โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“ชุมพร” นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นจังหวัด “ประตูสู่ภาคใต้” แล้ว ชุมพรยังได้รับการคัดเลือกจาก “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” ให้เป็น 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด ภายใต้แนวคิด “หาดทรายสวยสี่ร้อยลี้” ที่เป็นการสะท้อนมนต์เสน่ห์ของจังหวัดชุมพรที่มีแนวหาดทรายเลาะเลียบทะเลอ่าวไทยไล่ไปตั้งแต่เหนือจดใต้ของจังหวัดยาวกว่า 222 กิโลเมตร
นอกจากนี้ชุมพรยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่โดดเด่นไปด้วยการท่องเที่ยวแนว “วิถีชุมชน” ซึ่งล่าสุดผมมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนที่ “บ้านอ่าวคราม” ที่นอกจากจะได้เปิดประสบการณ์อันแปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เรายังหลงรักที่นี่เข้าอย่างเต็มเปาชนิดที่ต้องปักหมุดให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในดวงใจแห่งดินแดนด้ามขวานเลยทีเดียว

1…
“บ้านอ่าวคราม”(หมู่ 11) ตั้งอยู่ที่ ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร เป็นชุมชนชามประมงริมทะเล มี 20 กว่าครัวเรือนอยู่กันฉันพี่น้อง ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพประมงพื้นบ้าน จับหมึก กุ้ง หอย ปู ปลา ดำรงวิถีอยู่กับธรรมชาติ ท้องทะเล มานับแต่บรรพบุรุษ 100 กว่าปีมาแล้ว
และด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชาวเลที่โดดเด่นไปด้วยการสืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ กับการร่วมรักษาทรัพยากรชายฝั่งให้ดำรงคงอยู่ วันนี้บ้านอ่าวครามได้มีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนในรูปแบบ “โฮมสเตย์” ขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีทางเลือกสำหรับการพักค้างในราคาย่อมเยา ควบคู่ไปกับการเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ ทำกิจกรรมท่องเที่ยวเรียนรู้ในวิถีชุมชนอันโดดเด่นของชาวบ้านที่นี่

บ้านอ่าวครามปัจจุบันมีโฮมสเตย์อยู่ 2 แห่ง คือ “อ่าวครามโฮมสเตย์” และ “แดนโดม...โฮมสเตย์” ที่เป็นจุดพักค้างเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ของผมในทริปนี้
แดนโดม...โฮมสเตย์เป็นผู้บุกเบิกการทำโฮมสเตย์แห่งแรกของบ้านอ่าวคราม ดำเนินงานโดย ครอบครัว “พี่ประจักษ์-จรรยา ข้อติโก้” ซึ่งทางฝ่ายหญิงจะคอยจัดการทางด้านที่พัก อาหาร และการเงิน ส่วนฝ่ายชายคือพี่ประจักษ์จะทำหน้าที่เป็นไกด์ พานักท่องเที่ยวทำกิจกรรม เที่ยวชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ ในพื้นที่

สำหรับต้นกำเนิดของแดนโดม...โฮมสเตย์ พี่ประจักษ์ เล่าให้ผมฟังว่า ดั้งเดิมแกทำเรือหมึกอยู่ในพื้นที่ แต่ว่าต้องประสบปัญหาทรัพยากรทางทะเลลดน้อยลงจากพวกเรือใหญ่อวนลาก อวนรุน (ที่ส่งผลกระทบกับทรัพยากรทางทะเลไปทั่วประเทศและล่าสุดรัฐบาลนายกฯ ตู่ได้ดำเนินการแก้ปัญหา ซึ่งก็ทำให้ทรัพยากรทางทะเลถูกทำลายน้อยลง และชาวประมงพื้นบ้านจับสัตว์น้ำทะเลได้มากขึ้น)
จากนั้นพี่ประจักษ์ได้หนีเรือใหญ่หันมาทำยกยอ แต่เมื่อหลายปีที่แล้วมีการก่อสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่บ้านบ่อคาที่อยู่ทางขึ้น
พี่ประจักษ์บอกว่าการสร้างเขื่อนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือช่วยแก้ปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ข้อเสียคือทำให้กระแสน้ำเปลี่ยน ระบบนิเวศเปลี่ยน ทำให้เขาจับหมึกและสัตว์น้ำทะเลได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเริ่มตระหนักต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ พอดีช่วงนั้นมีเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้านพี่ประจักษ์ ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศหมู่บ้านชาวประมงริมอ่าวอันชวนประทับใจ จึงแนะนำให้พี่ประจักษ์ลองทำโฮมสเตย์

