อย่างที่รู้กันดีกว่า “มาเก๊า” เคยอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกสมานานกว่า 400 ปี ทำให้บนเกาะมาเก๊ามีทั้งสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างจีนและโปรตุเกส จนกลายเป็นความงามแบบเฉพาะตัวของมาเก๊า
ซึ่งนอกจากของเก่าของดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยโปรตุเกสเข้ามาปกครอง ในช่วงหลังๆ ที่มาเก๊าก็ยังมีของใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศให้เข้ามาท่องเที่ยวยังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ โดยเฉพาะคาสิโน ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองคาสิโน่อีกแห่งหนึ่งของโลก
ด้วยความเก่าและความใหม่ที่ผสมผสานกันออกมาเป็นเสน่ห์ของมาเก๊าอย่างในทุกวันนี้ ทำให้เราอยากลองเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ซึ่งการเดินทางไปมาเก๊าก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะจากประเทศไทย ก็มีสายการบินที่บินตรงสู่มาเก๊าทุกๆ วัน อย่างสายการบินแอร์เอเชีย ที่บินสบายๆ พักเดียวก็มาถึงสนามบินมาเก๊าที่ตั้งอยู่บนเกาะไทปา
ข้อมูลคร่าวๆ ของมาเก๊าก็คือ มาเก๊านั้นอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศจีน โดยตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง พื้นที่ของมาเก๊าประกอบด้วยคาบสมุทรมาเก๊า เกาะไทปา เกาะโคโลอาน และโคไท โดยระหว่างคาบสมุทรมาเก๊ากับเกาะไทปาจะเชื่อมถึงกันด้วยสะพาน 2 สะพาน และปัจจุบัน กำลังมีการก่อสร้างสะพานความยาวกว่า 50 กิโลเมตร ที่จะเชื่อมระหว่าง มาเก๊า ฮ่องกง และจูไห่ ซึ่งอยู่บนแผ่นดินจีน ทำให้การเดินทางไปมาหากันสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างฮ่องกง-มาเก๊า ก็ร่นระยะทางไปได้อีกมากเลยทีเดียว
พอได้เวลาแลนดิ้งลงสู่สนามบินมาเก๊า “ตะลอนเที่ยว” ก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อเลย และเพื่อให้การท่องเที่ยวในทริปนี้ของเราเป็นไปอย่างราบรื่น เลยขอแวะไปสักการะ “เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง” ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทะเล
หากสังเกตดูที่พระพักตร์ของเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ จะเห็นว่าหน้าตาละม้ายกับพระแม่มารี นั่นก็เพราะโปรตุเกสเป็นผู้สร้างเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทององค์นี้เพื่อให้เป็นอนุสรณ์อยู่ที่มาเก๊า ในฐานะที่เคยปกครองมาเก๊ามาอย่างยาวนาน โดยมีพิธีเปิดในวันที่ 8 เดือน 8 ปี ค.ศ.1998 ส่วนองค์เจ้าแม่นั้นหนัก 1.8 ตัน สูง 18 เมตร (ไม่รวมฐานดอกบัวด้านล่าง)
นอกจากนี้ บริเวณเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองยังมีฮวงจุ้ยหมายเลข 8 อีกสามแห่ง คือ ที่พื้นบริเวณทางเข้า ด้านในบริเวณหัวในทองคำขององค์เจ้าแม่ และบริเวณส้นเท้าด้านหลัง ใครที่มาสักการะองค์เจ้าแม่ ต้องตั้งจิตอธิษฐานแล้วพูดพึมพำออกจากปากให้เจ้าแม่ได้ยิน ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวที่นิยมมาขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ชาวมาเก๊าเองก็นิยมมาไหว้ขอพรด้วยเช่นกัน เนื่องจากเชื่อว่าฮวงจุ้ยในบริเวณนี้เป็นฮวงจุ้ยแห่งความร่ำรวย
