“ตระเวนกิน” กำลังนั่งดื่มด่ำสัมผัสกับบรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยาอันงดงามของบ้านเรา กำลังนั่งสูดอากาศอันสดชื่น รับลมแม่น้ำเย็นๆ ชิลล์ไปกับวิวธรรมชาติยามแสงอาทิตย์ลาลับขอบน้ำ ท้องฟ้าสีครามยามเย็นช่างสวยงาม และยิ่งเมื่อได้มองเห็นวัดอรุณฯ อันงดงามตา บอกได้เพียงคำเดียวเลยว่า เพลินอุราเป็นที่สุด
ความอิ่มเอิบใจที่กล่าวมานี้ เรากำลังนั่งสัมผัสอยู่ที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงท่าเตียน ที่มีชื่อว่า “Eat Sight Story” (อีท ไซท์ สตอรี่) ที่นี่เป็นร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ชวนนั่งมากๆ เพราะด้วยบรรยากาศร้านที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม โดยนำเอาท่าเรือแดงสมัยก่อนมาตกแต่งใหม่ ให้เป็นร้านอาหารที่ยังคงมีกลิ่นอายของท่าเรือสมัยเก่าไว้ และภายในร้านตกแต่งแบบโมเดิร์น มีโต๊ะให้เลือกนั่ง 2 โซน คือโซนห้องแอร์ด้านใน ที่กรุกระจกใสให้ได้เห็นวิวแม่น้ำและวัดอรุณฯ มีโต๊ะให้เลือกนั่งในมุมสบายๆ มีส่วนของพื้นที่จัดโชว์ไวน์ที่คัดสรรไวน์อย่างดี มาให้นักดื่มไวน์ได้เลือกสั่งมาดื่มตามใจชอบ
อีกโซนคือโซนด้านนอกติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีส่วนของเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเครื่องดื่มให้บริการแบบครบครัน และมีมุมโชว์การทำพิซซ่าจากเชฟให้ได้ดูกันด้วย ส่วนของพื้นที่โต๊ะนั่งทางร้านได้จัดสรรโต๊ะนั่งไว้อย่างลงตัว ให้ได้นั่งรับลมแม่น้ำเย็นๆ ชมวิววัดอรุณฯ แบบเพลินตา สบายอุรากับบรรยากาศอันรื่นรมย์ ยามค่ำคืนบรรยากาศช่างโรแมนติก
ส่วนเรื่องอาหารที่ชวนสั่งให้มากินเคล้ากับบรรยากาศดีๆ ก็มีความชวนกินไม่ยิ่งหย่อยกัน ทางร้านนำเสนออาหารแนวฟิวชั่น ที่มีความเป็นไทยสูง คือเอาความเป็นอาหารไทยไปผสมผสานกับวัตถุดิบชาติอื่นๆ เกิดเป็นเมนูอาหารจานพิเศษที่โดดเด่นไม่เหมือนร้านไหน โดยมีเชฟดุสิต หล้าหิบ เป็นพ่อครัวฝีมือเยี่ยมที่มากด้วยประสบการณ์การปรุงอาหาร และได้คิดค้นเมนูอาหารจานพิเศษเฉพาะของทางร้านขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งได้เน้นคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นดี มีคุณภาพ และสดใหม่ เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดที่ชวนลิ้มรสมากมาย
อย่างเมนูจานเด่นที่เราได้สั่งมาลองลิ้มจนติดใจ แล้วก็อยากนำเสนอให้มาชิมกันก็มี พล่าปลาแซลมอนมะม่วงกรอบ (310 บาท++) เมนูนี้หน้าตาชวนชิม เชฟนำปลาแซลมอนจากนอร์เวย์มาทอด แล้วคลุกเคล้ากับเครื่องเทศไทยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชีใบเลื่อย ผักชีไทย พริกขี้หนู สะระแหน่ ปรุงรสตามสูตรใส่น้ำพริกเผาด้วย โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูทอด แต่งหน้าด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้ทอดกรอบ จัดเสิร์ฟมาในกระหล่ำปลีสีม่วง ชิมแล้วถูกปากตรงที่เนื้อปลาแซลมอนนุ่มหวานสด ชุ่มน้ำยำรสจัดจ้านครบเครื่องสมุนไพรไทย
จานต่อมาแนะนำ ปูนิ่มทอดกรอบ (250 บาท++) เชฟนำปูนิ่มมาคลุกแป้งทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมกับสลัดผักออร์แกนิคหลายชนิด แล้วราดด้วยน้ำสลัดเรดเวนิก้า ลิ้มรสสลัดผักสดกรอบ ลงตัวเข้ากันดีกับปูนิ่มกรอบนอกนุ่มใน ได้รสชาติน้ำสลัดอมเปรี้ยวนิดๆ ถูกปากดีแท้
ต่อด้วยเมนูจานเด็ดนี้ แกงกะหรี่สะโพกไก่ (250 บาท++) ที่หอมกลิ่นแกงกะหรี่โชยเข้าจมูกมาแต่ไกล เป็นสะโพกไก่หมักกับเครื่องเทศแล้วนำไปย่างให้ได้กลิ่นหอม ตุ๋นพร้อมกับเครื่องเทศอินเดียบวกกับเครื่องเทศไทย ใส่ผงขมิ้น ผงกะหรี่ พริกแกงกะหรี่ กะทิสด และผลไม้หลากชนิดที่ปรุงตามสูตรเฉพาะและปั่นจนได้ที่ นำเครื่องทุกอย่างตุ๋นนานกว่า 1 ชม. จนได้แกงกะหรี่สะโพกไก่ ที่กินแล้วเนื้อไก่นุ่มชุ่มเครื่องแกงกะหรี่หอมๆ รสชาติเข้มข้น กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยถูกปากโดนใจ
แล้วก็ต้องไม่พลาดชิม พิซซ่ากระเพราหมู (250 บาท++) ที่ถ้าใครชอบกินพิซซ่าแบบโฮมเมดแนะนำว่าไม่ควรพลาดเมนูนี้ เป็นพิซซ่าแบบอิตาเลียน แผ่นแป้งบางกรอบที่เชฟทำแป้งเอง และโดดเด่นตรงที่หน้าพิซซ่าเป็นผัดกระเพราคอหมูครบเครื่องแบบไทยๆ โรยหน้าด้วยมอสซาเรลล่าชีสแล้วเข้าเตาอบกรอบ โรยหน้าด้วยกระเพราทอดกรอบอีก เสิร์ฟมาร้อนๆ หอมกลิ่นกระเพราะยั่วน้ำลาย ชิมแล้วโดนใจตรงที่แป้งพิซซ่าบางกรอบ ได้รสชาติผัดกระเพราคอหมูรสชาติจัดจ้านถึงใจ คอหมูเนื้อนุ่มดีจริง
กินเมนูคาวไปแล้ว มาชิมเมนูของหวานกันบ้าง อยากให้ลองลิ้มรส ขนมครก 3 สี 3 รสชาติ (170 บาท++) หน้าตาสีสันชวนกินมาก เป็นขนมครกแบบไทยๆ ที่มี 3 สี สีขาวทำจากมะพร้าวอ่อน ใส่หน้าฟักทอง สีเขียวทำจากน้ำใบเตย ใส่หน้าเผือก และสีดำทำจากข้าวเหนียวดำ ใส่หน้ามอสซาเรลล่าชีส กินขนมครกทั้ง 3 สี ได้ 3 รสชาติที่แตกต่างกัน ตัวขนมครกหอมกรอบนอกนุ่มใน ได้รสชาติที่หวานนุ่มละมุนกำลังดี
แล้วก็ยังมีเครื่องดื่มที่ชวนให้สั่งมาดื่มเพิ่มอรรถรสให้กับการกินอาหาร ที่อยากนำเสนอก็มีเครื่องดื่มม็อกเทลอย่าง Tom Yam (95 บาท++) เป็นเครื่องดื่มที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษ ดึงเอาความเป็นไทยมานำเสนอ โดยเอาเครื่องต้มยำของไทยอย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า ทุกอย่างมาแบบสดๆ นำมาปั่น ใส่น้ำมะนาว น้ำเชื่อม และโซดา ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นชุ่มคอเป็นอย่างมาก หอมกลิ่นเครื่องต้มยำขึ้นจมูก และได้รสชาติเหมือนกินต้มยำจริงๆ และอีกหนึ่งเครื่องดื่มคือ Seabreeze (95 บาท++) สีฟ้าสดใสชวนดื่ม มีส่วนผสมของน้ำลิ้นจี่ น้ำสไปรท์ ไซรัปกลิ่นมะพร้าว และโซดา ตกแต่งด้วยลิ้นจี่และเชอร์รี่ ดื่มแล้วช่างหอมหวานสดชื่นใจ
และนอกจากเมนูคาว-หวาน กับเครื่องดื่มที่ได้นำเสนอมาแล้วนี้ ในเมนูอาหารของทางร้านก็ยังมีอาหารอื่นๆ ที่น่าลิ้มลองอีกมากมาย อาทิ ข้าวเหนียวคอหมูย่างน้ำผึ้ง (120 บาท++) เนื้อสันในห่อต้นกระเทียมย่าง (230 บาท++) เนื้อนกกระจอกเทศผัดพริกไทยอ่อน (260 บาท++) ปลากะพงย่างซอสเครื่องเทศสดกับผักย่าง (320 บาท++) และอีกสารพัดอาหารจานเด็ดอีกมากหลาย ที่ชวนให้สั่งมากินแบบอิ่มเอมใจ คลอเคล้าไปกับบรรยากาศอันรื่นรมย์ กับการได้นั่งกินข้าวชมวิววัดอรุณฯ สวยๆ รับลมแม่น้ำเจ้าพระยาอันชื่นใจ ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้มิตรรักนักกินทุกคน สามารถมาสัมผัสกันได้ที่ร้าน “Eat Sight Story”
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“Eat Sight Story” (อีท ไซท์ สตอรี่) ตั้งอยู่ที่ 45/1 ท่าเตียน ถ.มหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. การเดินทางจากสนามหลวงให้มุ่งหน้ามาที่ถ.มหาราช มาจนถึงท่าเตียนและจะเห็นซอยท่าเตียน ให้ตรงเข้ามาจนสุดซอยก็จะเห็นร้าน Eat Sight Story ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดจันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 11.00 - 22.00 น. ศุกร์ - อาทิตย์ เวลา 11.00 - 23.00 น. ถ้ามากินอาหารแนะนำว่าควรโทร. มาจองโต๊ะก่อน โทร. 0-2622-2163 หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/ESSDeck และถ้ามากินอาหารที่ร้านนี้แล้วใช้บัตรเครดิต KTC รับส่วนลด 10% เฉพาะอาหารA-La-Carte ได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค. นี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com