ทรงรักษ์ป่าต้นน้ำ ขุนเขางามและพงไพร
รักษ์สัตว์พืชพรรณไม้ แผ่นดินไทยจึงสมบูรณ์
รักษ์ราษฎร์งานศาสน์ศิลป์ รักแผ่นดินมิให้สูญ
รักษ์ศาสน์ทรงเกื้อกูล ทรงเพิ่มพูนธรรมปัญญา
ศิลปาชีพโดดเด่น ทั่วโลกเห็นทรงคุณค่า
ศิลป์ไทยไกลลิบตา พระปรีชาแห่งพระองค์
ขอไตรรัตน์เทพไท ดลพระให้สมประสงค์
สำเร็จเจตจำนง ขอพระองค์ทรงพระเจริญฯ
มหาราชินีอาศิรวาท : ประพันธ์โดย : นายสุดใจ แดงเจริญ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นศรีแห่งปวงชนชาวไทย ดังเห็นได้จากพระราชกรณียกิจนานัปการที่ทรงปฏิบัติเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วแผ่นดินไทยเพื่อเยี่ยมเยือนราษฎร ทรงรับรู้ถึงทุกข์สุขและปัญหาต่างๆของประชาชนอย่างใกล้ชิด อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการในพระราชดำริ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ รวมถึงการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมต่างๆให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนถึงความรักความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อคนไทยมาโดยตลอด
และเนื่องในโอกาสเดือนแห่งวันคล้ายวันพระราชสมภพ 12 สิงหามหาราชินี “ตะลอนเที่ยว” จึงขอพาไปสัมผัสกับ 7 สถานที่น่าสนใจในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ใน 4 จังหวัดภาคเหนือไล่จากภาคเหนือตอนล่างขึ้นไปสู่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งทาง“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” สำนักงานภูมิภาคภาคเหนือ ได้ร่วมส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนคนไทยได้รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
พิษณุโลก
สถานที่แรก“ตะลอนเที่ยว”ขอเริ่มที่จังหวัดพิษณุโลกกับ “สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดำริ” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก มีเนื้อที่ 1,385 ไร่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 750-1,280 เมตร
สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าฯ ก่อตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ภายหลังจากที่พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานของโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ ภูขัด ภูเมี่ยง ภูสอยดาว ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2542
หลังจากนั้นทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมความมั่นคงในประเทศ เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้อันสมบูรณ์ไว้ให้เป็นป่าต้นน้ำลำธาร และเพื่อให้ราษฎรในหมู่บ้านร่มเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงมีอาชีพ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเพื่อพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต่อไป
ภายในสวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าฯ ได้มีการรวบรวมพรรณไม้ประจำถิ่น ไม้หายาก และไม้ใกล้สูญพันธุ์ไว้เป็นจำนวนมาก โดยมีจุดเด่นอยู่ที่โรงเรือนจัดแสดงพันธุ์ไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “โรงเรือนเพาะขยายพันธุ์พืช”,“โรงเรือนจัดแสดงเฟิน”กับเฟินนานาชนิดทั้งสายพันธุ์ไทยและต่างประเทศ และโรงเรือนสำคัญคือ “โรงเรือนจัดแสดงกล้วยไม้” ที่รวบรวมสายพันธุ์กล้วยไม้หายากมากมาย อาทิ แปรงสีฟันพระอินทร์,สิงโตใบพาย,สิงโตประหลาด,นิมมานรดี,ทับทิมสยาม รวมถึงกล้วยไม้สกุลรองเท้านารีสายพันธุ์ต่างๆ และกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่ลูกผสมระหว่างเอื้องพร้าวกับกล้วยไม้ดงที่มีความสวยงามน่ายลไม่น้อย
