การเดินทางท่องเที่ยว นอกจากจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังเป็นการเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ เปิดหน้าต่างของหัวใจ ให้เราได้สัมผัสเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชน และผู้คนมากหน้าหลายตา
สำหรับยุคปัจจุบันที่นักท่องเที่ยวแบ่งเป็นหลากหลายกลุ่มตามประเภท ตามไลฟ์สไตล์ ตามความชอบ ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” ด้านตลาดในประเทศ จึงกำหนดกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดในประเทศ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพขึ้น ได้แก่ กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่ม DINK กลุ่ม Gen-Y และนักท่องเที่ยว “กลุ่มผู้หญิง” ที่มีเป็นจำนวนมากและกำลังมาแรง
เทรนด์ท่องเที่ยวผู้หญิงยุคใหม่
ผู้หญิงหลายๆ คนนอกจากจะเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนตัวแม่แล้ว ยังจัดเป็นนักเดินทางท่องเที่ยวตัวฉกาจ พวกเธอพอมีเวลาว่างเป็นไม่ได้ ต้องรีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าหรือเป้ใบเก่ง สวมชุดคู่ใจ รองเท้าคู่กาย ออกตะลุยตะลอนเที่ยวมุ่งไปตามใจปรารถนา
ขณะที่เทรนด์การท่องเที่ยวของผู้หญิงยุคใหม่ในบ้านเรานั้นแบ่งออกเป็น
1.เที่ยวด้วยตัวเอง -เป็นการเลือกไปเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์ มีทั้งที่เลือกไปแบบโรแมนติกกับคู่รัก ไปเป็นกลุ่มก๊วนกับเพื่อนๆ ที่รู้ใจ หรือไม่ก็เลือกแบ็กแพ็กลุยเดี่ยวเที่ยวไปตามใจที่ตัวเองต้องการ
2.สโลว์ไลฟ์ - เทรนด์ฮิตมาแรงกับการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า เน้นอยู่กับธรรมชาติและวิถีชุมชนที่เรียบง่ายเพื่อดื่มด่ำไปกับมนต์เสน่ห์ของสถานที่นั้นๆ ละวางจากเทคโนโลยี หลีกหนีความวุ่นวายจากสังคมเมือง
3.รักธรรมชาติ -เทรนด์หัวใจสีเขียวที่ไม่เคยตกยุค กับการพาตัวเองไปสัมผัสดื่มด่ำดับความงดงามของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ท้องทะเลแสนงาม เขาสูงดอยสวย หรือทุ่งดอกไม้งามเวอร์วังอลังการ
4.ใฝ่เรียนรู้ - ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงผลักดันให้ผู้หญิงจำนวนมาก พร้อมจะเรียนรู้ เปิดประสบการณ์แปลกใหม่จากการท่องเที่ยว ผ่านวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชุมชนท้องถิ่น และลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน
5.นักผจญภัย - สาวๆ หลายคนภายนอกแม้ดูบอบบาง แต่เวลาได้ออกท่องเที่ยวสู่โลกกว้าง พวกเธอคือขาลุยตัวฉกาจ ทั้งเดินป่า ปีนผา เข้าถ้ำ ดำน้ำ ล่องแก่ง โรยตัว โหนสลิง เรียกว่าอะไรที่ผู้ชายทำได้ พวกเธอก็ทำได้เช่นกัน
6.นักปั่นหรรษา - อีกหนึ่งเทรนด์มาแรงแห่งยุค ผู้หญิงนักปั่นหรรษามีทั้งในแบบ ปั่นจักรยานตะกร้าเที่ยวชิลๆ หรือปั่นเที่ยวแบบจริงจังทริปละหลายๆ วัน รวมระยะทางนับร้อยนับพันกิโลเมตร
7.รักสุขภาพ - เป็นกลุ่มผู้หญิงที่ห่วงใยใส่ใจในสุขภาพ รักสวยรักงาม ซึ่งมักจะเลือกการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่างๆ อาทิ สปา โยคะ นวด นั่งสมาธิ เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ
8.กิน ดื่ม ชอป - สาวๆหลายคนแม้จะรักสุขภาพและกลัวอ้วนจนขึ้นสมอง แต่เวลาพวกเธอออกท่องเที่ยวกลับจัดเต็มในเรื่องอาหารการกิน โดยเฉพาะการเสาะหาอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ ตามรีวิว กิน-ดื่มกันอย่างจุใจ (แล้วไปหาทางเบิร์นออกในภายหลัง) รวมไปถึงชอปกระจายเมื่อเจอของที่ใช่ สิ่งที่ชอบ
