xs
xsm
sm
md
lg

หลงเสน่ห์ “มาเก๊า” เมืองสวยบนแผ่นดินสองวัฒนธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง ประดิษฐานโดดเด่นอยู่ริมทะเล
อย่างที่รู้กันดีกว่า “มาเก๊า” เคยอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกสมานานกว่า 400 ปี ทำให้บนเกาะมาเก๊ามีทั้งสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างจีนและโปรตุเกส จนกลายเป็นความงามแบบเฉพาะตัวของมาเก๊า

ซึ่งนอกจากของเก่าของดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยโปรตุเกสเข้ามาปกครอง ในช่วงหลังๆ ที่มาเก๊าก็ยังมีของใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศให้เข้ามาท่องเที่ยวยังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ โดยเฉพาะคาสิโน ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองคาสิโน่อีกแห่งหนึ่งของโลก

ด้วยความเก่าและความใหม่ที่ผสมผสานกันออกมาเป็นเสน่ห์ของมาเก๊าอย่างในทุกวันนี้ ทำให้เราอยากลองเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ซึ่งการเดินทางไปมาเก๊าก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะจากประเทศไทย ก็มีสายการบินที่บินตรงสู่มาเก๊าทุกๆ วัน อย่างสายการบินแอร์เอเชีย ที่บินสบายๆ พักเดียวก็มาถึงสนามบินมาเก๊าที่ตั้งอยู่บนเกาะไทปา
ภายในจัดแสดงประวัติความเป็นมาในการสร้างองค์เจ้าแม่
ข้อมูลคร่าวๆ ของมาเก๊าก็คือ มาเก๊านั้นอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศจีน โดยตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง พื้นที่ของมาเก๊าประกอบด้วยคาบสมุทรมาเก๊า เกาะไทปา เกาะโคโลอาน และโคไท โดยระหว่างคาบสมุทรมาเก๊ากับเกาะไทปาจะเชื่อมถึงกันด้วยสะพาน 2 สะพาน และปัจจุบัน กำลังมีการก่อสร้างสะพานความยาวกว่า 50 กิโลเมตร ที่จะเชื่อมระหว่าง มาเก๊า ฮ่องกง และจูไห่ ซึ่งอยู่บนแผ่นดินจีน ทำให้การเดินทางไปมาหากันสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างฮ่องกง-มาเก๊า ก็ร่นระยะทางไปได้อีกมากเลยทีเดียว

พอได้เวลาแลนดิ้งลงสู่สนามบินมาเก๊า “ตะลอนเที่ยว” ก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อเลย และเพื่อให้การท่องเที่ยวในทริปนี้ของเราเป็นไปอย่างราบรื่น เลยขอแวะไปสักการะ “เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง” ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทะเล

หากสังเกตดูที่พระพักตร์ของเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ จะเห็นว่าหน้าตาละม้ายกับพระแม่มารี นั่นก็เพราะโปรตุเกสเป็นผู้สร้างเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทององค์นี้เพื่อให้เป็นอนุสรณ์อยู่ที่มาเก๊า ในฐานะที่เคยปกครองมาเก๊ามาอย่างยาวนาน โดยมีพิธีเปิดในวันที่ 8 เดือน 8 ปี ค.ศ.1998 ส่วนองค์เจ้าแม่นั้นหนัก 1.8 ตัน สูง 18 เมตร (ไม่รวมฐานดอกบัวด้านล่าง)
Macau Tower
นอกจากนี้ บริเวณเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองยังมีฮวงจุ้ยหมายเลข 8 อีกสามแห่ง คือ ที่พื้นบริเวณทางเข้า ด้านในบริเวณหัวในทองคำขององค์เจ้าแม่ และบริเวณส้นเท้าด้านหลัง ใครที่มาสักการะองค์เจ้าแม่ ต้องตั้งจิตอธิษฐานแล้วพูดพึมพำออกจากปากให้เจ้าแม่ได้ยิน ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวที่นิยมมาขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ชาวมาเก๊าเองก็นิยมมาไหว้ขอพรด้วยเช่นกัน เนื่องจากเชื่อว่าฮวงจุ้ยในบริเวณนี้เป็นฮวงจุ้ยแห่งความร่ำรวย

หากได้ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ก็อย่าลืมเดินเข้าไปชมด้านในที่มีบันไดวนลงไปที่ชั้นล่าง เพราะด้านในนั้นมีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาขององค์เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง รวมถึงประวัติการก่อสร้าง และรูปจำลองขนากเล็กขององค์เจ้าแม่ปรางค์ทองด้วย

