“ลำปาง” หนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเมื่อครั้งอดีตมีชื่อเดิมว่า “เขลางค์นคร” เป็นเมืองหลวงคู่แฝดกับหริภุญไชยหรือจังหวัดลำพูนในปัจจุบัน ซึ่งเจ้าเมืองทั้งสองเป็นโอรสแฝดของพระนางจามเทวี นอกจากจะเป็นเมืองแห่งอารยะธรรมล้านนาแล้ว ลำปางอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่ยังงดงามและเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อีกทั้งยังเป็น 1ใน12 “เมืองต้องห้าม...พลาด” ซึ่งแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และยังเป็นจังหวัดที่อยู่ในกิจกรรมส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยว “Go North Thailand” ภายใต้แนวคิด “เที่ยวไหน...ไปเที่ยวเหนือ” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภูมิภาคภาคเหนืออีกด้วย
และหากใครที่วางแผนจะมาเที่ยวจังหวัดลำปางแล้ว ก็ไม่ควรพลาดไปเยือน 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปสัมผัสของจังหวัดแห่งนี้
เริ่มต้นด้วยสถานที่ท่องเที่ยวภายในเขตอำเภอเมืองคือ “สะพานรัษฎาภิเศก” หรือ “สะพานขาว” และ “กาดกองต้า” สะพานรัษฎาภิเศกตั้งอยู่ที่ถนนรัษฎา เดิมเป็นสะพานโครงสร้างไม้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้านรนันทไชยชวลิต และชาวจังหวัดลำปางได้จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ในโอกาสที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2437และในสมัยสงครามโลก ได้ทาสีพรางตาและด้วยการอ้างว่าสะพานแห่งนี้ไม่มีประโยชน์ทางยุทธศาสตร์จึงรอดจากโจมตีทิ้งระเบิดมาได้ หลังจากนั้นได้มีการก่อสร้างใหม่เมื่อเดือนมีนาคม 2460 เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก บริเวณสะพานมีเครื่องหมายไก่ขาวและครุฑหลวงประดับไว้ตรงหัวสะพานซึ่งในปัจจุบันสะพานแห่งนี้เป็นอีกสัญลักษณ์ของเมืองลำปาง
ใกล้ๆ สะพานสะพานรัษฎาภิเศก เป็นที่ตั้งของ “กาดกองต้า” ถนนคนเดินที่เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งมีร้านค้ามากมายและสินค้าหลากหลากชนิดให้ได้เลือกซื้อ พร้อมชมรรยากาศสองข้างที่เป็นอาคารบ้านเรือนเก่า เมื่อครั้งอดีตละแวกนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายทางน้ำที่เคยรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเป็นเมืองท่าติดกับแม่น้ำวังซึ่งเป็นหัวเมืองหลักของล้านนา ผู้คนที่ทำมาค้าขายอยู่ในตลาดนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ตลาดแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกติดปากชาวเหนือว่า “ตลาดจีน” หรือ “ตลาดเก่า
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 2 ของจำหวัดลำปางที่น่าไปสัมผัสได้แก่ “วัดพระธาตุลำปางหลวง” ตั้งอยู่ที่ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา วัดแห่งนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปางมาแต่โบราณ ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมความงดงามและสักการะสิ่งสักสิทธิ์ ตามตำนานกล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ภายในบริเวณวัดเป็นที่ตั้งโบราณสถานที่เก่าแก่และงดงามเก่าแก่มากมาย อาทิ “พระธาตุลำปางหลวง” ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู , “วิหารน้ำแต้ม” วิหารเปิดโล่งที่เก่าแก่ที่สุดอีกหลังหนึ่งทางภาคเหนือ ที่มีภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุดและหลงเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย , วิหารพระพุทธ,วิหารหลวง,กุฏิพระแก้ว
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งต่อไปคือ “วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม” ตั้งอยู่ที่ถนนสุชาดา ในเขตอำเภอเมือง เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุนับพันปี เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ปูชนียสถานที่สำคัญภายในวัดได้แก่ “องค์พระบรมธาตุดอนเต้า” พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า , “พระวิหาร” ที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ที่มีอายุเก่าแก่ และ “วิหารพระเจ้าทองทิพย์” ที่สร้างโดยพระนางจามเทวี อายุกว่า 1,000 ปี
ถัดมาคือสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 4 ได้แก่ “วัดศรีชุม” อีกหนึ่งสถานที่ที่ควรไปเยือนเมื่อได้มาเที่ยวจังหวัดลำปาง โดยตั้งอยู่ที่ถนนศรีชุม-แม่วะ ตำบลศรีชุม อำเภอเมือง วัดศรีชุมเป็นวัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดพม่าที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด 31 วัด สร้างใน พ.ศ. 2433 โดยคหบดีพม่าชื่อ อูโย ซึ่งติดตามชาวอังกฤษเข้ามาทำงานป่าไม้ในประเทศไทย จุดเด่นของวัดนี้คือความสวยงามของพระวิหารที่ถูกตกแต่งแบบล้านนาและพม่าที่ได้รับการการบูรณะขึ้นใหม่หลังจากเกิดเพลิงไหม้เมื่อปี พ.ศ. 2535 แต่ก็ยังคงศิลปะการแกะสลักไม้ที่งดงามเหมือนเดิม
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 5 ได้แก่ “พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี” ตั้งอยู่ที่ถนนวัดจองคำ ในเขตอำเภอเมืองพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดีแห่งนี้เป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวและตำนานของ “ชามตราไก่” สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดลำปาง พื้นที่ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวการก่อตั้งและดำเนินงานของโรงงานธนบดีสกุลที่สามารถชมการผลิตชามตราไก่แบบโบราณ รวมถึงกระบวนการผลิตเซรามิคสมัยใหม่ได้อย่างใกล้ชิด