หากได้ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ก็อย่าลืมเดินเข้าไปชมด้านในที่มีบันไดวนลงไปที่ชั้นล่าง เพราะด้านในนั้นมีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาขององค์เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง รวมถึงประวัติการก่อสร้าง และรูปจำลองขนากเล็กขององค์เจ้าแม่ปรางค์ทองด้วย
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองมาเก๊า ที่เรามักจะได้เห็นตามรูปต่างๆ หรือของที่ระลึกก็คือ “หอคอยมาเก๊า” (Macau Tower) ที่นี่เป็นจุดชมวิวในมุมสูงที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งหากได้ขึ้นไปยืนที่ด้านบนหอคอยแล้วก็จะสามารถมองเห็นมาเก๊าได้ทั้งเมือง
ความสูงของหอคอยแห่งนี้ประมาณ 338 เมตร ด้านล่างก็มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร คาสิโน ส่วนถ้าใครอยากจะขึ้นไปชมด้านบนก็ต้องซื้อบัตรเข้าชม และเมื่อผ่านประตูเข้ามาแล้ว ก็จะต้องขึ้นลิฟท์มายังชั้น 58 ซึ่งเป็นจุดชมวิวสวยๆ ไฮไลต์ของชั้นนี้อยู่ที่รอบๆ ตัวเราจะเป็นกระจกใสให้มองออกไปได้รอบๆ ส่วนบนพื้นที่ยืนก็มีส่วนที่เป็นกระจกใสเช่นกัน สามารถมองไปด้านล่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใครเป็นโรคกลัวความสูงต้องมีใจสั่นกันบ้างไม่มากก็น้อย
แต่ถ้าใครชอบความหวาดเสียว แนะนำให้ตรงขึ้นมายังชั้น 61 เป็นส่วนของ Outdoor Adventure View Deck ที่สามารถชมวิวรอบเมืองผ่านกระจกได้เช่นกัน แต่ทีเด็ดสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจก็อยู่ที่ บริเวณชั้นนี้จะมีจุดโดดบันจี้จัมพ์ และจุดเล่น Sky Walk ที่สามารถออกไปเดินรอบๆ ตึกบนความสูงของชั้น 61 ได้ งานนี้ใครชอบความตื่นเต้น แนะนำให้ออกไปกินลมชมวิวข้างนอกกันเลย ส่วน “ตะลอนเที่ยว” ขอยืนทำใจอยู่ข้างในดีกว่า
เปลี่ยนอารมณ์จากการชมเมือง มาไหว้เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์กันที่ “วัดอาม่า” (A-ma Temple) กันดีกว่า ซึ่งที่วัดแห่งนี้ถือว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งแรกในมาเก๊า ที่สร้างขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน และปัจจุบันก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของมรดกโลกเมืองมาเก๊าไปแล้ว
องค์อาม่าหรือเทพอาม่านั้นก็คือ“องค์เจ้าแม่ทับทิม” (ทินโฮ่ว) ในบ้านเรา ท่านเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลหรือเทพธิดาแห่งการเดินเรือที่ชาวมาเก๊าเคารพนับถือกันมาก เนื่องจากสมัยก่อนมาเก๊าเป็นหมู่บ้านชาวประมง จึงขอพรองค์เจ้าแม่ทับทิมให้ประสบโชคดีปลอดภัยในการเดินเรือออกทะเล ปราศจากพายุใหญ่เภทภัยอันตรายกล้ำกราย
มาถึงวัดแล้วก็จะพบศาลบูชาอาม่า ที่จุดธูป และร้านจำหน่ายวัตถุมงคลของวัด พอเดินมาอีกเล็กน้อยก็จะเห็นก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ 2 ก้อน แกะสลักเป็นรูปเรือสำเภาโบราณ โดยก้อนแรกนั้นอยู่ด้านหน้า มีความเกี่ยวพันกับตำนานเรื่องเล่าของเทพอาม่า เพราะเป็นสัญลักษณ์บอกถึงจุดแรกที่เทพอาม่า (เจ้าแม่ทับทิม)ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่แผ่นดินมาเก๊า