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองมาเก๊า ที่เรามักจะได้เห็นตามรูปต่างๆ หรือของที่ระลึกก็คือ “หอคอยมาเก๊า” (Macau Tower) ที่นี่เป็นจุดชมวิวในมุมสูงที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งหากได้ขึ้นไปยืนที่ด้านบนหอคอยแล้วก็จะสามารถมองเห็นมาเก๊าได้ทั้งเมือง
กระจกใสๆ ที่มองเห็นได้ถึงด้านล่าง
ความสูงของหอคอยแห่งนี้ประมาณ 338 เมตร ด้านล่างก็มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร คาสิโน ส่วนถ้าใครอยากจะขึ้นไปชมด้านบนก็ต้องซื้อบัตรเข้าชม และเมื่อผ่านประตูเข้ามาแล้ว ก็จะต้องขึ้นลิฟท์มายังชั้น 58 ซึ่งเป็นจุดชมวิวสวยๆ ไฮไลต์ของชั้นนี้อยู่ที่รอบๆ ตัวเราจะเป็นกระจกใสให้มองออกไปได้รอบๆ ส่วนบนพื้นที่ยืนก็มีส่วนที่เป็นกระจกใสเช่นกัน สามารถมองไปด้านล่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใครเป็นโรคกลัวความสูงต้องมีใจสั่นกันบ้างไม่มากก็น้อย
ใครชอบความตื่นเต้นหวาดเสียว ก็ออกไปกินลมชมวิวด้านนอกได้
แต่ถ้าใครชอบความหวาดเสียว แนะนำให้ตรงขึ้นมายังชั้น 61 เป็นส่วนของ Outdoor Adventure View Deck ที่สามารถชมวิวรอบเมืองผ่านกระจกได้เช่นกัน แต่ทีเด็ดสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจก็อยู่ที่ บริเวณชั้นนี้จะมีจุดโดดบันจี้จัมพ์ และจุดเล่น Sky Walk ที่สามารถออกไปเดินรอบๆ ตึกบนความสูงของชั้น 61 ได้ งานนี้ใครชอบความตื่นเต้น แนะนำให้ออกไปกินลมชมวิวข้างนอกกันเลย ส่วน “ตะลอนเที่ยว” ขอยืนทำใจอยู่ข้างในดีกว่า
ทางเข้าวัดอาม่า
เปลี่ยนอารมณ์จากการชมเมือง มาไหว้เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์กันที่ “วัดอาม่า” (A-ma Temple) กันดีกว่า ซึ่งที่วัดแห่งนี้ถือว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งแรกในมาเก๊า ที่สร้างขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน และปัจจุบันก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของมรดกโลกเมืองมาเก๊าไปแล้ว

องค์อาม่าหรือเทพอาม่านั้นก็คือ“องค์เจ้าแม่ทับทิม” (ทินโฮ่ว) ในบ้านเรา ท่านเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลหรือเทพธิดาแห่งการเดินเรือที่ชาวมาเก๊าเคารพนับถือกันมาก เนื่องจากสมัยก่อนมาเก๊าเป็นหมู่บ้านชาวประมง จึงขอพรองค์เจ้าแม่ทับทิมให้ประสบโชคดีปลอดภัยในการเดินเรือออกทะเล ปราศจากพายุใหญ่เภทภัยอันตรายกล้ำกราย
ก้อนหินที่แกะสลักเป็นรูปเรือสำเภาโบราณ
มาถึงวัดแล้วก็จะพบศาลบูชาอาม่า ที่จุดธูป และร้านจำหน่ายวัตถุมงคลของวัด พอเดินมาอีกเล็กน้อยก็จะเห็นก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ 2 ก้อน แกะสลักเป็นรูปเรือสำเภาโบราณ โดยก้อนแรกนั้นอยู่ด้านหน้า มีความเกี่ยวพันกับตำนานเรื่องเล่าของเทพอาม่า เพราะเป็นสัญลักษณ์บอกถึงจุดแรกที่เทพอาม่า (เจ้าแม่ทับทิม)ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่แผ่นดินมาเก๊า