ขณะที่ในส่วนของพื้นที่กลางแจ้งก็มีการปลูกพืชพันธุ์อันหลากหลายไว้ให้ศึกษาเที่ยวชม นำโดย “แปลงรวบรวมพันธุ์กุหลาบ”ที่มากไปด้วยกุหลาบหลากสายพันธุ์สีสันสวยงามและต้น“กุหลาบพันปี”ที่ยามหน้าแล้งจะออกดอกชูช่องดงามสะพรั่ง
อีกทั้งยังมีพันธุ์ไม้ดาวเด่นที่เป็นพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลก เพิ่งค้นพบไม่นานนั่นก็คือ “สร้อยสยาม” ไม้ตระกูลชงโค หรือเสี้ยวของไทย ที่ดอกมีสีชมพูอมขาวถึงสีชมพู ออกดอกเป็นช่อกระจะดูสวยงามไม่น้อย
นอกจากพืชพรรณไม้อันหลากหลายแล้ว สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าฯ ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ จุดชมวิว“ค้อเดียวดาย”ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาอันสลับซับซ้อนในพื้นที่รอยต่อของ 2 ประเทศไทย-ลาว ได้อย่างสวยงามกว้างไกล รวมถึงยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่งดงามอีกแห่งหนึ่งในยามหน้าหนาว
ขณะที่สิ่งที่ถือเป็นความพิเศษสุดของจุดชมวิวค้อเดียวดายก็คือที่นี่เป็นจุดชม “พระอาทิตย์ 2 แผ่นดิน” คือในยามเช้าเราจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากฝั่งลาว ส่วนในยามเย็นจะเห็นพระอาทิตย์ตกทางฝั่งไทย นับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าฯยังมีแหล่งท่องเที่ยวใกล้ๆเคียงอันน่าสนใจ ได้แก่ น้ำตกชาติตระการ จ.พิษณุโลก, อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย จ.เลย และ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์ ที่ขึ้นชื่อโดดเด่นในเรื่องของ“ทุ่งดอกหงอนนาค”ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนส.ค.-ก.ย.จะพาพร้อมใจกันออกดอกบานสวยงามสะพรั่งปูพรมดารดาษไปด้วยสีชมพูอมม่วง อวดโฉมความงามท่ามกลางลานสนอันกว้างใหญ่
และด้วยความงามอันน่าตื่นตาตื่นใจของทุ่งดอกหงอนนาคบนภูสอยดาว ทำให้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ยกให้ “ทุ่งดอกหงอนนาคภูสอยดาว” เป็น 1 ใน 22 เส้นทางดอกไม้ของเมืองไทยอันสวยงามในโครงการ “Dream Destinations 2 กาลครั้งนั้น ความฝันผลิบาน” รวมถึงได้รับการยกย่องว่า “ภูสอยดาวเป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกหงอนนาคที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดในเมืองไทย”
ลำปาง
จากพิษณุโลก“ตะลอนเที่ยว”เดินทางขึ้นเหนือไปอีกสู่เมืองรถม้าจังหวัดลำปาง 1 ใน 12 “เมืองต้องห้าม...พลาด” ซึ่งเราเลือกที่จะไปตามรอยแม่หลวงผ่าน 2 โครงการในพระราชดำริ ได้แก่ “โครงการพัฒนาบ้านแม่ต๋ำฯ” และ “โครงการพระราชดำริ บ้านทุ่งจี้”
“โครงการพัฒนาบ้านแม่ต๋ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” หรือ “ศูนย์ศิลปาชีพบ้านแม่ต๋ำ” ตั้งอยู่ที่ ต.เสริมซ้าย อ.เสริมงาม จ.ลำปาง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการแห่งนี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหาราษฎรที่ไม่มีที่ทำกินให้มีอาชีพมีรายได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า พร้อมช่วยกันอนุรักษ์ผืนป่าและระบบนิเวศให้ดำรงคงอยู่อย่างยั่งยืน
โครงการพัฒนาบ้านแม่ต๋ำฯ ดำเนินงานใน 3 ด้านหลักๆด้วยกัน ได้แก่ ด้านการปลูกป่าและอนุรักษ์ป่าไม้สัตว์ป่า,ด้านเกษตรกรรม มีแปลงเกษตรสาธิต ฟาร์มตัวอย่าง และด้านงานศิลปาชีพที่ถือเป็นจุดเด่นของที่นี่ กับงานศิลปหัตถกรรมอันหลากหลาย อาทิ เครื่องปั้นดินเผา,ทอผ้า(มีทั้งผ้าไหม-ผ้าฝ้าย),แกะสลัก และจักสาน ซึ่งเมื่อทำผลิตภัณฑ์ต่างๆแล้วเสร็จก็จะนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาจำหน่ายในราคาย่อมเยาถือเป็นรายได้เสริมที่ช่วยให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่น้อยเลย