หลังจากนั้นพี่ประจักษ์ก็หันมาพิจารณาถึงปัญหาการลดลงของทรัพยากรและผลกระทบต่ออาชีพชาวประมงพื้นบ้านของเขา จึงเห็นว่าควรมีการทำอาชีพเสริมสำรองไว้ แกจึงหันมาเริ่มลองทำโฮมสเตย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
แรกๆ พี่ประจักษ์ก็ลองถูก-ลองผิดมา โดยมีความเงียบเหงาเป็นเพื่อนเพราะไม่มีคนมาเที่ยว กระทั่งมีเพื่อนๆ ของลูกมาเที่ยว มีการบอกกันต่อๆไปแบบปากต่อปาก ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จัก และทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานชุมพร” ได้มาพบเจอ จึงได้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ทำให้แดนโดม...โฮมสเตย์ และบ้านอ่าวคราม เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

มาวันนี้ผลสำเร็จจากแดนโดม...โฮมสเตย์ ทำให้บ้านอ่าวคราม มีโฮมสเตย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง “อ่าวครามโฮมสเตย์” ซึ่งก็เป็นญาติพี่-น้องของพี่ประจักษ์นั่นเอง
ขณะที่แดนโดม...โฮมสเตย์วันนี้ดูเหมือนจะติดลมบนแล้ว มีคนไทยและชาวต่างชาติรู้จักเป็นจำนวนมาก ในช่วงฤดูท่องเที่ยวมีคนมาเที่ยวกันอย่างต่อเนื่อง บางเดือนคิวแน่นตลอด
“นักท่องเที่ยวหลายคนมาแล้วติดใจกลับมาอยู่บ่อยๆ บางคนมาเที่ยวร่วม 10 ครั้งเลยทีเดียว” พี่ประจักษ์บอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ

2…
แดนโดม...โฮมสเตย์ ตั้งชื่อตามชื่อเล่นของลูกชาย 2 คนของพี่ประจักษ์ คือแดน(พี่) และโดม(น้อง) ซึ่งพี่ประจักษ์บอก เขาให้บริการเสมือนมีญาติพี่น้องมีเพื่อนมาเยี่ยมเยียนบ้าน แต่เคารพและให้เกียรติแขกผู้มาเยือน
“แดนโดม...โฮมสเตย์ แม้จะเป็นที่พักโกโรโกโสแต่มีความจริงใจให้” พี่ประจักษ์บอก
สำหรับบ้านพักโฮมสเตย์ที่นี่แม้จะเป็นบ้านชาวประมงธรรมดาๆ อันแสนเรียบง่าย แต่ว่าก็มีเสน่ห์เหลือหลายกับบรรยากาศของบ้านไม้เปิดโล่งอันกว้างขวางริมทะเล มีลมเย็นๆโกรกโชยพัดตลอด เพราะผนัง 2 ด้านเปิดโล่งรับลม ซึ่งเมื่อมองจากระเบียง ชานบ้านออกไป เห็นความงดงามของท้องทะเล ที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อย-ใหญ่ต่างๆ และมีภาพของวิถีประมงพื้นบ้าน กับการทำประมงชายฝั่งให้สัมผัสทัศนา

หลายๆ คนมาที่นี่เพื่อปล่อยอารมณ์ไปกับวิถีสโลว์ไลฟ์ ดื่มด่ำกับวิถีอันเรียบง่ายแต่มากมายเสน่ห์ มาพักผ่อนนอนรับลมทะเลเย็นๆ อ่านหนังสือ ดื่มกิน ร้องเพลง(ตามเวลาที่จำกัด) กลางคืนนอนนับดาวทะเล กลางวันเพลิดเพลินกับท่ามกลางธรรมชาติและวิวทิวทัศน์แวดล้อมอันสวยงาม
นอกจากนี้แดนโดม...โฮมสเตย์ยังมีทั้งกิจกรรม “ล่องเรือเที่ยวอ่าวคราม” พาไปสัมผัสกับวิถีชาวประมงพื้นบ้าน ชมทิวทัศน์ของเทือกเขาหินปูน เกาะและหินรูปร่างแปลกตาต่างๆ อาทิ เกาะแมว เกาะหนู เกาะกระ เกาะกุลา หินช้างสมเด็จพระนเรศวร หินรูปหมาจู หรือหินชื่อสุดโดนอย่าง “หินยายหีโหว่”(ชื่ออาจฟังไม่สุภาพแต่นี่เป็นคำที่ชาวบ้านเรียกขานกันมาช้านาน ตามรูปลักษณ์สัณฐานของหินประหลาดชวนให้จินตนาการตามนั้น) รวมถึงล่องเรือไปชมไม้หายากริมภูเขาหินปูน ชม “ค่างแว่น” ที่มักจะปรากฏตัวให้ชมอยู่เสมอ

ส่วนวันไหนโชคดี(อย่างวันที่ผมไป) ก็จะได้พบกับ “ฝูงโลมา” ที่มีทั้งโลมาสีเทาและโลมาสีชมพู มาแหวกว่ายอยู่ริมชายฝั่งให้เราได้ล่องเรือชมเป็นที่เพลิดเพลินน่าตื่นตาตื่นใจ(สำหรับกิจกรรมล่องเรือเที่ยวอ่าวครามจะนำเสนอในโอกาสต่อไป)