9.วิถีธรรม วิถีไทย - เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงธรรมะที่ยังคงไม่ตกยุคแต่เปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคสมัย กับการเข้าวัด ไหว้พระ ทำบุญ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม และชื่นชมความงามของงานพุทธศิลป์ไทยอันประณีตงดงาม
10.นอกกระแส - เป็นผู้หญิงอินดี้ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง พวกเธอนิยมเที่ยวนอกกระแส แสวงหาสถานที่แปลกๆ ใหม่ๆ ที่คนยังไปเที่ยวกันไม่มาก เลือกที่พักที่ไม่หรูหราแต่เน้นความมีสไตล์ ราคาสมเหตุสมผล
8 เส้นทางเหนือแรงบันดาลใจ
จากเทรนด์การท่องเที่ยวของผู้หญิงยุคใหม่ใน 10 แบบ 10 สไตล์ ทาง “ททท. ภูมิภาคภาคเหนือ” ได้วางแนวทางส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวของกลุ่มผู้หญิงในพื้นที่ภาคเหนือไว้ใน 8 เส้นทาง ภายใต้แนวคิด “8 เส้นทางเหนือแรงบันดาลใจ” อันได้แก่
1.“เส้นทางแรงบันดาลใจจากเกษตรบนดอยสูง” พาไปสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพระราชดำริใต้พระบารมี อาทิ
-“สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” : อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ : โครงการหลวงแห่งแรกที่มีสภาพพื้นที่อันสวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ภายในสถานีฯนอกจากจะเป็นแหล่งปลูกพืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวที่สำคัญแล้ว ยังมีจุดน่าสนใจต่างๆให้เที่ยวชมโดยมีไฮไลต์คือ “สวนแปดสิบ” ที่มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
ส่วนภายนอกสถานีก็มีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชม อาทิ จุดชมวิว ชมพระอาทิตย์ขึ้น ชมทะเลหมอก และวิถีวัฒนธรรมอันทรงเสน่ห์ของหมู่บ้านแต่ละชนเผ่า เช่น บ้านขอบด้ง บ้านนอแล เป็นต้น
-“สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์” : อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ : โครงการหลวงบนดอยอินทนนท์ขุนเขาที่สูงที่สุดของเมืองไทย ภายในสถานีฯมีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ได้แก่ สวน 80 พรรษา สวนไม้ดอกไม้ประดับ โรงจัดแสดงพืชกินสัตว์และโรงเฟิร์น และแปลงไม้ดอกพืชผักเมืองหนาว
นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นผู้บุกเบิกการทำประมงบนที่สูง มีชื่อเสียงกับการเพาะเลี้ยง ปลาเรนโบว์เทราต์ ปลาสเตอร์เจี้ยน กุ้งก้ามแดง และปูขน ที่ทางสถานีฯมีการจัดทำเป็นเมนูหลากหลายให้ผู้ไปเยือนได้ลิ้มลอง เหมาะกับสาวๆนักชิมเป็นอย่างยิ่ง
-“ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย-ม่อนแจ่ม” : อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ : โครงการหลวงใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ ภายในโครงการฯมีแปลงผักและงานวิจัยผักเมืองหนาวให้ผู้สนใจได้เที่ยวชม ศึกษาดูงาน อาทิ โรงเรือนผักไฮโดรโพนิก โรงเรือนสมุนไพร แปลงผักตระกูลสลัด เป็นต้น
ในพื้นที่โครงการหลวงหนองหอยยังมี “ม่อนแจ่ม” (ต.แม่ริม) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง มีสภาพพื้นที่อันสวยงามโรแมนติก มีการจัดแต่งภูมิทัศน์ปลูกไม้ดอกไม้ประดับตามฤดูกาลอย่างสวยงาม อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นวิวเมืองเชียงใหม่ได้อย่างสวยงามชัดเจน