อย่างไรก็ดีด้วยความเชื่อว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์จึงมีผู้คนมากราบไหว้จับต้องกันเป็นจำนวนมาก จนทางวัดกลัวว่าหินก้อนต้นฉบับจะเสียหาย จึงได้ทำก้อนหินสลักรูปเรือสำเภาในลักษณะเดียวกันขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสจับต้อง โดยหลายๆ คนนิยมใช้แบงก์(ธนบัตร)ลูบไปตามรูปสลักเรือสำเภาแล้วนำกลับใส่กระเป๋า เพราะเชื่อกันว่าเงินจะได้ไหลมาเทมาสู่กระเป๋า
บริเวณศาลอาม่าหลังใหม่
นอกจากก้องหินสองก้อนนี้แล้ว ภายในบริเวณวัดอาม่ายังมากไปด้วยสิ่งน่าสนใจต่างๆ อาทิ ศาลาซุ้มประตู หอเมตตาธรรม ประตูพระจันทร์ ศาลพระพุทธ และจุดสำคัญก็คือ“ศาลองค์อาม่า” ที่มีทั้งศาลที่สร้างขึ้นใหม่ในชั้นล่างที่มีคนเข้าไปสักการะบูชารูปเคารพอาม่าองค์ใหม่กันเป็นจำนวนมาก กับ“ศาลอาม่าองค์เดิม”ที่เป็นศาลเล็กๆตั้งแอบๆอยู่ในเส้นทางเดินขึ้นเขาชั้นสอง หากใครอยากไหว้ศาลอาม่าให้ครบถ้วน ก็ต้องเผื่อเวลาไว้มากหน่อย เพราะนอกจากจะต้องขอพรให้ครบถ้วนทุกศาลแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาเดินขึ้นลง-เขาอีกด้วย
Macau Fisherman’s Wharf
เสร็จจากไหว้พระกันแล้ว เราก็มาต่อกันที่ “Macau Fisherman’s Wharf” แหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นมาใหม่ใกล้กับท่าเรือเฟอร์รี่และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ฮ่องกง-มาเก๊า ที่นี่มีจุดเด่นคือการสร้างสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของมาเก๊า ที่มีความตะวันตกและตะวันออกผสมผสานกัน
สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่สร้างมาให้ถ่ายรูปกันเพลินๆ
ที่นี่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วนท่าเรือแห่งราชวงศ์ (Dynasty Wharf) เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณแบบจีนในช่วงราชวงศ์ถัง, ส่วนตะวันออกพบตะวันตก (East Meets West) พื้นที่บริเวณนี้จะห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและตะวันออก และส่วนท่าเรือในตำนาน (Legend Wharf) เป็นพื้นที่ของร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และคาสิโน
ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล
อีกแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาเก๊า นั่นก็คือ “ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล” (Ruins of St.Paul’s) ที่ยังหลงเหลือให้ชมถึงความสวยงามอลังการในอดีต โดยโบสถ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของชาวตะวันตกในดินแดนตะวันออก ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง เกิดความเสียหายทั้งหลัง หลงเหลือแค่ประตูหน้าและบันไดทางเข้าเท่านั้น
รูปปั้นชายหญิงด้านหน้าซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล
ใครที่มาเที่ยวมาเก๊า ก็ต้องมาเยือที่ซากประตูโบสถ์แห่งนี้ แล้วก็ต้องมาแชะภาพเก็บความทรงจำกันบริเวณนี้ด้วย ในทุกๆ วันจึงเห็นนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาอย่างคลาคล่ำ จนกระทั่งตะวันตกดินจึงเริ่มน้อยลงไป แต่หากเดินลงไปที่บันไดด้านล่างของซากประตูโบสถ์ จะเห็นรูปปั้นชายหญิงยืนคู่กัน ซึ่งรูปปั้นนี้สร้างขึ้นในช่วงที่โปรตุเกสคืนมาเก๊าให้กับจีน เป็นรูปปั้นหญิงสาวชาวจีนส่งดอกบัวให้แก่ชายหนุ่มชาวโปรตุเกส ที่แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีต่อกันและกัน
กระจกใสๆ ที่มองเห็นได้ถึงด้านล่าง