3…
นอกจากการมาพักผ่อน สโลว์ไลฟ์ ในบรรยากาศสุดฟินตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ประทับใจนั่นก็คือเรื่องของ “อาหาร” ซึ่งแม่ครัวที่นี่ทำอาหารได้อร่อยเด็ดนัก

อาหารที่นี่เน้นอาหารพื้นบ้าน โดยเฉพาะอาหารทะเลสดๆ กุ้ง หอย ปู ปลา และ “หมึก” ที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของที่นี่ โดยนักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมตกหมึกได้อย่างสุดฟินที่ระเบียงหน้าบ้าน ซึ่งพี่ประจักษ์จะวางไฟล่อไว้ ให้เรานำโยทะกาที่ทางบ้านมีไว้บริการมาตกหมึกที่ว่ายมาเล่นไฟ ตามความสามารถในการตกหมึกของแต่ละคน แต่ละคณะ

เมื่อตกได้หมึกสดๆ ขึ้นมา ก็นำมาทำปิ้ง ย่าง ยำ หรือกินสดๆ จิ้มวาซาบิหรือน้ำจิ้มซีฟูดกันได้ หรือมาให้แม่ครัวทำเป็นอาหารพื้นบ้านประจำถิ่นขึ้นชื่อของชุมพรอย่าง “หมึกน้ำดำ” (หมึกต้มดำ,หมึกต้มน้ำดำ) ในมื้อวันรุ่งขึ้นก็ได้

อย่างไรก็ดีการตกหมึกที่นี่ถือเป็นเพียงกิจกรรมพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว ขณะที่การจับหมึกตามวิถีของชาวบ้านที่นี่ ส่วนใหญ่จะจับด้วยวิธีการทำ “บาม” หรือ “บามหมึก” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในการจับหมึกหนึ่งเดียวของเมืองไทย
หรือจะเอาอย่างที่พี่ประจักษ์บอก ว่านี่เป็น “การทำบามหนึ่งเดียวในโลก” ก็ได้ เพราะยังไม่มีการสำรวจพบภูมิปัญญาการทำบามในที่อื่น

“การทำบามของชาวบ้านอ่าวครามมีมาร่วม 50-60 ปีแล้ว คนทำคนแรกคือ “ลุงชบ” ที่เป็นน้าของพี่ประจักษ์เอง
“ผมเห็นว่าการทำบามเป็นภูมิปัญญาหนึ่งเดียวของบ้านอ่าวครามที่ชาวบ้านจับสัตว์น้ำอย่างพอเพียง เป็นภูมิปัญญาที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ จึงได้จัดกิจกรรมล่องเรือชมบามขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว ให้ได้เรียนรู้วิถีการทำบามที่มีเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ ” พี่ประจักษ์บอกกับผม

4...
บาม เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาการจับสัตว์ทะเลของชาวบ้านอ่าวครามแบบพอเพียง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
การทำบามจะใช้ไม้(ต้น)หมากยาวประมาณ 10 เมตร 4 ต้น มาปักเป็นเสาในทะเลริมชายฝั่ง 4 เสา รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 6-10 เมตร ด้านบนเสาประมาณ 3 เมตรเหนือน้ำพาดไม้ไผ่เอาไว้ แล้วผูกเชือกยึดอวนหรือข่ายขนาดตาไม่ถี่มากไว้เหนือผิวดิน โดยเป็นการผูกแบบพิเศษให้สามารถใช้รอกหมุนยกอวนขึ้น-ลงได้ กลางบามมีพาดไม้ไผ่เป็นคานไว้สำหรับผูกเชือกวางตะเกียง

ด้านหนึ่งของบามมีการปักเสาไม้ไผ่เป็น 3 เส้า(3 เสา) มีรอกสำหรับหมุนยกอวนขึ้น-ลง มีคานมั่นคงแข็งแรงให้ปีนขึ้นไปหมุนรอก
เมื่อสร้างบามเสร็จแล้ว ในช่วงโพล้เพล้ของทุกวันชาวบ้านจะนำตะเกียงแก๊ส(ตะเกียงจุดด้วยหัวแก๊สบนถังแก๊สหุงต้มทั่วไป) ไปผูกเชือกที่คานกลาง ให้ตะเกียงลอยอยู่เหนือน้ำเล็กน้อย แต่แสงสว่างส่องถึงพื้นน้ำ เพื่อให้หมึก กุ้ง ปู ปลา อื่นๆ มาว่ายเล่นไฟ แล้วทิ้งแสงไฟจากตะเกียงแก๊ส รอเวลายกบาม โดยคืนหนึ่งจะทำการยกบามประมาณ 2-5 ครั้ง/คืน ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำ ข้างขึ้น ข้างแรม ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ของชาวประมงแต่ละคน