-“ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ-ปางอุ๋ง” : อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน : เป็นโครงการพระราชดำริ ที่มักเรียกสั้นๆ ว่า “ศูนย์ปางตอง” มีไฮไลต์สำคัญคือ “พระตำหนักปางตอง” ที่เคยเป็นที่ประทับแรมของในหลวงและพระราชินี อีกทั้งภายในศูนย์ฯ ยังเป็นสถานที่ทดลองวิจัยด้านการทำการเกษตรเมืองหนาวต่างๆ โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนา “แกะขน” ซึ่งเราจะได้เห็นฝูงแกะตัวสีขาวนวลเดินอวดโฉมด้วยขนปุยฟูดูน่ารักน่าประทับใจ
นอกจากนี้ก็ยังมี “โครงการพระราชดำริปางตอง 2” หรือ “ปางอุ๋ง” อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน อันเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองสามหมอก ปางอุ๋งโดดเด่นไปด้วยทัศนียภาพของอ่างเก็บน้ำกว้างใหญ่แวดล้อมไปด้วยทิวสนเรียงรายอันงดงาม
2.“เส้นทางเรียนรู้วิถีเหนือ” พาไปสัมผัสกับวิถีชีวิตวัฒนธรรม และวิถีชุมชนอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ
-“สถาบันคชบาลแห่งชาติ” หรือ “ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย” : อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง : แหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้สัมผัสกับวิถีช้างไทยในมิติที่หลากหลาย มีไฮไลต์อยู่ที่ “ลานแสดงช้าง” อันน่าตื่นตาตื่นใจกับการแสดงความสามารถอันชวนทึ่งของช้างไทย รวมถึงมีที่พักแบบโฮมสเตย์และคอร์สฝึกควาญช้างสมัครเล่น ไว้ให้ผู้สนใจได้สัมผัสเรียนรู้กับวิถีแห่งควาญ วิถีแห่งช้างไทยอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
-“ชุมชนคนรักษ์สุขภาพไร่กองขิง” : อ.หางดง จ.เชียงใหม่ : ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบด้านสุขภาพที่ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงให้พึ่งตัวเองได้ ปลอดภัยจากสารพิษ อีกทั้งบ้านไร่กองขิงยังมีความโดดเด่นเรื่องของการ “ย่ำข่าง” การนวดทางเลือกด้วยการใช้เท้า(ของผู้นวด) ชุบน้ำยาที่ทำจากสมุนไพรไปย่ำลงบนข่างที่เผาไฟจนร้อนเป็นสีแดง แล้วนำมาย่ำบนร่างกายของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บปวด นับเป็นภูมิปัญญาล้านนาที่ปัจจุบันเหลืออยู่น้อยเต็มที
-“บ้านนาต้นจั่น” : อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย : ชุมชนน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก โดยผู้มาเที่ยวบ้านนาต้นจั่น สามารถเลือกทำกิจกรรมได้หลากหลาย เช่น “ปั่นจักรยาน” เที่ยวชมท้องไร่ท้องนา, ชมการทอผ้าและการทำ “ผ้าหมักโคลน” พร้อมเลือกซื้อเป็นสินค้าที่ระลึก ส่วนใครสัมผัสวิถีชาวบ้านอย่างใกล้ชิดก็ไม่ควรพลาดกิจกรรมพักค้างแบบ “โฮมสเตย์” กินอาหารพื้นบ้านอร่อยๆ พร้อมกับการต้อนรับของเจ้าบ้านที่อบอุ่นประหนึ่งญาติมิตร
3.“เส้นทางสายดอกไม้เมืองเหนือ” พาไปสัมผัสความน่าตื่นตาตื่นใจของเหล่ามวลหมู่ดอกไม้อันสวยงาม เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของพื้นที่ อาทิ
-“ดอกนางพญาเสือโคร่ง” : ทุกๆ ปีในช่วงกลางฤดูหนาวราวเดือน ม.ค. - ก.พ.(ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศปีนั้น) ดอกนางพญาเสือโคร่งจะพากันเบ่งบานออกดอกสีชมพูสะพรั่งดูสวยงามยิ่งนักสำหรับจุดชมความงามของดอกนางพญาเสือโคร่งที่เด่นๆในภาคเหนือ ได้แก่ จ.เชียงใหม่ : ดอยอ่างขาง ขุนช่างเคี่ยน ขุนแม่ยะ สถานีเกษตรหลวงเชียงใหม่(ขุนวาง), จ.เชียงราย : ดอยแม่สลอง ดอยช้าง-ดอยวาวี, บนเส้นทางสู่ผาตั้งภูชี้ฟ้า นอกจากนี้ก็ยังมีให้ชมที่อุทยานแห่งชาติขุนสถาน จ.น่าน อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก และที่ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์