ใกล้ๆ กับซากประตูโบสถ์ก็จะเป็นที่ตั้งของ “ป้อมมองเต” (Mounte Fort) ที่ต้องเดินขึ้นเขาไปชมด้านบน ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นกำแพงเมืองในอดีตเพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวดัตช์ จนมาถึงปัจจุบันก็ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมาเก๊า ส่วนบริเวณรอบนอกของอาคารจัดแสดงปืนใหญ่โบราณไว้กลางแจ้ง และด้านบนนี้ยังเป็นจุดชมวิวสวยๆ ของเมือง รวมถึงจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สุดแสนโรแมนติก
เซนาโดสแควร์
ถ้าชมซากประตูโบสถ์และป้อมมองเตกันแล้ว ก้ได้เวลาเดินตรงมาสู่ “เซนาโดสแควร์” (Senado Square) ซึ่งเป็นย่านการค้าแห่งใหญ่ของมาเก๊า ที่นี่ทั้งสองข้างทางจะมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านขายเครื่องสำอาง ร้านของอุปกรณ์กีฬา รวมถึงร้านของฝากขึ้นชื่อของมาเก๊า แต่ละร้านก็จะเชิญชวนลูกค้าให้เข้าร้านด้วยวิธีการต่างๆ กันไป บ้างก็ร้องเรียกเสียงดังๆ บ้างก็ชวนมาชิมของอร่อย หรือดึงดูดกันด้วยราคาโปรโมชั่น ใครเป็นขาชอปรับรองว่าหมดตัวแน่ๆ
โบสถ์เซนต์ดอมินิก
แต่ถ้าไม่ใช่ขาชอป บริเวณเซนาโดสแควร์ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาคารเก่าสไตล์ยุโรป ที่มีอยู่ริมสองข้างทาง ส่วนบริเวณพื้นถนนทางเดินก็ปูด้วยกระเบื้องเป็นลวดลายลอนคลื่น หรือหากเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ “โบสถ์เซนต์ดอมินิก” ที่ตั้งอยู่กลางเซนาโดสแควร์ ด้านในเปิดให้เข้าไปชมความงดงามของงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา
บริเวณเซนาโดสแควร์ยามราตรีมีแสงสีสาดส่องไปตามอาคารต่างๆ
ส่วนในยามค่ำคืน บริเวณเซนาโดสแควร์ก็จะจัดแสงสีสาดส่องไปตามอาคารต่างๆ ดูแล้วมีสีสันแตกต่างจากช่วงกลางวันไปอีกแบบ แค่ได้มานั่งชมไฟสวยๆ แบบนี้ก็หายเมื่อยจากการเดินชอปปิ้งกันแล้ว
แสงสียามค่ำคืนในมาเก๊า
นอกจากไปสวยๆ ยามค่ำคืนในย่านเซนาโดสแควร์แล้ว รอบๆ เมืองมาเก๊าก็ยังมีตึกคาสิโนต่างๆ ที่จัดแสงสี และการแสดงต่างๆ ให้เราได้เดินเล่นเพลินตาเพลินใจ อย่างบริเวณ Grand Lisboa ก็มีแสงสีสลับไปมาตามตัวตึก ส่วนที่ Wynn นอกจากจะเป็นโรงแรม เป็นคาสิโน ด้านหน้าโรงแรมก็มีการจัดการแสดงน้ำพุประกอบแสงไฟและเสียงเพลง ซึ่งจะจัดแสดงเป็นรอบๆ ตลอดทั้งวัน และด้านในก็มีการแสดงมังกรทองและต้นไม้ทอง สลับกันไปทุกๆ ครึ่งชั่วโมง
การแสดงมังกรทองที่ Wynn
บันไดทางขึ้นสู่วัดเจ้าแม่กวนอิม
อิ่มเอมกับชีวิตยามค่ำคืนไปแล้ว ตื่นเช้ามาก็มาเริ่มกิจกรรมดีๆ ด้วยการไปไหว้พระกันที่ “วัดเจ้าแม่กวนอิม” (Kun Iam Temple) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพื่ออุทิศถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งถือว่าที่นี่เป็นวัดเจ้าแม่กวนอิมที่สำคัญที่สุดในมาเก๊า โดยชาวมาเก๊าส่วนใหญ่นิยมมากราบไหว้ท่านก่อนเวลา 11.00 น. เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่ถูกเรื่องราวใดๆรบกวน การได้กราบไหว้ขอพรท่านในช่วงก่อน 11 โมงนั้น จะประสบโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
หอพระโพธิสัตว์กวนอิม
กระจกใสๆ ที่มองเห็นได้ถึงด้านล่าง
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป เราจะพบกับท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 และเมื่อเดินขึ้นบันไดมาก็จะพบกับหอพระที่ประดิษฐานพระประธาน 3 องค์ ได้แก่ พระศรีศากยมุนี พระสมณโคดม, พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และ พระมัญชูศรีโพธิสัตว์