อย่างไรก็ดีด้วยความเชื่อว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์จึงมีผู้คนมากราบไหว้จับต้องกันเป็นจำนวนมาก จนทางวัดกลัวว่าหินก้อนต้นฉบับจะเสียหาย จึงได้ทำก้อนหินสลักรูปเรือสำเภาในลักษณะเดียวกันขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสจับต้อง โดยหลายๆ คนนิยมใช้แบงก์(ธนบัตร)ลูบไปตามรูปสลักเรือสำเภาแล้วนำกลับใส่กระเป๋า เพราะเชื่อกันว่าเงินจะได้ไหลมาเทมาสู่กระเป๋า
นอกจากก้องหินสองก้อนนี้แล้ว ภายในบริเวณวัดอาม่ายังมากไปด้วยสิ่งน่าสนใจต่างๆ อาทิ ศาลาซุ้มประตู หอเมตตาธรรม ประตูพระจันทร์ ศาลพระพุทธ และจุดสำคัญก็คือ“ศาลองค์อาม่า” ที่มีทั้งศาลที่สร้างขึ้นใหม่ในชั้นล่างที่มีคนเข้าไปสักการะบูชารูปเคารพอาม่าองค์ใหม่กันเป็นจำนวนมาก กับ“ศาลอาม่าองค์เดิม”ที่เป็นศาลเล็กๆตั้งแอบๆอยู่ในเส้นทางเดินขึ้นเขาชั้นสอง หากใครอยากไหว้ศาลอาม่าให้ครบถ้วน ก็ต้องเผื่อเวลาไว้มากหน่อย เพราะนอกจากจะต้องขอพรให้ครบถ้วนทุกศาลแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาเดินขึ้นลง-เขาอีกด้วย
เสร็จจากไหว้พระกันแล้ว เราก็มาต่อกันที่ “Macau Fisherman’s Wharf” แหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นมาใหม่ใกล้กับท่าเรือเฟอร์รี่และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ฮ่องกง-มาเก๊า ที่นี่มีจุดเด่นคือการสร้างสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของมาเก๊า ที่มีความตะวันตกและตะวันออกผสมผสานกัน
ที่นี่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วนท่าเรือแห่งราชวงศ์ (Dynasty Wharf) เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณแบบจีนในช่วงราชวงศ์ถัง, ส่วนตะวันออกพบตะวันตก (East Meets West) พื้นที่บริเวณนี้จะห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและตะวันออก และส่วนท่าเรือในตำนาน (Legend Wharf) เป็นพื้นที่ของร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และคาสิโน
อีกแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาเก๊า นั่นก็คือ “ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล” (Ruins of St.Paul’s) ที่ยังหลงเหลือให้ชมถึงความสวยงามอลังการในอดีต โดยโบสถ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของชาวตะวันตกในดินแดนตะวันออก ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง เกิดความเสียหายทั้งหลัง หลงเหลือแค่ประตูหน้าและบันไดทางเข้าเท่านั้น
ใครที่มาเที่ยวมาเก๊า ก็ต้องมาเยือที่ซากประตูโบสถ์แห่งนี้ แล้วก็ต้องมาแชะภาพเก็บความทรงจำกันบริเวณนี้ด้วย ในทุกๆ วันจึงเห็นนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาอย่างคลาคล่ำ จนกระทั่งตะวันตกดินจึงเริ่มน้อยลงไป แต่หากเดินลงไปที่บันไดด้านล่างของซากประตูโบสถ์ จะเห็นรูปปั้นชายหญิงยืนคู่กัน ซึ่งรูปปั้นนี้สร้างขึ้นในช่วงที่โปรตุเกสคืนมาเก๊าให้กับจีน เป็นรูปปั้นหญิงสาวชาวจีนส่งดอกบัวให้แก่ชายหนุ่มชาวโปรตุเกส ที่แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีต่อกันและกัน