-“ทุ่งดอกบัวตอง” : อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน : ทุกๆ ปีในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค ทุ่งบัวตองที่ “วนอุทยานดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ” จะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานให้สีเหลืองสดใสกินพื้นที่มากกว่า 500 ไร่ ย้อมหุบเขาดอยแม่อูคอให้กลายเป็นสีเหลืองสดใส ให้นักท่องเที่ยวได้ตื่นตาตื่นใจไปกับทุ่งดอกบัวตองที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
-“ดอกทิวลิป : เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม” : อ.เมือง จ.เชียงราย : งานเทศกาลดอกไม้ขึ้นชื่อที่จัดอย่างต่อเนื่องมา 10 กว่าปีแล้ว ภายในงานมีดอกไม้นานาพันธุ์สีสันสดใสสวยงามให้เที่ยวชมกันอย่างเพลิดเพลินใจ ทั้ง ลิลลี่ บิโกเนีย พิทูเนีย บลูฮาวาย และ “ดอกทิวลิป” สีแดง ส้ม เหลือง ชมพู ที่พากันออกดอกชูช่ออวดโฉมสวยงามเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน
-“สวนแม่ฟ้าหลวง” : ดอยตุง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย : สวนดอกไม้งาม 365 วัน ที่มีการปลูกแต่งให้ผลิดอกออกใบสวยงามหมุนเวียนไม่ซ้ำกันทั้งสามฤดู กลางสวนมีประติมากรรม “ความต่อเนื่อง” สื่อความหมายถึงการทำงานใดๆ จะสำเร็จได้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในพื้นที่ใกล้เคียงยังมีสิ่งน่าสนใจชวนเที่ยวชม ได้แก่ พระตำหนักดอยตุง พระธาตุดอยตุง และ “สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง” ที่เด่นไปด้วยการรวบรวมพันธุ์กุหลาบพันปีจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกมาไว้ที่นี่
4. “เส้นทางแพรพรรณของฉัน” พาไปสัมผัสกับความสวยงามของผ้าพื้นเมืองเลื่องชื่อในพื้นที่ต่างๆ อาทิ
-“เส้นทางเชียงใหม่-ลำพูน” : ไปสัมผัสความงามของ “ผ้าทอซิ่นตีนจก” อันสวยงามเป็นเอกลักษณ์แห่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่, “ผ้าไหมยกดอก” จ.ลำพูน ที่นำลวดลายธรรมชาติมาออกแบบเป็นลวดลายอันวิจิตรอ่อนช้อยวิจิตร และ “ผ้าฝ้ายทอมือ” บ้านดอนหลวง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน แหล่งทอผ้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ที่วันนี้มีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบร่วมสมัยที่สาวๆ หลายคนเห็นต้องชอปกระจายแบบไม่ห่วงเงินในกระเป๋า
-“เส้นทางพิจิตร-พิษณุโลก-เพชรบูรณ์” : ชม “ผ้าทอมือ” บ้านป่าแดง อันขึ้นชื่อ แห่ง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ที่เป็นผ้าทอจากฝ้ายผสมไหม สีสันสวยงาม, “ผ้าม่วงหอม” ของบ้านม่วงหอม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ที่มีเอกลักษณ์คือลายดอกปีบที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพิษณุโลก และ “ผ้ามุก” ของกลุ่มสตรีสหกรณ์ทอผ้ามุก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ กับลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ คือจะเป็นดอกยกขึ้นเป็นลูกๆ มีสีสันสดใสแวววาว
-“เส้นทางน่าน-แพร่” : ไปสัมผัสความงาม “ผ้าทอลายน้ำไหล” ของชาวไทลื้อ ที่บ้านหนองบัว อ.ท่าวังผา จ.น่าน ซึ่งนำจังหวะลีลาการไหลของสายน้ำน่านมาทอเป็นลวดลายอันสวยงาม, เรียนรู้กระบวนการ-พร้อมทดลองทำ “ผ้าม่อห้อม” อันเป็นเอกลักษณ์ที่บ้านทุ่งโฮ่ง อ.เมือง จ.แพร่ และไปชมความสวยงามคลาสสิกของผ้าทอโบราณและ “ผ้าซิ่นตีนจกของกลุ่มไทโยนก” ที่พิพิธภัณฑ์โกมลผ้าโบราณ อ.ลอง จ.แพร่
