“มังกร” เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของคนจีน ซึ่งชาวจีนเชื่อกันว่า “มังกร” คือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน มังกรเป็นตัวแทนของพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ พลังอำนาจสูงสุดของโลก มังกรจีนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความดีงาม และอำนาจบารมี จนถือได้ว่า มังกร เป็นสัญลักษณ์แทนความโชคดีสูงสุดก็ว่าได้
และในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ของชาวจีนนั้น ส่วนใหญ่ก็นิยมไปไหว้พระขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ และอีกหนึ่งเส้นทางไหว้พระเพื่อความเป็นมงคลนี้ ก็มี “มังกร” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะบนเส้นทางบุญนี้ประกอบไปด้วยวัด 3 แห่ง ได้แก่ หัวมังกร ท้องมังกร และหางมังกร
“หัวมังกร” อยู่ที่ “วัดเล่งเน่ยยี่” ในย่านเยาวราช ถนนสายมังกรในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้เลือกชัยภูมิที่ตั้งวัดโดยให้เจ้ากรมท่าซ้ายร่วมกับพุทธศาสนิกชนชาวจีนก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2414 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 8 ปีจึงแล้วเสร็จและให้ชื่อว่า “วัดเล่งเน่ยยี่” อันมีความหมายคือ เล่ง แปลว่ามังกร เน่ย แปลว่าดอกบัว ยี่ แปลว่าวัด ต่อมาภายหลังรัชกาลที่ 5 พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดมังกรกมลาวาส”
สถาปัตยกรรมของวัดแห่งนี้ก็โดดเด่นด้วยการวางผังแบบวังหลวงแต้จิ๋วโบราณ คือ มีวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก ตรงกลางเป็นพระอุโบสถ ข้างหลังพระอุโบสถเป็นวิหารเทพเจ้า การสร้างใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุสำคัญ โดยก่อนจะเข้าสู่วิหารท้าวจตุโลกบาลหน้าประตูทางเข้าทั้งสองด้านมีป้ายคำโคลงคู่มีความหมายว่า ประทุมประทีปส่องสว่างกลางเวหา และมังกรเหินสู่สวรรค์ ณ ถิ่นนี้ ที่วัดแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเปรียบดั่ง “ส่วนหัวของมังกร”
เมื่อเข้าไปภายในวิหารท้าวจตุโลกบาล จะได้พบกับเทพเจ้าที่ปกปักรักษาคุ้มครองทิศต่างๆ ทั้ง 4 ทิศ เป็นรูปหล่อปูนเขียนสีแต่งกายในชุดนักรบจีนถืออาวุธและสิ่งของต่างๆ กัน เช่น พิณ ดาบ ร่ม เจดีย์
ส่วนหลังคาวิหารท้าวจตุโลกบาล แสดงโครงสร้างคานขื่อตามแบบแต้จิ๋ว หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาแบบจีนโบราณ มีการประดับตกแต่งอาคารด้วยกระเบื้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ประกอบด้วยลวดลายสิริมงคลตามความเชื่อจีน มีการวาดลวดลายและแกะสลักลวดลาย ปิดทองอย่างสวยงาม มีการใช้โมเสกติดผนังทั้งหมด จัดว่าเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณที่มีความสมบูรณ์มากแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ถัดจากวิหารท้าวจตุโลกบาล คือ อุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระประธาน 3 องค์ด้วยกัน คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าในปัจจุบันกาล (เจ้าชายสิทธัตถะ), พระอมิตาภพุทธเจ้า เชื่อว่าเป็นอดีตพระพุทธเจ้าอยู่ในดินแดนพุทธเกษตรที่เรียกว่าแดนสุขาวดี, พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอดีตเช่นกัน เชื่อกันว่าท่านอยู่ในดินแดนพุทธเกษตรทางฝั่งทิศตะวันออก ตรงข้ามกับแดนสุขาวดี โดยพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ เปรียบเหมือนไตรรัตน์ของฝ่ายมหายาน ด้านหลังอุโบสถมีวิหารบูรพาจารย์และเทพเจ้าต่างๆ ของจีน
ผู้คนที่มาไหว้พระขอพรที่นี่ ก็จะมาจุดธูปขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะในเรื่องของการค้าขาย ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ก็ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการแก้ชง ในแต่ละปีก็จะเห็นผู้คนนิยมมาสะเดาะเคราะห์ปีชงกันเป็นจำนวนมาก