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักค้างโฮมสเตย์ที่บ้านอ่าวครามนั้นจะได้เรียนรู้วิถีการทำบาม รวมถึงได้ออกเรือไปร่วมยกบามเพื่อได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง ทั้งการไปหมุนรอกยกข่ายขึ้น การใช้ตะแกรงช้อนสัตว์น้ำที่จับได้ในบาม ซึ่งหลักๆแล้วก็เป็นหมึกที่ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจของที่นี่ ร่วมด้วยกุ้ง ปู ปลา ตามแต่จะจับได้ในแต่ละคืน

5…
เย็นวันนั้นหลังอิ่มอร่อยกับอาหารเย็นที่นำด้วยซีฟูดสดๆ แล้ว พี่ประจักษ์ชวนผมไปดูแกติดตั้งไฟตะเกียงแก๊สล่อหมึก

จากนั้นประมาณ 4 ทุ่ม แกชวนผมกับคณะไปร่วมกันยกบาม ที่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกสนาน ก่อนจะกลับมานำหมึกสดๆ ส่วนหนึ่งที่จับได้จากการยกบาม มาย่างกินกันแบบสดใหม่ ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก เนื้อหวาน กรอบ กินกับน้ำจิ้มซีฟูดรสสุดเด็ดที่ทางแม่ครัวจัดทำไว้ให้

นับเป็นมื้อพิเศษก่อนนอนอันแสนอร่อยที่ค่ำคืนวันนั้นผมยอมให้คอเลสเตอรอลพุ่งสูงปรี๊ด เพราะซัดหมึกสดๆ ไปกว่า 10 ตัวเลยทีเดียว

สำหรับก่อนคืนนั้นผมเลือกดื่มด่ำบรรยากาศอันสุดฟินไปกับการดื่มดริงก์ พร้อมกับฮัมเพลง “พระเอกชายเล” ของ“เอกชัย ศรีวิชัย” ร่วมประกอบอารมณ์
“...สายลมพัดผ่าน มันแสนชื่นบานชาดเข้าหัวใจ
เหลียวมองหาคนข้างกาย เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เห็นแต่น้ำเล
มีเรือหางยาว เป็นเพื่อนคู่ใจให้เราได้เข
ตกเบ็ดหาปลากลางเล หัวใจว้าเหว่ไปตามคลื่นลม...”
(ท่อนสอง เพลง “พระเอกชายเล”)

ครับ...แม้ในเนื้อเพลงจะว้าเหว่เดียวดาย แต่สำหรับค่ำคืนนี้ ผมหาได้ว้าเหว่เดียวดายไม่???
เพราะค่ำคืนนี้เรามีเพื่อนเป็นธรรมชาติ คลื่นลมทะเลเห่กล่อม เบื้องล่างเป็นท้องทะเลสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับ เบื้องบนเป็นฟากฟ้าเดือนกระจ่าง พร่างพราวดารา ที่ช่างน่าประทับใจ และน่าจดจำประไรปานนั้น...
*****************************************