-“เส้นทางอุทัยธานี” : พาไปสัมผัสกับ “ผ้าทอลายโบราณบ้านโคกหม้อ” อ.ทัพทัน กับผ้าทอลายโบราณเป็นผ้ามัดหมี่ต่อตีนจกฝีมือทออันประณีตของชาวลาวครั่ง, “ผ้าทอลายโบราณบ้านผาทั่ง” อ.บ้านไร่ กับการทอผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ และ “ผ้าพื้นเมืองบ้านนาตาโพ” อ.บ้านไร่ อีกหนึ่งแหล่งทอผ้าฝีมือประณีตของชาวลาวครั่งกับผ้าทอลายโบราณสวยงาม มีดีกรีได้รับรางวัลมากมาย
-“เส้นทางสุโขทัย” : ไปเรียนรู้การทำ “ผ้าหมักโคลน” ที่บ้านนาต้นจั่น อ.ศรีสัชนาลัย ซึ่งเกิดจากการสังเกตว่าผ้าถุงที่เปียกโคลนเวลาดำนาใส่สบายกว่าปกติ จึงเกิดคิดค้นกรรมวิธีการหมักผ้าด้วยโคลนที่มีความนุ่ม ใส่สบาย สวยงาม และไปชม “ผ้าซิ่นตีนจก ไทยพวน” ที่ สาธรพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำ บ้านหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย ชมผ้าซิ่นตีนจกของชาวไทยพวนอันสวยงามเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับอย่าพลาดชม “ผ้าซิ่นทองคำ” (ซิ่นไหมคำ) อันวิจิตรงดงามอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ที่ถือเป็นไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์ผ้าแห่งนี้
5.“เส้นทางอร่อยล้ำ นำแรงบันดาลใจ” พาไปสัมผัสลิ้มรสของกินอร่อยๆ ที่ขึ้นชื่อในพื้นที่ต่างๆ อาทิ
-“ลำพูน” : ดินแดนแห่งลำไยเลื่องชื่อ ที่มีทั้งลำไยสด ลำไยอบแห้ง ลำไยแปรรูปมากมายแล้ว ยังมี “ก๋วยเตี๋ยวลำไย” เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่แตกต่างแห่งเมืองหละปูน
-“สุโขทัย” : ใครมาเมืองนี้ไม่ควรพลาด “ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย” ที่มีให้เลือกกินกันในหลายร้าน หรือหากเป็นแหล่งรวมอาหารการกินก็ที่ “ตลาดริมยม” อ.กงไกรลาศ แหล่งรวมอาหารพื้นบ้านรสเด็ดหลากหลาย หรือจะเป็น “ตลาดปสาน” “ตลาดแลกเบี้ย” ที่เป็นการจำลองตลาดโบราณย้อนยุคมาจำหน่ายสินค้าอาหารในช่วงเทศกาลสำคัญๆ
ส่วนใครถ้าได้ไปเยือนบ้านนาต้นจั่น ห้ามพลาดเมนู “ข้าวเปิ๊บ” หรือ “ก๋วยเตี๋ยวพะร่วง” ที่มีเส้นคล้ายข้าวเกรียบปากหม้อใส่เครื่องปรุงต่างๆ รวมถึงมีเมนูพื้นบ้านเด่นๆ อื่น ได้แก่ “ก๋วยเตี๋ยวแบ” “แกงแค” และ “น้ำพริกซอกไข่” ที่รสชาติเด็ดไม่เบา
-“น่าน” : ใครไปแอ่วน่านอย่าพลาด เมนู “ไก่ทอดมะแขว่น” ที่เป็นไก่ทอดใส่มะแขว่น เครื่องเทศรสเผ็ดซ่ากับรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้น่านยังมี “ข้าวซอย” รสเด็ดให้เลือกกินกันอีกหลายร้าย ขณะที่ของฝากขึ้นชื่อก็มี “ส้มสีทอง” “ข้าวหลาม”(ข้าวหลามแจ้ง), และ “พุทราจีน”
-“เพชรบูรณ์” : เมืองที่ไม่เพียงขึ้นชื่อในเรื่องของ “มะขามหวาน” เท่านั้น แต่เพชรบูรณ์ยังมีของอร่อยๆอีกมากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ไก่ยางวิเชียรบุรี” ที่โด่งดังไปทั่วฟ้าเมืองไทย,“ปลาส้มไร่กำนัลจุล” หนึ่งในของฝากขึ้นชื่อของจังหวัด, “ไร่กาแฟจ่านรินทร์” แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีกาแฟสดจากไร่ของเขาให้ลิ้มลอง
ขณะที่ อ.หล่มสัก นั้นมีของกินขึ้นชื่ออย่าง “ขนมจีนเส้นสด หล่มสัก” กับเส้นขนมจีนที่ทำขึ้นแบบสดๆใหม่ๆมีเส้นเล็กเหนียวนุ่ม ส่วนในวันเสาร์บนถนนรณกิจ มีการจัด “ถนนคนเดินไทหล่ม” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งอาหารการกินหลากหลาย พร้อมกับมีอาหารพื้นเมืองหายาก อย่างเช่น ขนมจีนไทหล่ม ข้าวหลามพญาลืมแกง ปิ้งไก่ข้าวเบือ ฯลฯ ให้เลือกลองลิ้มชิมรสกัน