ถัดเข้าไปอีกเป็นหออายุวัฒนะ ที่ประดิษฐานองค์พระศรีอารียเมตไตรย ด้านในสุดเป็นหอพระโพธิสัตว์กวนอิม ชาวมาเก๊าเชื่อว่าท่านมีหูทิพย์รับรู้ในเรื่องที่เราขอ มีตาทิพย์มองเห็นในเรื่องที่เราขอ จึงเชื่อว่าสามารถอธิษฐานของพรท่านได้ในทุกประการ
ใครชอบความตื่นเต้นหวาดเสียว ก็ออกไปกินลมชมวิวด้านนอกได้
สำหรับคนที่ชื่นชอบการทำบุญ การมาเยือนมาเก๊าก็นับว่าคุ้มค่า เพราะมีวัดและศาลเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์หลากหลายแห่งให้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบความบันเทิงและการเสี่ยงโชค การมาเยือนมาเก๊าก็คุ้มค่าไม่แพ้กัน เพราะที่นี่นั้นถือเป็นเมืองแห่งคาสิโนที่ขึ้นชื่ออันดับต้นๆ ของโลก

ซึ่งคาสิโนแต่ละแห่งในมาเก๊านั้นก็จะมีจุดดึงดูดความสนใจที่แตกต่างกันไป แล้วส่วนมากแล้วก็จะมีทั้งคาสิโน โรงแรม แหล่งชอปปิ้ง และความบันเทิงอยู่ในที่เดียวกัน อย่างเช่นที่ “เดอะ เวเนเชียน มาเก๊า” ซึ่งเป็นคาสิโนที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของมาเก๊า ที่นี่เป็นทั้งโรงแรมหรู และแหล่งชอปปิ้งของแบรนด์เนมขนาดใหญ่ นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนที่นี่ก็เพราะมีทุกอย่างครบครันในที่เดียว
ทางเข้าวัดอาม่า
การตกแต่งภายในนั้นเน้นที่ความหรูหราสไตล์อิตาเลียน สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หากต้องการเข้าไปชมคาสิโน หรือเข้าไปลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง ก็สามารถเดินเข้าไปได้เลย (หรือเจ้าหน้าที่อาจจะขอตรวจดูพาสปอร์ต) แต่สำหรับคนมาเก๊าแล้วก็สามารถเข้าไปเล่นได้เช่นกัน ยกเว้นคนมาเก๊าที่รับราชการ จะไม่สามารถเข้ามาในคาสิโนได้

ในโซนแหล่งชอปปิ้ง ที่นี่จำลองบรรยากาศเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มาไว้อย่างครบครัน ซึ่งนอกจากจะได้เดินเล่นซื้อของกันในบรรยากาศเย็นฉ่ำแล้ว ตรงกลางก็มีคลองน้ำใส และมีเรือกอนโดลาให้ล่องไปตามลำคลอง เคล้าคลอกับเสียงร้องเพลงของฝีพายที่ขับกล่อมไปตลอดทาง

เที่ยวในเมืองมาเก๊ากันมาหลายที่ “ตะลอนเที่ยว” ก็สังเกตเห็นได้เลยว่า แทบจะทุกแห่งในมาเก๊านั้นมีกลิ่นอายของตะวันตกผสมกับตะวันออก และความเก่าแก่ผสานกับความทันสมัย ซึ่งจุดนี้ทำให้มาเก๊ามีเสน่ห์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลายๆ คนอยากจะกลับไปเยือนอีกสักครา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ปัจจุบันมาเก๊า เป็นอีกหนึ่งเมืองยอดนิยมของเมืองจีน โดยมีหนึ่งในสายการบินหลักที่บินสู่มาเก๊าคือ“แอร์เอเชีย” ที่เปิดบิน“กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-มาเก๊า” 4 เที่ยวบินต่อวัน “เชียงใหม่-มาเก๊า” 1 เที่ยวบินต่อวัน เเละ “พัทยา(อู่ตะเภา)-มาเก๊า” 1 เที่ยวบินต่อวัน ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลได้ที่ www.airasia.com หรือที่ www.facebook.com/AirAsiaThailand และยังมีบริการประกันการเดินทาง Tune INSURE AirAsia Travel Protection ที่คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุ การบอกเลิกการเดินทาง รวมถึงความเสียหายของทรัพย์สิน ดูรายละเอียดการประกันภัยได้ที่ www.airasiainsure.com
 
 



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 
 
กำลังโหลดความคิดเห็น