บ้านอ่าวคราม (หมู่ 11) ตั้งอยู่ที่ ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร แต่ก่อนการเข้าถึงชุมชนบ้านอ่าวคราม ต้องนั่งเรือเข้า แต่วันนี้มีการตัดถนนทำให้การเข้าถึงชุมชนบ้านอ่าวครามง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ดีในช่วงระยะทาง 3.5 กม. ก่อนถึงบ้านอ่าวคราม ถนนหนทางยังไม่ดี ซึ่งนอกจากจะเป็นถนนลูกรังสลับเทคอนกรีตแทรกในบางช่วงแล้ว ถนนยังคดเคี้ยวในบางช่วงและแคบมากชนิดที่รถยนต์วิ่งสวนกันอันตราย ทางชาวบ้านอ่าวครามจึงวอนขอให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยพัฒนาปรับปรุงเส้นทางนี้ให้ดีขึ้น เพื่อให้การเข้าถึงบ้านอ่าวครามสะดวกปลอดภัยมากขึ้น
แดนโดม...โฮมสเตย์ คิดค่าบริการโฮมสเตย์ คนละ 550 บาท/คน/คืน (ส่วนปีหน้าจะคิด 600 บาท/คน/คืน ตามราคาสินค้า น้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น) ประกอบด้วยบริการที่พัก 1 คืน พร้อมอาหาร 3 มื้อ เน้นอาหารทะเลสดๆ รวมถึงบริการพิเศษพานั่งเรือไปร่วมยกบาม ส่วนถ้าใครต้องการทำกิจกรรมนั่งเรือท่องเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ ในบริเวณพื้นที่อ่าวคราม คิดค่าบริการเรือหางยาวนำเที่ยว ลำละ 1,000 บาทต่อที่เที่ยว จำนวนคนไม่เกิน 15 คน ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 08-6941-7046
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเที่ยวโฮมสเตย์บ้านอ่าวคราม และข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับบ้านอ่าวครามโรงแรม
ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดชุมพรได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานชุมพร โทร.0-7750-2775-6, 0-7750-1831
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
“ชุมพร” นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นจังหวัด “ประตูสู่ภาคใต้” แล้ว ชุมพรยังได้รับการคัดเลือกจาก “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” ให้เป็น 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด ภายใต้แนวคิด “หาดทรายสวยสี่ร้อยลี้” ที่เป็นการสะท้อนมนต์เสน่ห์ของจังหวัดชุมพรที่มีแนวหาดทรายเลาะเลียบทะเลอ่าวไทยไล่ไปตั้งแต่เหนือจดใต้ของจังหวัดยาวกว่า 222 กิโลเมตร
นอกจากนี้ชุมพรยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่โดดเด่นไปด้วยการท่องเที่ยวแนว “วิถีชุมชน” ซึ่งล่าสุดผมมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนที่ “บ้านอ่าวคราม” ที่นอกจากจะได้เปิดประสบการณ์อันแปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เรายังหลงรักที่นี่เข้าอย่างเต็มเปาชนิดที่ต้องปักหมุดให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในดวงใจแห่งดินแดนด้ามขวานเลยทีเดียว
1…
“บ้านอ่าวคราม”(หมู่ 11) ตั้งอยู่ที่ ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร เป็นชุมชนชามประมงริมทะเล มี 20 กว่าครัวเรือนอยู่กันฉันพี่น้อง ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพประมงพื้นบ้าน จับหมึก กุ้ง หอย ปู ปลา ดำรงวิถีอยู่กับธรรมชาติ ท้องทะเล มานับแต่บรรพบุรุษ 100 กว่าปีมาแล้ว
และด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชาวเลที่โดดเด่นไปด้วยการสืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ กับการร่วมรักษาทรัพยากรชายฝั่งให้ดำรงคงอยู่ วันนี้บ้านอ่าวครามได้มีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนในรูปแบบ “โฮมสเตย์” ขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีทางเลือกสำหรับการพักค้างในราคาย่อมเยา ควบคู่ไปกับการเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ ทำกิจกรรมท่องเที่ยวเรียนรู้ในวิถีชุมชนอันโดดเด่นของชาวบ้านที่นี่
บ้านอ่าวครามปัจจุบันมีโฮมสเตย์อยู่ 2 แห่ง คือ “อ่าวครามโฮมสเตย์” และ “แดนโดม...โฮมสเตย์” ที่เป็นจุดพักค้างเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ของผมในทริปนี้