ส่วน“โครงการพระราชดำริ บ้านทุ่งจี้” ตั้งอยู่ที่ ต.ทุ่งกว๋าว อ.เมืองปาน ก่อตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่และสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่
โดยโครงการมีจุดเด่นอยู่ที่“โรงงานเซรามิก” ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมงานด้านศิลปาชีพ ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ให้กับชาวชุมชน โดยมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านงานเซรามิกมาช่วยสอนชาวบ้านที่เป็นสมาชิก ทั้ง การออกแบบ การทำน้ำดินสำหรับงานหล่อ การปั้นแป้นหมุน การเขียนลวดลาย การปั้นดอกไม้ การพิมพ์ การเผา การตกแต่ง ซึ่งปัจจุบันที่นี่ถือเป็นแหล่งผลิตเซรามิกคุณภาพและสวยงามที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง
สำหรับโครงการพระราชดำริทั้ง 2 แห่งในจังหวัดลำปางนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงอันโดดเด่นชวนให้ไปสัมผัส ดังนี้
โครงการพัฒนาบ้านแม่ต๋ำฯ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจใกล้เคียงได้แก่ “วัดพระธาตุจอมปิง”,“วัดเสลารัตนปัพพตาราม”(วัดไหล่หิน), และที่ไม่ควรพลาดก็คือ “วัดพระธาตุลำปางหลวง” วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองชาวลำปางกับงานสถาปัตยกรรมอันสวยงามสุดคลาสสิก ไม่ว่าจะเป็น เจดีย์,วิหาร,พระพุทธรูป,พระประธาน,ซุ้มประตูโขง และที่ไม่ควรพลาดก็คือ “เงาพระธาตุ” หรือ“พระธาตุหัวกลับ”ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอันซีนไทยแลนด์อันเลื่องชื่อ
ส่วนโครงการพระราชดำริ บ้านทุ่งจี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงอันโดดเด่นได้แก่ “อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน” ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน ที่มี“น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” หรือ “บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน”เป็นไฮไลท์สำคัญของอุทยานฯ และได้รับการพัฒนาให้เป็นสปาน้ำแร่ในรูปแบบออนเซนเมืองไทย ที่มีมาตรฐานสูงจนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งอาบน้ำพุร้อนตามธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย
นอกจากนี้ในพื้นที่ใกล้ๆกับน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนยังมี“บ้านป่าเหมี้ยง”แหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่โดดเด่นไปด้วยวิถีการทำเมี่ยง ทัวร์สุขภาพ และโฮมสเตย์ท่ามกลางแวดล้อมของธรรมชาติ ซึ่งทุกๆปีในช่วงฤดูหนาวราวๆเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ “ดอกเสี้ยว”(วงศ์เดียวกับชงโค) ที่บ้านป่าเหมี้ยงจะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง ย้อมผืนป่าเป็นสีขาวนวลสบายตา และงดงามจน ททท. ยกให้เป็น 1 ใน 22 เส้นทางชมดอกไม้งามทั่วไทยในโครงการ “Dream Destinations 2 - กาลครั้งนั้น...ความฝันผลิบาน” ที่ใครได้มีโอกาสไปเที่ยวชมต่างก็ประทับใจไปตามๆกัน
เชียงใหม่
จากลำปาง“ตะลอนเที่ยว”ขึ้นเหนือไปต่อกันที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยว 2 แห่งในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามชวนประทับใจแล้ว ยังเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ที่น่าสนใจยิ่งของเมืองไทย