-“อุตรดิตถ์” : ที่เมืองลับแล(อ.ลับแล) ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารการกินอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น “ข้าวแคบ” ของกินเล่นเป็นแผ่นแป้งบางใส,“หมี่พัน” ที่เป็นการนำเส้นหมี่ปรุงรสห่อพันด้วยแผ่นข้าวแคบอีกที, “ข้าวพันผัก” คล้ายข้าวเกรียบปากหม้อแต่จะใส่ผักต่างๆลงไปและมีแบบที่ใส่ไข่ด้วย และทุเรียน “หลง-หลินลับแล” อันเลื่องชื่อที่มีให้กินตามฤดูกาล
-“ลำปาง” : เมืองรถม้ามี “กาดกองต้า”(ซอยตลาดจีนริมน้ำ) ที่เปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งชอปปิ้ง และแหล่งอาหารการกิน มีทั้ง อาหาร ขนม เครื่องดื่ม กาแฟ ให้เลือกกินกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ลำปางยังมีอาหารพื้นเมืองเด่นๆ กับของกินพื้นเมืองอร่อยๆ ให้เลือกอินกันเป็นจำนวนมาก ทั้ง ไส้อั่ว แกงแค น้ำปู๋ ปลาจ่อม ข้าวซอย ข้าวแต๋น รวมถึงร้านอาหารอร่อยๆ ที่เมื่อไปเยือนแล้วไม่ควรพลาด อย่าง ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง(เนื้อ) ก๋วยเตี๋ยวหมูป้าเนียน ก๋วยเตี๋ยวหงวนชุน ขนมจีนป้าบุญศรี ขนมไทยแม่ประนอม และร้านป้อก๋วยจั๊บ ให้เลือกอิ่มอร่อยกันอย่างจุใจ
-“แม่ฮ่องสอน” : เมืองสามหมอก ที่มีอาหารไทยใหญ่อันหลากหลายให้ลิ้มรส ไม่ว่าจะเป็น “ไก่อุ๊บ”, “เนื้อลุง”, “ข่างปอง”, “ข้าวส้ม”, “อาละหว่า” ซึ่งหากใครอยากกินอาหารไทยใหญ่ในบรรยากาศคนพื้นที่ก็ต้องไปเดินเลือกหาซื้อกินกันตอนเช้าที่ “ตลาดสายหยุด” แต่ถ้าอยากกินในบรรยากาศนักท่องเที่ยว วิวสวยงาม ก็ต้องไปกินในช่วงเย็น ช่วงค่ำที่ “ถนนคนเดิน” รอบหนองจองคำ
ส่วนที่ “บ้านรักไทย” ที่อยู่เลยปางอุ๋งไปไม่ไกล ซึ่งเป็นหมู่บ้านชุมชนชาวจีนยูนนานนั้นก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งกินขึ้นชื่อของ จ.แม่ฮ่องสอน ที่นี่มีอาหารจีนยูนนานชวนกินหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขาหมู-หมั่นโถ หมูพันปี ไก่ตุ๋นยาจีน ยำใบชาสด ฯลฯ เมื่อกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ควรตบท้ายด้วยชาร้อนๆ ให้ชุ่มคอชื่นใจ
6.“เส้นทางอิ่มบุญ อุ่นใจ” พาไปสัมผัสกับเส้นทางทัวร์ธรรมะ เข้าวัดไหว้พระ ตามรอยเกจิดัง รวมไปถึงงานเทศกาลประเพณีสำคัญทางศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์ อาทิ
-“เส้นทางสายครูบาศรีวิชัย ลำพูน-เชียงใหม่” : ไปตามรอยครูบาศรีวิชัย “นักบุญแห่งล้านนา” พระเถระนักพัฒนาคนสำคัญแห่งล้านนา ผ่านสถานที่สำคัญเกี่ยวกับท่าน โดยใน จ.ลำพูน ได้แก่ “วัดบ้านปาง”(อ.ลี้) วัดบ้านเกิดของท่าน,“วัดจามเทวี”(อ.เมือง)สถานที่ฌาปนกิจสรีระของท่าน หรือวัดที่ท่านบูรณะจนเจริญรุ่งเรือง อย่าง “วัดพระพุทธบาทตากผ้า”(อ.ป่าซาง), “วัดพระธาตุหริภุญชัย”(อ.เมือง) เป็นต้น ส่วนใน จ.เชียงใหม่ ได้แก่ “วัดพระสิงห์”,“วัดสวนดอก” และ “วัดพระธาตุดอยสุเทพ” และ “อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย” ที่เชิงดอยพระธาตุดอยสุเทพ
-“วิปัสสนา วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี” : ไปปฏิบัติธรรมที่ “วัดท่าซุง” หรือ “วัดจันทาราม” (อ.เมือง) วัดชื่อดังแห่งอุทัยธานี ที่นอกจากจะมี “วิหารแก้ว” อันระยิบระยับงดงามวิจิตร ซึ่งเป็นที่เก็บสังขารของ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” (พระราชพรหมยาน) ที่ไม่เน่าเปื่อยแล้ว ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม วิปัสสนาชั้นดี โดยภายในวัดมีที่พักเตรียมไว้ให้สำหรับพุทธศาสนิกชนในหลายจุดด้วยกัน