แดนโดม...โฮมสเตย์เป็นผู้บุกเบิกการทำโฮมสเตย์แห่งแรกของบ้านอ่าวคราม ดำเนินงานโดย ครอบครัว “พี่ประจักษ์-จรรยา ข้อติโก้” ซึ่งทางฝ่ายหญิงจะคอยจัดการทางด้านที่พัก อาหาร และการเงิน ส่วนฝ่ายชายคือพี่ประจักษ์จะทำหน้าที่เป็นไกด์ พานักท่องเที่ยวทำกิจกรรม เที่ยวชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ ในพื้นที่
สำหรับต้นกำเนิดของแดนโดม...โฮมสเตย์ พี่ประจักษ์ เล่าให้ผมฟังว่า ดั้งเดิมแกทำเรือหมึกอยู่ในพื้นที่ แต่ว่าต้องประสบปัญหาทรัพยากรทางทะเลลดน้อยลงจากพวกเรือใหญ่อวนลาก อวนรุน (ที่ส่งผลกระทบกับทรัพยากรทางทะเลไปทั่วประเทศและล่าสุดรัฐบาลนายกฯ ตู่ได้ดำเนินการแก้ปัญหา ซึ่งก็ทำให้ทรัพยากรทางทะเลถูกทำลายน้อยลง และชาวประมงพื้นบ้านจับสัตว์น้ำทะเลได้มากขึ้น)
จากนั้นพี่ประจักษ์ได้หนีเรือใหญ่หันมาทำยกยอ แต่เมื่อหลายปีที่แล้วมีการก่อสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่บ้านบ่อคาที่อยู่ทางขึ้น
พี่ประจักษ์บอกว่าการสร้างเขื่อนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือช่วยแก้ปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ข้อเสียคือทำให้กระแสน้ำเปลี่ยน ระบบนิเวศเปลี่ยน ทำให้เขาจับหมึกและสัตว์น้ำทะเลได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเริ่มตระหนักต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ พอดีช่วงนั้นมีเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้านพี่ประจักษ์ ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศหมู่บ้านชาวประมงริมอ่าวอันชวนประทับใจ จึงแนะนำให้พี่ประจักษ์ลองทำโฮมสเตย์
หลังจากนั้นพี่ประจักษ์ก็หันมาพิจารณาถึงปัญหาการลดลงของทรัพยากรและผลกระทบต่ออาชีพชาวประมงพื้นบ้านของเขา จึงเห็นว่าควรมีการทำอาชีพเสริมสำรองไว้ แกจึงหันมาเริ่มลองทำโฮมสเตย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
แรกๆ พี่ประจักษ์ก็ลองถูก-ลองผิดมา โดยมีความเงียบเหงาเป็นเพื่อนเพราะไม่มีคนมาเที่ยว กระทั่งมีเพื่อนๆ ของลูกมาเที่ยว มีการบอกกันต่อๆไปแบบปากต่อปาก ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จัก และทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานชุมพร” ได้มาพบเจอ จึงได้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ทำให้แดนโดม...โฮมสเตย์ และบ้านอ่าวคราม เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
มาวันนี้ผลสำเร็จจากแดนโดม...โฮมสเตย์ ทำให้บ้านอ่าวคราม มีโฮมสเตย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง “อ่าวครามโฮมสเตย์” ซึ่งก็เป็นญาติพี่-น้องของพี่ประจักษ์นั่นเอง
ขณะที่แดนโดม...โฮมสเตย์วันนี้ดูเหมือนจะติดลมบนแล้ว มีคนไทยและชาวต่างชาติรู้จักเป็นจำนวนมาก ในช่วงฤดูท่องเที่ยวมีคนมาเที่ยวกันอย่างต่อเนื่อง บางเดือนคิวแน่นตลอด
“นักท่องเที่ยวหลายคนมาแล้วติดใจกลับมาอยู่บ่อยๆ บางคนมาเที่ยวร่วม 10 ครั้งเลยทีเดียว” พี่ประจักษ์บอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ
2…
แดนโดม...โฮมสเตย์ ตั้งชื่อตามชื่อเล่นของลูกชาย 2 คนของพี่ประจักษ์ คือแดน(พี่) และโดม(น้อง) ซึ่งพี่ประจักษ์บอก เขาให้บริการเสมือนมีญาติพี่น้องมีเพื่อนมาเยี่ยมเยียนบ้าน แต่เคารพและให้เกียรติแขกผู้มาเยือน
“แดนโดม...โฮมสเตย์ แม้จะเป็นที่พักโกโรโกโสแต่มีความจริงใจให้” พี่ประจักษ์บอก
สำหรับบ้านพักโฮมสเตย์ที่นี่แม้จะเป็นบ้านชาวประมงธรรมดาๆ อันแสนเรียบง่าย แต่ว่าก็มีเสน่ห์เหลือหลายกับบรรยากาศของบ้านไม้เปิดโล่งอันกว้างขวางริมทะเล มีลมเย็นๆโกรกโชยพัดตลอด เพราะผนัง 2 ด้านเปิดโล่งรับลม ซึ่งเมื่อมองจากระเบียง ชานบ้านออกไป เห็นความงดงามของท้องทะเล ที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อย-ใหญ่ต่างๆ และมีภาพของวิถีประมงพื้นบ้าน กับการทำประมงชายฝั่งให้สัมผัสทัศนา