สำหรับสถานที่แห่งแรกคือ “สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” ที่ก่อตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยได้ดำเนินการจัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2535 ก่อนจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2536 เดิมชื่อ“สวนพฤกษศาสตร์ แม่สา”ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อว่า“สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์”(QueenSirikitBotanic Garden)
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตั้งอยู่ ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นสวนพฤกษ์ศาสตร์สากลแห่งแรกของประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 6,500 ไร่ ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพพื้นที่ที่แวดล้อมด้วยป่าเขาอันสวยงาม โดยมี“กลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ”เป็นจุดท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญ
กลุ่มอาคารเรือนกระจกฯแบ่งเป็นโรงเรือนกระจกหลายหลัง ได้แก่ “เรือนกระจกใหญ่หรือเรือนแสดงไม้ป่าดงดิบ” โรงเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในสวน มีเนื้อที่กว้าง 1,000 ตารางเมตร สูงถึง 33 เมตร ภายในรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆในเขตป่าดงดิบจากทุกภูมิภาคของทวีปเอเชีย มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการควบคุมระดับความชื้นสัมพัทธ์โดยการฉีดละอองน้ำหล่อเลี้ยง รวมถึงมีน้ำตกจำลองกับการจัดแต่งที่ให้บรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าไม่น้อยเลย
นอกจากอาคารเรือนกระจกใหญ่แล้วก็ยังมีอาคารเรือนกระจกอื่นๆ อาทิ “เรือนไม้น้ำ” จัดแสดงไม้น้ำและพืชชุ่มน้ำชนิดต่างๆ โดยเน้นที่พันธุ์บัวของไทยเป็นหลัก, “เรือนกล้วยไม้และเฟิน” เน้นพวกกล้วยไม้ไทยโดยมีเหล่าเฟินอยู่ตามด้านล่าง พร้อมกับเสริมด้วยพืชชุ่มน้ำบางชนิด,“เรือนแสดงพันธุ์ไม้ที่น่าสนใจ” รวบรวมไม้ดอกไม้ประดับ พันธุ์ไม้ไทยหายาก สมุนไพร และบัวพันธุ์ต่างๆจำนวนมาก
ขณะที่อาคารเรือนกระจก“เรือนพืชแล้ง”นั้น ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบกันมาก ภายในแบ่งเป็นห้องอเนกประสงค์, ห้องแสดงพืชสกุลศรนารายณ์ และห้องแสดงกระบองเพชร ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปด้วยกระบองเพชรน้อยใหญ่ หลากหลายรูปทรง จากการรวบรวมกระบองเพชรสกุลต่างๆจำนวนมากจากทั่วโลกมาจัดแสดง
ในสวนพฤกษศาสตร์ฯยังมีจุดน่าสนใจอื่นๆอีก ได้แก่ “ศูนย์สารนิเทศ”,“เส้นทางศึกษาธรรมชาติ”(4 เส้นทาง),“พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ” และ“บริเวณพื้นที่ด้านหน้าสวน”ที่นับเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะที่นี่นอกจากมีการปลูกแปลงดอกไม้ประดับตกแต่งอย่างสวยงามแล้ว ยังมีจุดเด่นอยู่ที่ป้ายสวนพฤกษศาสตร์ฯที่ทำด้วยหินแกรนิตขนาดใหญ่ เรียงกัน 8 ก้อน มีน้ำหนักหนักถึงประมาณ 10 ตันเลยทีเดียว
สำหรับผู้ที่ไปเที่ยวชมความงามของดอกไม้พรรณไม้นานาชนิดที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์แล้ว ยังสามารถเลือกเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียงบนเส้นทางแม่ริม-สะเมิง ที่มากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “น้ำตกแม่สา”, “ปางช้างแม่สา”, “วัดป่าดาราภิรมย์”, “สวนกล้วยไม้และฟาร์มผีเสื้อ”, “ฟาร์มงูแม่สา”, “พิพิธภัณฑ์บ้านคำอูน” เป็นต้น
นอกจากนี้ที่ไม่ควรพลาดก็คือ “ม่อนแจ่ม”(โครงการหลวงหนองหอย) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีทั้งร้านอาหาร จุดชมวิวทิวทัศน์ และการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างสวยงาม มีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้อย่างหลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ถ่ายรูป และเซลฟี่กันอย่างจุใจ