-“ปฏิบัติธรรม ไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย” : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ “ท่าน ว.วชิรเมธี” สร้างไร่เชิญตะวันขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรรมะ โดยมีท่านได้คิดค้นแนวทางการนั่งสมาธิ วิปัสสนา และปฏิบัติธรรมจากประสบการณ์ตรง ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น มีงานศิลป์ที่แฝงปริศนาธรรมอยู่ทั่วบริเวณ
-“ปฏิบัติธรรม วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์” : หนึ่งในประจักษ์แห่งความศรัทธาแห่ง อ.เขาค้อ ที่นอกจากจะมีความงดงามวิจิตรแล้ว ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมขึ้นชื่อ กับหลักสูตรปฏิบัติธรรม 3 ระดับ จากระดับเริ่มต้นเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ระดับปานกลางที่ผู้ปฏิบัติต้องเคยเข้าผ่านหลักสูตรอื่นๆ ของวัดมา และระดับเข้มข้นที่นำไปสู่การหลุดพ้นอย่างแท้จริง
-“ประเพณีเวียนเทียนกลางน้ำ จ.พะเยา” : ชวนไปสัมผัสกับการนั่งเรือไปเวียนเทียนกลางน้ำ “หนึ่งเดียวในไทย” รอบ “องค์หลวงพ่อศิลา” และ “วัดติโลกอาราม” แห่งกว๊านพะเยา ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ วันพระใหญ่ คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา
-“ประเพณีตักบาตรเทียน จ.น่าน” ทุกๆ ปี ในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 หรือเดือน 10 เหนือ (หลังวันเข้าพรรษา 1 วัน) ที่ “วัดบุญยืน” อ.เวียงสา จ.น่าน จะมีการจัดงานประเพณีตักบาตรเทียน ซึ่งจะมีชาวบ้านมารวมตัวกันนำเทียนมาใส่บาตร ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมงานบุญอย่างเรียบง่ายแต่ว่าชวนประทับใจยิ่งนัก
7.“เส้นทาง Safe and Fun For all Ages” พาไปสัมผัสกับความสนุกตื่นเต้นท้าทายกับกิจกรรมผจญภัยอันหลากหลายแต่ว่าปลอดภัย อาทิ
-“ล่องแก่งลำน้ำว้าตอนกลาง” จ.น่าน : เส้นทางผจญแก่งสุดมัน มีความง่าย-ยากของกระแสน้ำหลากหลายและครบเครื่อง ไล่ไปตั้งแต่ระดับ 1-5 ในระยะทางประมาณ 80 กม. ใช้เวลาล่องแก่ง 2 วัน 1 คืน นอกจากนี้ก็ยังมีเส้นทางล่อง “ลำน้ำว้าตอนปลาย” (ตอนล่าง) ที่มีความแรงน้ำระดับ 1-3 สามารถล่องแก่งได้แบบสบายๆ
-“ล่องแก่งลำน้ำเข็ก” อ.วังทอง จ.พิษณุโลก : ล่องเรือยางระยะทาง 8 กม. ผจญฝ่าแก่งต่างๆ 15 แก่ง กับความแรงของกระแสน้ำครบสูตรในการล่องแก่ง ตั้งแต่ระดับ 1-5 จากน้ำนิ่งไปจนถึงน้ำไหลเชี่ยวกรากของลำน้ำเข็ก สถานที่ล่องแก่งที่ขึ้นชื่อ ติดอันดับ 1 ใน 5 ของเมืองไทย
-“ล่องแพลำน้ำวาง” อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ : เป็นซอฟต์ แอดเวนเจอร์ มีให้เลือกทั้งแพยาง และแพไม้ไผ่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง กับการล่องไปในสายน้ำไหลเอื่อย มีระดับน้ำตื้น สามารถนั่งชิลกินอาหารบนแพ ชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างเพลิดเพลิน
-“ผจญภัยที่แม่กำปอง” อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ : เหินฟ้าบนเรือนยอดไม้ไปกับ “Flight of the Gibbon”หรือ “เที่ยวบินชะนี” ด้วยกิจกรรมชวนสนุกตื่นเต้นตามฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโหนสลิงซิปไลน์, เดินข้ามสะพานแขวนเหนือยอดไม้, โรยตัว ปีนตาข่ายเชือก เป็นต้น
8.“เส้นทาง Your mind and Soul” พาไปสัมผัสกับกิจกรรมเพื่อสุขภาพ ความงาม และผ่อนคลาย อาทิ
-“เต๋าการ์เด้น เฮลธ์ สปา แอนด์ รีสอร์ท” : อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ : รีสอร์ทสุขภาพที่ตั้งอยู่กลางแมกไม้และขุนเขา มีความโดดเด่นในเรื่องการให้บริการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด ในรูปแบบของ Holistic Medical Spa พร้อมกับบริการอาหารเพื่อสุขภาพปลอดสารพิษ