หลายๆ คนมาที่นี่เพื่อปล่อยอารมณ์ไปกับวิถีสโลว์ไลฟ์ ดื่มด่ำกับวิถีอันเรียบง่ายแต่มากมายเสน่ห์ มาพักผ่อนนอนรับลมทะเลเย็นๆ อ่านหนังสือ ดื่มกิน ร้องเพลง(ตามเวลาที่จำกัด) กลางคืนนอนนับดาวทะเล กลางวันเพลิดเพลินกับท่ามกลางธรรมชาติและวิวทิวทัศน์แวดล้อมอันสวยงาม
นอกจากนี้แดนโดม...โฮมสเตย์ยังมีทั้งกิจกรรม “ล่องเรือเที่ยวอ่าวคราม” พาไปสัมผัสกับวิถีชาวประมงพื้นบ้าน ชมทิวทัศน์ของเทือกเขาหินปูน เกาะและหินรูปร่างแปลกตาต่างๆ อาทิ เกาะแมว เกาะหนู เกาะกระ เกาะกุลา หินช้างสมเด็จพระนเรศวร หินรูปหมาจู หรือหินชื่อสุดโดนอย่าง “หินยายหีโหว่”(ชื่ออาจฟังไม่สุภาพแต่นี่เป็นคำที่ชาวบ้านเรียกขานกันมาช้านาน ตามรูปลักษณ์สัณฐานของหินประหลาดชวนให้จินตนาการตามนั้น) รวมถึงล่องเรือไปชมไม้หายากริมภูเขาหินปูน ชม “ค่างแว่น” ที่มักจะปรากฏตัวให้ชมอยู่เสมอ
ส่วนวันไหนโชคดี(อย่างวันที่ผมไป) ก็จะได้พบกับ “ฝูงโลมา” ที่มีทั้งโลมาสีเทาและโลมาสีชมพู มาแหวกว่ายอยู่ริมชายฝั่งให้เราได้ล่องเรือชมเป็นที่เพลิดเพลินน่าตื่นตาตื่นใจ(สำหรับกิจกรรมล่องเรือเที่ยวอ่าวครามจะนำเสนอในโอกาสต่อไป)
3…
นอกจากการมาพักผ่อน สโลว์ไลฟ์ ในบรรยากาศสุดฟินตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ประทับใจนั่นก็คือเรื่องของ “อาหาร” ซึ่งแม่ครัวที่นี่ทำอาหารได้อร่อยเด็ดนัก
อาหารที่นี่เน้นอาหารพื้นบ้าน โดยเฉพาะอาหารทะเลสดๆ กุ้ง หอย ปู ปลา และ “หมึก” ที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของที่นี่ โดยนักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมตกหมึกได้อย่างสุดฟินที่ระเบียงหน้าบ้าน ซึ่งพี่ประจักษ์จะวางไฟล่อไว้ ให้เรานำโยทะกาที่ทางบ้านมีไว้บริการมาตกหมึกที่ว่ายมาเล่นไฟ ตามความสามารถในการตกหมึกของแต่ละคน แต่ละคณะ
เมื่อตกได้หมึกสดๆ ขึ้นมา ก็นำมาทำปิ้ง ย่าง ยำ หรือกินสดๆ จิ้มวาซาบิหรือน้ำจิ้มซีฟูดกันได้ หรือมาให้แม่ครัวทำเป็นอาหารพื้นบ้านประจำถิ่นขึ้นชื่อของชุมพรอย่าง “หมึกน้ำดำ” (หมึกต้มดำ,หมึกต้มน้ำดำ) ในมื้อวันรุ่งขึ้นก็ได้
อย่างไรก็ดีการตกหมึกที่นี่ถือเป็นเพียงกิจกรรมพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว ขณะที่การจับหมึกตามวิถีของชาวบ้านที่นี่ ส่วนใหญ่จะจับด้วยวิธีการทำ “บาม” หรือ “บามหมึก” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในการจับหมึกหนึ่งเดียวของเมืองไทย
หรือจะเอาอย่างที่พี่ประจักษ์บอก ว่านี่เป็น “การทำบามหนึ่งเดียวในโลก” ก็ได้ เพราะยังไม่มีการสำรวจพบภูมิปัญญาการทำบามในที่อื่น
“การทำบามของชาวบ้านอ่าวครามมีมาร่วม 50-60 ปีแล้ว คนทำคนแรกคือ “ลุงชบ” ที่เป็นน้าของพี่ประจักษ์เอง
“ผมเห็นว่าการทำบามเป็นภูมิปัญญาหนึ่งเดียวของบ้านอ่าวครามที่ชาวบ้านจับสัตว์น้ำอย่างพอเพียง เป็นภูมิปัญญาที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ จึงได้จัดกิจกรรมล่องเรือชมบามขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว ให้ได้เรียนรู้วิถีการทำบามที่มีเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ ” พี่ประจักษ์บอกกับผม
4...
บาม เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาการจับสัตว์ทะเลของชาวบ้านอ่าวครามแบบพอเพียง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
การทำบามจะใช้ไม้(ต้น)หมากยาวประมาณ 10 เมตร 4 ต้น มาปักเป็นเสาในทะเลริมชายฝั่ง 4 เสา รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 6-10 เมตร ด้านบนเสาประมาณ 3 เมตรเหนือน้ำพาดไม้ไผ่เอาไว้ แล้วผูกเชือกยึดอวนหรือข่ายขนาดตาไม่ถี่มากไว้เหนือผิวดิน โดยเป็นการผูกแบบพิเศษให้สามารถใช้รอกหมุนยกอวนขึ้น-ลงได้ กลางบามมีพาดไม้ไผ่เป็นคานไว้สำหรับผูกเชือกวางตะเกียง
ด้านหนึ่งของบามมีการปักเสาไม้ไผ่เป็น 3 เส้า(3 เสา) มีรอกสำหรับหมุนยกอวนขึ้น-ลง มีคานมั่นคงแข็งแรงให้ปีนขึ้นไปหมุนรอก