“ท้องมังกร” อยู่ที่ “วัดเล่งฮกยี่” ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา วัดนี้ถือเป็นวัดจีนเพียงแห่งเดียวในฉะเชิงเทรา สำหรับแบบแปลนของวัดนี้จะเป็นแบบเดียวกับวัดเล่งเน่ยยี่ และถูกวางตำแหน่งฮวงจุ้ยเป็น “ส่วนท้องของมังกร”
วัดเล่งฮกยี่ สร้างขึ้นราว พ.ศ. 2449 ซึ่งคำว่า ฮก แปลว่าโชคลาภ วาสนา จึงมักมีคนเรียกวัดแห่งนี้ว่า วัดมังกรแห่งวาสนา ต่อมาเมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี เพื่อทรงเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา ก็ได้พระราชดำเนินทรงเยี่ยมวัดเล่งฮกยี่แห่งนี้ และทรงมีจิตศรัทธาพระราชทานเงินเพื่อบำรุงวัด พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานชื่อให้ใหม่ว่า “วัดจีนประชาสโมสร” อันมีความหมายถึงว่า วัดแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของคนจีน
ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้อยู่ที่พระประธาน คือ พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ เหมือนที่วัดเล่งเน่ยยี่ แต่พิเศษตรงที่พระประธานทั้ง 3 พระองค์นี้นำเข้ามาจากเมืองจีนและสร้างขึ้นจากกระดาษทั้งสิ้น หรือที่เรียกว่า “เปเปอร์มาเช่” แล้วปิดทอง ทำให้มีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อ 18 อรหันต์ ก็ยังทำด้วยกระดาษเช่นกัน และยังเก่าแก่ราว 200 ปีอีกด้วย
ภายในวัดยังมีรูปหล่อเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือ ไฉ่ซิงเอี๊ย องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผู้ที่มากราบไหว้ที่วัดเล่งฮกยี่แห่งนี้ยังนิยมขอโชคลาภ โดยท่องบทสวดของท่าน 3 ครั้ง จากนั้นนำกระเป๋าเงินของเราไปไว้ที่ปากถุงเงินของท่าน ตบก้นถุงของท่าน 3 ครั้งหลังจากนั้นลูบจากก้นถุงขึ้นมายังปากถุง 3 ครั้ง เหมือนเป็นการนำโชคลาภใส่ลงกระเป๋าของเราเอง พร้อมทั้งหยิบเหรียญขวัญถุงมา 1 เหรียญ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการขอโชคลาภ
แต่ก่อนจะออกจากวัดก็ต้องตีระฆังใบยักษ์หล่อจากแต่จิ๋วหนักกว่า 1 ตัน 3 ครั้งก่อน ซึ่งรอบระฆังใบนี้มีอักษรมหาปรัชญาปารมิตาสูตร ถือกันว่าผู้ใดตีระฆังก็เหมือนกับการสวดมนต์บทนี้ ซึ่งจะได้บุญได้กุศลเป็นอย่างมาก
และด้วยความเชื่อที่ว่าวัดแห่งนี้เป็นดั่งส่วนท้องของมังกร ทำให้ผู้ที่มากราบไหว้บูชาจะได้รับพลังส่งผลถึงความอุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพรรณธัญญาหาร เจริญรุ่งเรืองมาสู่ตัวเราด้วย
“หางมังกร” อยู่ที่ “วัดเล่งฮัวยี่” ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี โดย ฮัว แปลว่าดอกไม้ วัดแห่งนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดมังกรบุปผาราม” สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2520 เมื่อก้าวย่างเข้าไปภายในจะเจอกับวิหารท้าวจตุโลกบาลเช่นเดียวกับวัดส่วนหัวและส่วนท้องมังกร
เมื่อผ่านวิหารท้าวจตุโลกบาลเข้ามา ก็จะเห็นอุโบสถสถาปัตยกรรมจีนหลังคาซ้อน 3 ชั้น ยอดเป็นรูปเจดีย์ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานพุทธเจ้า 3 พระองค์สีทองอร่ามเช่นกับวัดทั้ง 2 ที่ผ่านมา พร้อมด้วยพระสาวกเบื้องซ้ายและขวา คือพระมหากัสสปะ และพระอานนท์
ด้านข้างประดิษฐานพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ผู้เป็นเลิศด้วยมหาปัญญาประทับบนหลังสิงโต อันหมายถึงพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทรงมีพระปัญญาคุณเลิศกว่าหมู่สรรพสัตว์ และพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ผู้เป็นเลิศด้วยมหาจริยาประทับบนหลังช้างเผือกหกงา หมายถึงบารมีหกที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญ
โดยรูปเคารพทั้งหลายปิดทองคำเปลวเหลืองอร่ามประดิษฐานภายในซุ้มแบบจีนบนฐานชุกชี ภายในมีลวดลายไม้แกะสลักปิดทองแบบศิลปะจีนอย่างสวยงาม ด้านบนยังมีรูปเคารพเทพเจ้าอีกหลายองค์ให้เคารพบูชาอีกด้วย
บนเส้นทางไหว้พระ 3 วัดมังกรนี้ หากใครมีความเชื่อและศรัทธา ก็เชื่อว่าจะได้รับพลังบุญจากมังกรที่จะช่วยให้ชีวิตต่อจากนี้สุขสมและราบรื่น
* * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com