“บ้านเสานัก” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 6 ที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มาเที่ยวจังหวัดลำปาง ตั้งอยู่ที่ถนนราษฎร์วัฒนา ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง เป็นบ้านไม้ที่มีเสาไม้สักมากถึง 116 ต้น จึงเรียกว่าบ้านเสานัก (ตามภาษาพื้นเมือง “นัก” มีความหมายว่า “มาก”) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2438 โดย หม่องจันโอง ต้นตระกูลจันทร ชวิโรจน์ ลักษณะศิลปะพม่าผสมล้านนา ประกอบด้วยเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนหมู่ มีเสาไม้สักรองรับน้ำหนักบ้านถึง 116 ต้น หน้าบ้านมีต้นสารภีอายุ 133 ปี แต่เดิมบ้านเสานักเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและใช้เป็นสถานที่จัดขันโตกและงานพิธีมงคล
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 7 ได้แก่ “ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย” ตั้งอยู่ที่อำเภอห้างฉัตร ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยแห่งนี้อยู่ในความดูแลของอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ซึ่งเมื่อครั้งอดีตเคยเป็นศูนย์ฝึกลูกช้างเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ขณะที่แม่ช้างไปทำงานในป่า และเนื่องจากมีนโยบายปิดป่าซึ่งทำให้ช้างต้องว่างงาน ศูนย์ฝึกลูกช้างจึงถูกปรับมาเป็นสถานที่ดูแลช้างแก่และเจ็บป่วย และที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลช้างด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ออป. ได้ก่อตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยขึ้นพร้อมกับมีการจัดกิจกรรมการแสดงความสามารถของช้างให้นักท่องเที่ยวได้ชม
และสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 8 ได้แก่ “อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน” เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ครอบครุมอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่มและอำเภอเมือง พื้นที่ภายในอุทยานนั้นมีสภาพป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของจังหวัดลำปาง ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อคือ “บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน” ที่ได้ชื่อว่าเป็นออนเซนเมืองไทยชั้นเลิศ ที่นี่มีแหล่งน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย โดยเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมนำไข่มาลวกเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องทำเมื่อมาเที่ยวที่อุทยานแห่งนี้ จากบ่อน้ำร้อนแล้วก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น น้ำตกแจ้ซ้อน, ถ้ำผางาม ให้ได้ไปเที่ยวอีกด้วย
และสถานที่สุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวที่ 9 ได้แก่ “วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์” หรือชื่อเดิมที่เรียกว่า “วัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง” สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มาแรงที่สุดในจังหวัดลำปาง ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอยพระบาท อำเภอแจ้ห่ม โดยมีไฮไลต์เด่นคือ “ดอยพระบาท” ที่ต้องเดินลัดเลาะขึ้นไปตามภูเขา เพื่อไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และชมความงดงามขององค์พระธาตุสีทองบนยอดเขาซึ่งมีฉากหลังเป็นทัศนียภาพอันกว้างไกล
(คลิกติดตามเที่ยว “วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์” ได้ที่ลิงค์นี้)
ปิดท้ายด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 10 คือการชมบรรยากาศเมืองลำปางด้วย “รถม้า” โดยจะเป็นการการนั่งรถม้าชมบรรยากาศภายในเมืองลำปาง และสามารถแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางได้อีกด้วย อาทิ วัดเจดีย์ซาวหลัง , บ้านเสานัก, วัดพระแก้วดอนเต้า , วัดปงสนุก กิจกรรมนั่งรถม้าถือได้ว่าเป็นไฮไลต์เด่นของจังหวัดลำปาง จนได้รับฉายาว่า “เมืองรถม้า” จนมีคำพูดที่พูดไว้ว่า “หากมาเที่ยวลำปางแล้วไม่ได้นั่งรถม้า ก็เท่ากับว่ามาไม่ถึงจังหวัดลำปาง”
นับเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่อย่างมากมาย หากใครได้มีโอกาสมาเยือนลำปางแล้ว ก็อย่าลืมไปเที่ยวที่ 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปสัมผัสของจังหวัดลำปาง เพื่อเก็บบันทึกให้กลายเป็นความทรงจำอันสวยงามว่า “ครั้งหนึ่ง ... ฉันได้มาเที่ยวจังหวัดลำปาง”
*******************************************************************************************************************************************************************************************************
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ (รับผิดชอบ จ.เชียงใหม่,ลำพูน,ลำปาง) โทร.0-5324-8604-5
ถนนคนเดินกาดกองต้า เปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-22.00 น.
พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 09.00-17.00 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เยาวชนอายุ 13-15 ปี / นักเรียน-นักศึกษาในเครื่องแบบ 25 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี / นักบวช / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ (โปรดแสดงบัตร) เข้าชมฟรี ชาวต่างชาติ 100 บาท ซื้อตั๋วพร้อมกัน 5-9 ใบลด 5% 10 ใบขึ้นไปลด 10%
ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เปิดบริการทุกวัน เวลา 8:00-16:30 น. อัตราค่าบริการชมการแสดงช้าง นักท่องเที่ยวชาวไทย ผู้ใหญ่ อัตรา 100 บาท , เด็ก (สูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร) อัตรา 50 บาท การแสดงช้างอาบน้ำ มีสองรอบทุกๆ วัน รอบเช้า 09.45 น. และรอบบ่าย 13.15 น. และการแสดงช้าง มี 3 รอบ ได้แก่ เวลา 10.00 น. , 11.00 น. และ 13.30 น.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com