ใกล้ๆ กับซากประตูโบสถ์ก็จะเป็นที่ตั้งของ “ป้อมมองเต” (Mounte Fort) ที่ต้องเดินขึ้นเขาไปชมด้านบน ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นกำแพงเมืองในอดีตเพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวดัตช์ จนมาถึงปัจจุบันก็ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมาเก๊า ส่วนบริเวณรอบนอกของอาคารจัดแสดงปืนใหญ่โบราณไว้กลางแจ้ง และด้านบนนี้ยังเป็นจุดชมวิวสวยๆ ของเมือง รวมถึงจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สุดแสนโรแมนติก
ถ้าชมซากประตูโบสถ์และป้อมมองเตกันแล้ว ก้ได้เวลาเดินตรงมาสู่ “เซนาโดสแควร์” (Senado Square) ซึ่งเป็นย่านการค้าแห่งใหญ่ของมาเก๊า ที่นี่ทั้งสองข้างทางจะมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านขายเครื่องสำอาง ร้านของอุปกรณ์กีฬา รวมถึงร้านของฝากขึ้นชื่อของมาเก๊า แต่ละร้านก็จะเชิญชวนลูกค้าให้เข้าร้านด้วยวิธีการต่างๆ กันไป บ้างก็ร้องเรียกเสียงดังๆ บ้างก็ชวนมาชิมของอร่อย หรือดึงดูดกันด้วยราคาโปรโมชั่น ใครเป็นขาชอปรับรองว่าหมดตัวแน่ๆ
แต่ถ้าไม่ใช่ขาชอป บริเวณเซนาโดสแควร์ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาคารเก่าสไตล์ยุโรป ที่มีอยู่ริมสองข้างทาง ส่วนบริเวณพื้นถนนทางเดินก็ปูด้วยกระเบื้องเป็นลวดลายลอนคลื่น หรือหากเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ “โบสถ์เซนต์ดอมินิก” ที่ตั้งอยู่กลางเซนาโดสแควร์ ด้านในเปิดให้เข้าไปชมความงดงามของงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา
ส่วนในยามค่ำคืน บริเวณเซนาโดสแควร์ก็จะจัดแสงสีสาดส่องไปตามอาคารต่างๆ ดูแล้วมีสีสันแตกต่างจากช่วงกลางวันไปอีกแบบ แค่ได้มานั่งชมไฟสวยๆ แบบนี้ก็หายเมื่อยจากการเดินชอปปิ้งกันแล้ว
นอกจากไปสวยๆ ยามค่ำคืนในย่านเซนาโดสแควร์แล้ว รอบๆ เมืองมาเก๊าก็ยังมีตึกคาสิโนต่างๆ ที่จัดแสงสี และการแสดงต่างๆ ให้เราได้เดินเล่นเพลินตาเพลินใจ อย่างบริเวณ Grand Lisboa ก็มีแสงสีสลับไปมาตามตัวตึก ส่วนที่ Wynn นอกจากจะเป็นโรงแรม เป็นคาสิโน ด้านหน้าโรงแรมก็มีการจัดการแสดงน้ำพุประกอบแสงไฟและเสียงเพลง ซึ่งจะจัดแสดงเป็นรอบๆ ตลอดทั้งวัน และด้านในก็มีการแสดงมังกรทองและต้นไม้ทอง สลับกันไปทุกๆ ครึ่งชั่วโมง
อิ่มเอมกับชีวิตยามค่ำคืนไปแล้ว ตื่นเช้ามาก็มาเริ่มกิจกรรมดีๆ ด้วยการไปไหว้พระกันที่ “วัดเจ้าแม่กวนอิม” (Kun Iam Temple) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เพื่ออุทิศถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งถือว่าที่นี่เป็นวัดเจ้าแม่กวนอิมที่สำคัญที่สุดในมาเก๊า โดยชาวมาเก๊าส่วนใหญ่นิยมมากราบไหว้ท่านก่อนเวลา 11.00 น. เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ท่านยังบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่ถูกเรื่องราวใดๆรบกวน การได้กราบไหว้ขอพรท่านในช่วงก่อน 11 โมงนั้น จะประสบโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป เราจะพบกับท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 และเมื่อเดินขึ้นบันไดมาก็จะพบกับหอพระที่ประดิษฐานพระประธาน 3 องค์ ได้แก่ พระศรีศากยมุนี พระสมณโคดม, พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และ พระมัญชูศรีโพธิสัตว์