ส่วนใครที่ชอบสตรอว์เบอร์รี่ในเส้นทางสายนี้ในหน้าสตรอว์เบอร์รี่ จะมีร้านสตรอว์เบอร์รี่สดๆใหม่ๆวางขายให้เลือกซื้อหากันอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกันนี้ก็ยังมีไร่และฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่บางแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม นับได้ว่านี่คือเส้นทางที่เป็นดั่งสวรรค์ของคนรักสตรอว์เบอร์รี่เลยทีเดียว
จากแม่ริมเราขึ้นไปยัง“ดอยอินทนน์”ขุนเขาสูงสุดในเมืองไทย เพื่อไปสัมผัสกับอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ชั้นดีกันที่ “โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ รองเท้านารีอินทนนท์ ตามพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ(ดอยอินทนนท์)” หรือ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ดอยอินทนนท์” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “ศูนย์รองเท้านารี”
ศูนย์รองเท้านารี จัดตั้งขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ท่านทรงเคยมีพระราชดำรัสสำคัญเกี่ยวกับงานอนุรักษ์กล้วยไม้ไทยว่า
“...กล้วยไม้ไทยมีความงาม และมีกลิ่นหอมมาก ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากและใกล้สูญพันธุ์ไปทุกขณะ ขอให้ช่วยกันหาทางรวบรวมและอนุรักษ์ไว้ พร้อมกับการขยายพันธุ์ให้มีปริมาณมากพอที่จะคืนสู่ป่าธรรมชาติได้…”(พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2535)
ศูนย์รองเท้านารี ตั้งอยู่ที่บ้านขุนกลาง ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ภายในศูนย์ฯ ได้รวบรวมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีฯ สายพันธุ์ต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะไว้เพื่ออนุรักษ์ ขยายพันธุ์ นำกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว ยังเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับกล้วยไม้เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป
นอกจากกล้วยไม้รองเท้านารีจำนวนมากที่มีให้ผู้สนใจได้เที่ยวชมกันแล้ว ที่นี่ยังมีสวนสวย จัดตกแต่งภูมิทัศน์อย่างสวยงาม มีอ่างเก็บน้ำขนาดย่อมที่แวดล้อมไปด้วยแมกไม้ ต้นสน ดูชุ่มชื่นสายตา โดยในช่วงกลางฤดูหนาวของทุกปี(ราวเดือนมกราคม) ต้นนางพญาเสือโคร่งที่ศูนย์แห่งนี้จะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานเป็นให้สีชมพูสดใสไปทั่วพื้นที่
มีทั้งดอกนางพญาเสือโคร่ง(ซากุระเมืองไทย)ที่บานเด่นอยู่ริมโค้งใกล้ทางเข้า รวมถึงในมุมพิเศษที่ชวนให้ใครต่อใครประทับใจเป็นอย่างมากก็คือ เหล่าดอกนางพญาเสือโคร่งบานอยู่ริมอ่างเก็บน้ำ ซึ่งพวกมันจะออกดอกสีชมพูตัดกับผืนป่าสนสีเขียวสด สะท้อนเงาลงมาในน้ำดูงดงามยิ่งนัก
สำหรับผู้ที่ไปเยือนศูนย์รองเท้านารี ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจใกล้เคียงให้เลือกเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภายใน“อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” ที่มีจุดน่าสนในอันโดดเด่นชวนเที่ยวชมอยู่มากหลาย อาทิ “จุดสูงสุดแดนสยาม”(2,565.3341 เมตร), “พระมหาธาตุนภเมทนีดล-พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ”, “น้ำตกสิริภูมิ”,“น้ำตกผาดอกเสี้ยว”,“น้ำตกวชิรธาร” และ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาหลวง” ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของผืนป่าพรุที่สูงที่สุดในเมืองไทยมากไปด้วยมอส เฟิน ข้าวตอกฤาษี ให้บรรยากาศคล้าย“ป่าดึกดำบรรพ์”ที่นับเป็นอีกหนึ่งความน่าทึ่งกึ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติซึ่งหาชมได้ยากยิ่ง
