ห์คล้ายกันๆคือเป็นเกาะสงบงาม มีหาดทรายขาวเนียน น้ำทะเลสวยงาม รวมไปถึงองค์ประกอบของธรรมชาติอันเรียบง่ายแต่งดงาม
-“เกาะหินซ้อน” ที่เป็นประติมากรรมธรรมชาติก้อนหินใหญ่วางซ้อนกันกลางทะเลได้อย่างประหลาดน่าทึ่ง
-“เกาะรอกลอย”(รอ-กลอย) เกาะขนาดเล็กที่มีวิวทิวทัศน์งดงาม มีน้ำทะเลสวยงามใสแจ๋ว ก่อนจะค่อยๆไล่โทนไปสู่สีเขียวอมฟ้าจางๆ จนได้รับฉายาว่าเป็น “มรกตกลางทะเล”
และอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ“เกาะตะรุเตา”อดีตคุกกลางทะเลที่วันนี้ยังคงไว้ด้วยสภาพธรรมชาติอันสวยงามพิสุทธิ์ จนได้รับการยกย่องให้เป็น “มรดกแห่งอาเซียน” ในปี พ.ศ. 2525
บนเกาะตะรุเตา มีจุดน่าสนใจให้เที่ยวชมกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “อ่าวจาก” ที่ถูกโอบอ้อมด้วยภูผา 3 ด้าน,“อ่าวสารภี” แหล่งวางไข่เต่าทะเล ,“อ่าวตะโละวาว” สัญลักษณ์ของเกาะตะรุเตาที่มีหินซีกขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านโดดเด่น และ “อ่าวพันเตมะละกา” ที่มีหาดทรายขาวสะอาด ทอดตัวยาวสวยงาม พื้นทรายละเอียดยิบ
ด้วยความงามอันโดดเด่นของเกาะตะรุเตา และเกาะงามอื่นๆในหมู่เกาะตะรุเตา ทำให้ที่นี่มีคนหลงใหล และหลงรัก พร้อมกับมีสโลแกนชวนเที่ยวอันกิ๊บเก๋ว่า
“ตะรุเตา รักเราไม่เก่าเลย”
“หลีเป๊ะ” สวรรค์แห่งอันดามัน
หมู่เกาะตะรุเตายังมีเพชรน้ำงามอีกหนึ่งเม็ด คือ “เกาะหลีเป๊ะ” เกาะอันสวยงามที่มีชื่อเสียงโด่งไปไกลในระดับโลก
เกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะเล็กๆแต่ว่ามีน้ำทะเลสวยงามใสแจ๋ว บนเกาะหลีเป๊ะมีชายหาดหลักๆอันสวยงามโดดเด่นบนเกาะหลีเป๊ะนั้น ได้แก่
-“หาดชาวเล” ที่เป็นชายหาดยาวทอดเคียงคู่ไปกับทิวสน ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดี
-“หาดเมาเท่น”(เมาเทิร์น) ที่มีแนวชายหาดขาวเนียนสวยงามยื่นเป็นครึ่งวงรีกินเข้าไปในทะเล มีน้ำทะเลสวยใสแจ๋ว ในช่วงน้ำลงที่หน้าหาดเมาเท่นจะผุดแนวสันทรายกลางทะเลขึ้นมา เป็นเกาะเล็กๆแบนๆ ทรายบนนั้นละเอียดยิบ นอกจากนี้หาดเมาเท่นในช่วงเย็นยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะ
“หาดบันดาหยา” เป็นหาดโค้งยาวสวยงาม มีทรายละเอียดแน่นนุ่มเท้า เป็นหาดยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ทั้งมาเล่นน้ำ อาบแดด พักผ่อน ขณะที่ในยามค่ำคืนหน้าหาดบันดาหยาจะคึกคักไปด้วยแสงสี และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศความบันเทิง นับเป็นหนึ่งในหาดที่มากไปด้วยสีสันไม่น้อยเลย
.....
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของไฮไลท์ในเส้นทางท่องเที่ยว “ตรัง plus สตูล” ที่มากไปด้วยอาหารการกิน และสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะกับเรื่องความงามของถ้ำและท้องทะเล ที่ทั้ง 2 จังหวัดต่างก็มีความโดดเด่นขึ้นชื่อด้วยกันทังคู่
นับได้ว่าเส้นทาง “ตรัง plus สตูล” เป็นเส้นทางท่องเที่ยว กินอร่อย เที่ยวสนุก ที่สามารถสร้างความสุขใจให้กับผู้ไปเยือนได้เป็นอย่างดี
******************************************
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในเส้นทาง เมืองต้องห้าม...พลาด พลัส “ตรัง plus สตูล” เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานตรัง (พื้นที่รับผิดชอบ ตรัง สตูล) โทร. 0-7521-5867, 0-7521-1058, 0-7521- 1085
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com