-“โอเอซิสสปา” อ.เมือง จ.เชียงใหม่ : สปากลางเมืองเชียงใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นเขียวขจีของแมกไม้ น้ำตก และธารน้ำ กับการตกแต่งในสไตล์ไทยล้านนาอันประณีตสวยงาม โดยมีบริการสปาอันหลากหลาย โดยเฉพาะการนวดที่เป็นเอกลักษณ์(Signature) ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบด้วยกัน
-“สปาเกลือ” โรงแรมอวตาร สปา เมาท์เทน สวีท : อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี : โรงแรมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของธรรมชาติ มี “สปาเกลือ” ที่นำเกลือสินเธาว์บริสุทธิ์จาก อ.พิมาย จ.นครราชสีมา มาใช้ในการทำสปาบำบัด ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของการทำสปาที่นี่
-“น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง : แหล่งน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ภายในอุทยานฯมีการสร้างห้องอาบน้ำและอ่างอาบน้ำ ให้ได้ไปแช่ผ่อนคลาย บำบัดความตึงเครียดของร่างกาย พร้อมกับเส้นทางเดินชมความงามของบ่อน้ำพุร้อนที่น่าตื่นตาตื่นใจไปกับควันจากไอร้อนที่พวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
-“น้ำพุร้อนสันกำแพง” อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ : นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีน้ำพุร้อนพุ่งผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินดูน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ที่นี่ยังมีบ่อน้ำแร่ร้อนที่สร้างขึ้นสำหรับให้ผู้มาเยือนได้นั่งแช่เท้า บำบัดผ่อนคลาย ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งสามารถมาเที่ยวพักผ่อนแช่เท้าผ่อนคลายได้ตลอดทั้งปี
-“ภูโคลน” : ภูโคลน คันทรี คลับ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน : จากแหล่งโคลนธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีไม่กี่แห่งในโลก ได้ถูกนำมาพัฒนาใช้ในเชิงสุขภาพบำบัด ไม่ว่าจะเป็นพอกหน้า พอกตัว เพื่อให้ผิวพรรณดี รักษาสิวฝ้า เลือดลมไหลเวียนสะดวก รวมถึงมีขายในแพกเกจสวยงามให้เลือกซื้อกลับไปใช้เอง ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับผู้หญิงที่รักในสุขภาพ ความงาม ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
*********
และนั่นก็คือมนต์เสน่ห์ของ “8 เส้นทางเหนือแรงบันดาลใจ” กับ 8 เส้นทางท่องเที่ยวอันหลากหลายในพื้นที่ภาคเหนือ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงยุคใหม่ หัวใจนักเดินทาง ซึ่งรักการเดินทางท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ
เพราะการเดินทางท่องเที่ยว นอกจากจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ยังเป็นการเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ เปิดหน้าต่างของหัวใจให้เราได้สัมผัสเรียนรู้กับสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา
รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้เรานำประสบการณ์ดีๆ ที่ได้ในการเดินทางท่องเที่ยว มาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ หรือนำมาเติมพลังชาร์จแบตให้ชีวิตในการเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ต่อไป
*****************************************
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com