ถัดเข้าไปอีกเป็นหออายุวัฒนะ ที่ประดิษฐานองค์พระศรีอารียเมตไตรย ด้านในสุดเป็นหอพระโพธิสัตว์กวนอิม ชาวมาเก๊าเชื่อว่าท่านมีหูทิพย์รับรู้ในเรื่องที่เราขอ มีตาทิพย์มองเห็นในเรื่องที่เราขอ จึงเชื่อว่าสามารถอธิษฐานของพรท่านได้ในทุกประการ
สำหรับคนที่ชื่นชอบการทำบุญ การมาเยือนมาเก๊าก็นับว่าคุ้มค่า เพราะมีวัดและศาลเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์หลากหลายแห่งให้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบความบันเทิงและการเสี่ยงโชค การมาเยือนมาเก๊าก็คุ้มค่าไม่แพ้กัน เพราะที่นี่นั้นถือเป็นเมืองแห่งคาสิโนที่ขึ้นชื่ออันดับต้นๆ ของโลก
ซึ่งคาสิโนแต่ละแห่งในมาเก๊านั้นก็จะมีจุดดึงดูดความสนใจที่แตกต่างกันไป แล้วส่วนมากแล้วก็จะมีทั้งคาสิโน โรงแรม แหล่งชอปปิ้ง และความบันเทิงอยู่ในที่เดียวกัน อย่างเช่นที่ “เดอะ เวเนเชียน มาเก๊า” ซึ่งเป็นคาสิโนที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของมาเก๊า ที่นี่เป็นทั้งโรงแรมหรู และแหล่งชอปปิ้งของแบรนด์เนมขนาดใหญ่ นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนที่นี่ก็เพราะมีทุกอย่างครบครันในที่เดียว
การตกแต่งภายในนั้นเน้นที่ความหรูหราสไตล์อิตาเลียน สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หากต้องการเข้าไปชมคาสิโน หรือเข้าไปลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง ก็สามารถเดินเข้าไปได้เลย (หรือเจ้าหน้าที่อาจจะขอตรวจดูพาสปอร์ต) แต่สำหรับคนมาเก๊าแล้วก็สามารถเข้าไปเล่นได้เช่นกัน ยกเว้นคนมาเก๊าที่รับราชการ จะไม่สามารถเข้ามาในคาสิโนได้
ในโซนแหล่งชอปปิ้ง ที่นี่จำลองบรรยากาศเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มาไว้อย่างครบครัน ซึ่งนอกจากจะได้เดินเล่นซื้อของกันในบรรยากาศเย็นฉ่ำแล้ว ตรงกลางก็มีคลองน้ำใส และมีเรือกอนโดลาให้ล่องไปตามลำคลอง เคล้าคลอกับเสียงร้องเพลงของฝีพายที่ขับกล่อมไปตลอดทาง
เที่ยวในเมืองมาเก๊ากันมาหลายที่ “ตะลอนเที่ยว” ก็สังเกตเห็นได้เลยว่า แทบจะทุกแห่งในมาเก๊านั้นมีกลิ่นอายของตะวันตกผสมกับตะวันออก และความเก่าแก่ผสานกับความทันสมัย ซึ่งจุดนี้ทำให้มาเก๊ามีเสน่ห์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลายๆ คนอยากจะกลับไปเยือนอีกสักครา
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปัจจุบันมาเก๊า เป็นอีกหนึ่งเมืองยอดนิยมของเมืองจีน โดยมีหนึ่งในสายการบินหลักที่บินสู่มาเก๊าคือ“แอร์เอเชีย” ที่เปิดบิน“กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-มาเก๊า” 4 เที่ยวบินต่อวัน “เชียงใหม่-มาเก๊า” 1 เที่ยวบินต่อวัน เเละ “พัทยา(อู่ตะเภา)-มาเก๊า” 1 เที่ยวบินต่อวัน ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลได้ที่ www.airasia.com หรือที่ www.facebook.com/AirAsiaThailand และยังมีบริการประกันการเดินทาง Tune INSURE AirAsia Travel Protection ที่คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุ การบอกเลิกการเดินทาง รวมถึงความเสียหายของทรัพย์สิน ดูรายละเอียดการประกันภัยได้ที่ www.airasiainsure.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com