เมื่อสร้างบามเสร็จแล้ว ในช่วงโพล้เพล้ของทุกวันชาวบ้านจะนำตะเกียงแก๊ส(ตะเกียงจุดด้วยหัวแก๊สบนถังแก๊สหุงต้มทั่วไป) ไปผูกเชือกที่คานกลาง ให้ตะเกียงลอยอยู่เหนือน้ำเล็กน้อย แต่แสงสว่างส่องถึงพื้นน้ำ เพื่อให้หมึก กุ้ง ปู ปลา อื่นๆ มาว่ายเล่นไฟ แล้วทิ้งแสงไฟจากตะเกียงแก๊ส รอเวลายกบาม โดยคืนหนึ่งจะทำการยกบามประมาณ 2-5 ครั้ง/คืน ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำ ข้างขึ้น ข้างแรม ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ของชาวประมงแต่ละคน
สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักค้างโฮมสเตย์ที่บ้านอ่าวครามนั้นจะได้เรียนรู้วิถีการทำบาม รวมถึงได้ออกเรือไปร่วมยกบามเพื่อได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง ทั้งการไปหมุนรอกยกข่ายขึ้น การใช้ตะแกรงช้อนสัตว์น้ำที่จับได้ในบาม ซึ่งหลักๆแล้วก็เป็นหมึกที่ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจของที่นี่ ร่วมด้วยกุ้ง ปู ปลา ตามแต่จะจับได้ในแต่ละคืน
5…
เย็นวันนั้นหลังอิ่มอร่อยกับอาหารเย็นที่นำด้วยซีฟูดสดๆ แล้ว พี่ประจักษ์ชวนผมไปดูแกติดตั้งไฟตะเกียงแก๊สล่อหมึก
จากนั้นประมาณ 4 ทุ่ม แกชวนผมกับคณะไปร่วมกันยกบาม ที่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกสนาน ก่อนจะกลับมานำหมึกสดๆ ส่วนหนึ่งที่จับได้จากการยกบาม มาย่างกินกันแบบสดใหม่ ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก เนื้อหวาน กรอบ กินกับน้ำจิ้มซีฟูดรสสุดเด็ดที่ทางแม่ครัวจัดทำไว้ให้
นับเป็นมื้อพิเศษก่อนนอนอันแสนอร่อยที่ค่ำคืนวันนั้นผมยอมให้คอเลสเตอรอลพุ่งสูงปรี๊ด เพราะซัดหมึกสดๆ ไปกว่า 10 ตัวเลยทีเดียว
สำหรับก่อนคืนนั้นผมเลือกดื่มด่ำบรรยากาศอันสุดฟินไปกับการดื่มดริงก์ พร้อมกับฮัมเพลง “พระเอกชายเล” ของ“เอกชัย ศรีวิชัย” ร่วมประกอบอารมณ์
“...สายลมพัดผ่าน มันแสนชื่นบานชาดเข้าหัวใจ
เหลียวมองหาคนข้างกาย เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เห็นแต่น้ำเล
มีเรือหางยาว เป็นเพื่อนคู่ใจให้เราได้เข
ตกเบ็ดหาปลากลางเล หัวใจว้าเหว่ไปตามคลื่นลม...”
(ท่อนสอง เพลง “พระเอกชายเล”)
ครับ...แม้ในเนื้อเพลงจะว้าเหว่เดียวดาย แต่สำหรับค่ำคืนนี้ ผมหาได้ว้าเหว่เดียวดายไม่???
เพราะค่ำคืนนี้เรามีเพื่อนเป็นธรรมชาติ คลื่นลมทะเลเห่กล่อม เบื้องล่างเป็นท้องทะเลสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับ เบื้องบนเป็นฟากฟ้าเดือนกระจ่าง พร่างพราวดารา ที่ช่างน่าประทับใจ และน่าจดจำประไรปานนั้น...
*****************************************
บ้านอ่าวคราม (หมู่ 11) ตั้งอยู่ที่ ต.ด่านสวี อ.สวี จ.ชุมพร แต่ก่อนการเข้าถึงชุมชนบ้านอ่าวคราม ต้องนั่งเรือเข้า แต่วันนี้มีการตัดถนนทำให้การเข้าถึงชุมชนบ้านอ่าวครามง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ดีในช่วงระยะทาง 3.5 กม. ก่อนถึงบ้านอ่าวคราม ถนนหนทางยังไม่ดี ซึ่งนอกจากจะเป็นถนนลูกรังสลับเทคอนกรีตแทรกในบางช่วงแล้ว ถนนยังคดเคี้ยวในบางช่วงและแคบมากชนิดที่รถยนต์วิ่งสวนกันอันตราย ทางชาวบ้านอ่าวครามจึงวอนขอให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยพัฒนาปรับปรุงเส้นทางนี้ให้ดีขึ้น เพื่อให้การเข้าถึงบ้านอ่าวครามสะดวกปลอดภัยมากขึ้น
แดนโดม...โฮมสเตย์ คิดค่าบริการโฮมสเตย์ คนละ 550 บาท/คน/คืน (ส่วนปีหน้าจะคิด 600 บาท/คน/คืน ตามราคาสินค้า น้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น) ประกอบด้วยบริการที่พัก 1 คืน พร้อมอาหาร 3 มื้อ เน้นอาหารทะเลสดๆ รวมถึงบริการพิเศษพานั่งเรือไปร่วมยกบาม ส่วนถ้าใครต้องการทำกิจกรรมนั่งเรือท่องเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจต่างๆ ในบริเวณพื้นที่อ่าวคราม คิดค่าบริการเรือหางยาวนำเที่ยว ลำละ 1,000 บาทต่อที่เที่ยว จำนวนคนไม่เกิน 15 คน ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 08-6941-7046
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเที่ยวโฮมสเตย์บ้านอ่าวคราม และข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับบ้านอ่าวครามโรงแรม

*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com