แม่ฮ่องสอน
จากนั้นเรามาต่อกันในจังหวัดสุดท้ายที่เมืองสามหมอก “แม่ฮ่องสอน” กับ “ศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอน” ที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระราชินี เพื่อให้เป็นสถานที่ฝึกอาชีพให้กับราษฎรทั้งชาวไทยภูเขา ชาวไทยพื้นราบ และเพื่อเพิ่มรายได้ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยได้มีการฝึกอบรมต่างๆ อาทิ การทอผ้าไหม ทอผ้าจก งานหวาย งานจักสานไม้ไผ่ การทำเครื่องเงิน
ศูนย์ศิลปาชีพฯแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่ที่ ถ.ขุนลุมประพาส อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เปิดทำการในปี พ.ศ. 2548 ภายในอาคารแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นศูนย์แสดงสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ผ้าทอ น้ำมันงา ผลิตภัณฑ์จากงา เครื่องจักรสาน เป็นต้น ชั้น 2 เป็นห้องทรงงานของพระราชินี และส่วนจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ส่วนชั้น 3 เป็นพิพิธภัณฑ์ชนเผ่าต่างๆในแม่ฮ่องสอน อาทิ ม้ง ปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง) ไทยใหญ่ ลั๊วะ เป็นต้น โดยได้จัดแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณีและวัฒนธรรมอันโดดเด่นของแต่ละชนเผ่า
สำหรับผู้ที่มาเยือนหรือซื้อสินค้าที่ระลึกที่ศูนย์ศิลปาชีพฯแม่ฮ่องสอนแล้ว ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนยังมีวัดวาอารามต่างๆที่งดงามไปด้วยศิลปะไทยใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ให้เลือกเที่ยวชม ไหว้พระ ทำบุญ ไม่ว่าจะเป็น “วัดก้ำก่อ”, “วัดพระนอน”, “วัดหัวเวียง” และ “วัดจองคำ-วัดจองกลาง” 2 วัดฝาแฝดที่ตั้งอยู่ริมหนองจองคำ หนองน้ำและสวนสาธารณะสำคัญประจำเมือง
ส่วนที่ไม่ควรพลาดก็คือการขึ้นไปสักการะ “พระธาตุดอยกองมู” พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน ที่ตั้งอยู่ใน“วัดพระธาตุดอยกองมู”บนดอยกองมูที่อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
พระธาตุดอยกองมู โดดเด่นไปด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย “จองตองสู่” เมื่อปี พ.ศ. 2403 พระเจดีย์องค์เล็กสร้างโดย “พระยาสิงหนาทราชา”เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก นอกจากนี้พระธาตุดอยกองมูยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี มองเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างสวยงามในหลายมุมมอง รวมถึงในยามเช้าช่วงหน้าหนาวบนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมทะเลหมอกกลางเมืองที่งดงามไม่น้อยเลยทีเดียว
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังมีอีกหนึ่งโครงการในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือ “ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ” หรือที่มักเรียกสั้นๆว่า “ศูนย์ปางตอง” ที่ตั้งอยู่ที่ ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง
ศูนย์ปางตอง ก่อตั้งตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่มีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำ ปลูกป่า ส่งเสริมอาชีพ ให้กับราษฎรในพื้นที่แถบนั้น ทั้งนี้เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรและสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน
ศูนย์ปางตอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 800-1,000 เมตร ภายในศูนย์เป็นที่ตั้งของ “เรือนประทับแรมปางตอง” หรือ “พระตำหนักปางตอง” ที่เคยเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถในยามเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นอันน่าสนใจภายในศูนย์แห่งนี้ โดยบริเวณรอบพระตำหนักได้มีการตกแต่งภูมิทัศน์อย่างสวยงามร่มรื่นไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่
นอกจากนี้ที่ศูนย์ปางตองยังมีส่วนของการปลูกพืชผักเมืองหนาว, ส่วนเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ท้องถิ่นที่จัดสร้างขึ้นตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้เป็นศูนย์เพาะชำและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ประจำถิ่นอย่าง “เอื้องแซะ”และกล้วยไม้ในพระนามของพระองค์ท่าน,ส่วนเพาะเลี้ยงปลาสเตอเจียน(ไข่ปลาคาเวียร์) ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในเมืองไทย
มีศูนย์ไผ่ศึกษาที่รวบรวมพันธุ์ไผ่ชนิดต่างๆ รวมถึงมี “สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์แม่ฮ่องสอน” ที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับการทดลองและพัฒนา“แกะขน”เป็นหลัก เพื่อให้ได้ขนแกะคุณภาพนำไปใช้กับกลุ่มทอผ้าขนแกะในแม่ฮ่องสอน ที่นี่เราจะได้เห็นฝูงแกะจำนวนมาก ตัวสีขาวนวลขนปุยฟูฟ่องเดินอวดโฉมอย่างน่ารัก นับเป็นไฮไลท์ประจำศูนย์ที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนได้ไม่น้อยเลย
ศูนย์ปางตองเป็นโครงการพระราชดำริที่ประสบความสำเร็จสัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดี จึงทำให้มีการขยายพื้นที่ของโครงการ แบ่งเป็น “โครงการพระราชดำริปางตอง 1 (ห้วยมะเขือส้ม)” มาสู่ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” แล้วต่อมายัง “โครงการพระราชดำริปางตอง 3 (แม่สะงา- หมอกจำแป่)” และพื้นที่ของพระตำหนักปางตองรวมถึงบริเวณโดยรอบก็ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็น “โครงการพระราชดำริปางตอง 4 (พระตำหนักปางตอง)” เมื่อปี พ.ศ. 2537
โดยเฉพาะโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีในนาม “ปางอุ๋ง”นั้น ขึ้นชื่อเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของทัศนียภาพอันงดงาม กับวิวทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำอันกว้างใหญ่ แวดล้อมไปด้วยทิวสนเรียงราย ในยามเช้าจะมีสายหมอกไหลเรี่ยผิวน้ำ เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจยิ่งนัก
ในเส้นทางโครงการพระราชดำริปางตองและปางอุ๋ง ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจใกล้เคียงให้เลือกไปเที่ยวชมกัน ได้แก่ “ถ้ำปลา”, “น้ำตกผาเสื่อ”, “ภูโคลน” อันซีนไทยแลนด์กับโคลนร้อนตามธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและการหมุนเวียนของโลหิต ส่วนถ้าเลยปางอุ๋งขึ้นเหนือไปหน่อยก็จะเป็น “หมู่บ้านรักไทย”ชุมชนชาวจีนยูนนานที่บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านดินมีบรรยากาศคล้ายเมืองจีน อีกทั้งยังมีอาหารยูนนานและชาของที่นี่ก็ขึ้นชื่อลือชา ใครที่ไปเยือนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ด้วยรักจากพระราชินี
สำหรับ 7 โครงการตามแนวพะราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือที่“ตะลอนเที่ยว” นำเสนอมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากพระราชกรณียกิจมากมายในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ท่านทรงทำเพื่อพสกนิกรชาวไทยด้วยความรักและมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com