ลมหนาวพัดพลิ้ว หัวใจสั่นไหว
คนเดียวดายหนาวกายมิสู้หนาวใจ
ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ นักท่องเที่ยวจำนวนมากในบ้านเราต่างมีเป้าหมายมุ่งขึ้นเหนือไปหาหนาว สัมผัสกับบรรยากาศหนาวเย็นบนภูสูงดอยสวย เช่นเดียวกับ “ตะลอนเที่ยว” ที่เมื่อลมหนาวมาเยือนคราใด เมืองเหนือถือเป็นจุดหมายในลำดับต้นๆ ที่เราไม่ขอพลาดด้วยประการทั้งปวง
สำหรับปีนี้มีความพิเศษตรงที่ทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” ได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ “เมืองต้องห้าม...พลาด” โดยได้คัดสรร 12 เมือง(จังหวัด)ทางเลือกที่มีศักยภาพทางท่องเที่ยวอันโดดเด่นมานำเสนอให้บรรดาขาเที่ยวได้ออกไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของเมืองเหล่านั้น โดยในพื้นที่ภาคเหนือมีอยู่ 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เพชรบูรณ์ ลำปาง และน่าน ซึ่งเสน่ห์ความงามของ 3 เมืองต้องห้ามพลาดแห่งภาคเหนือนั้นถือเป็นแม่เหล็กชั้นดีที่ดึงดูดให้เราขึ้นไปแอ่วเหนือสัมผัสความหนาวกันอีกครั้ง
เพชรบูรณ์ : ภูดอกไม้สายหมอก
เพชรบูรณ์ เป็นจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทิวเขาสลับซับซ้อน จนถูกยกให้เป็นเมือง “ภูดอกไม้สายหมอก” เพราะยามเมื่อหน้าหนาวมาเยือนคราใด ที่ “เขาค้อ” อ.เขาค้อ จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางขึ้นไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของทะเลภูเขาและทะเลหมอกยามเช้าอันสวยงามชวนฝัน ซึ่งหากวันไหนดินฟ้าอากาศเป็นใจ ทะเลหมอกที่นี่จะดูงดงามปานประหนึ่งสวรรค์น้อยๆ ที่จะมาช่วยชาร์จแบตชีวิตให้มีพลังเต็มเปี่ยม จนมีคนพูดกันว่า “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี”
เขาค้อมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แหล่งท่องเที่ยวแมนเมด อย่าง “พระตำหนักเขาค้อ”, “พิพิธภัณฑ์อาวุธ”, “อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ” และ “พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” กับเจดีย์สีขาวเด่นที่ผสมผสานงานสถาปัตยกรรมในหลายยุค ทั้งสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์
ส่วนที่ห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวเขาค้อก็คือพุทธสถานที่มาแรงสุดๆ อย่าง “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” หรือ “วัดพระธาตุผาแก้ว”(ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ) หนึ่งในประจักษ์แห่งความศรัทธาอันงดงามในลำดับต้นๆ ของเมืองไทยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของขุนเขา สิ่งก่อสร้างที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของวัดนั่นก็คือ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" กับรูปทรงดอกบัวซ้อน 7 ชั้น ประดับประดาไปด้วย เครื่องถ้วยเบญจรงค์ แก้ว แหวน เงินทอง มากมาย ยามเมื่อกระทบแสงแดดก็จะส่องประกายระยิบระยับ ดูงดงามเปี่ยมศรัทธายิ่งนัก
ในพื้นที่ อ.เขาค้อ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ “ตะลอนเที่ยว” มักจะไม่พลาดเวลาไปเยือนดินแดนแถบนี้นั่นก็คือ “ทุ่งแสลงหลวง” ที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง(หน่วยหนองแม่นา) กับผืนป่าทุ่งหญ้าสะวันนาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยอันสวยงามกว้างไกล ขณะที่ภายในทุ่งหญ้าก็เต็มไปด้วยสีสันของสรรพชีวิต ไม่ว่าจะเป็น มวลหมู่ดอกไม้เล็กๆ น้อยๆ ผีเสื้อ แมลง นกน้อยที่ออกโผบินพร้อมขับขานส่งเสียงสดใสอันไพเราะเสนาะหู
นอกจากนี้ที่ทุ่งแสลงหลวงยังมี “ทุ่งนางพญาเมืองเลน” กับแหล่งป่าสนธรรมชาติขนาดใหญ่ในบรรยากาศแสนโรแมนติก พร้อมกันนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ที่หลายคนยังไม่ค่อยรู้กับทุ่งดอกไม้แสนงามแห่ง “ทุ่งแสม” ที่มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ แบ่งเป็น 3 ทุ่งดอกไม้หลักๆ คือ ลานกระดุมเงินสีขาวนวลเย็นตา ลานเอื้องนวลจันทร์สีเหลืองละลาน และลานดุสิตาสีม่วงสดใส ซึ่งมวลหมู่ดอกไม้เหล่านี้จะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ของทุกปี
สำหรับหนาวนี้ที่ อ.เขาค้อมีความพิเศษจัดเตรียมไว้ให้กับ “เทศกาลดอกไม้ Flora in The Mist” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 57 - 28 ก.พ. 58 ณ The Front by BN Farm ภายในงานจะเนรมิตเขาค้อให้เป็นทุ่งดอกไม้สไตล์วินเทจอันน่าตื่นตาตื่นใจ ร่วมด้วยกิจกรรมชวนเพลิดเพลินอีกเป็นจำนวนมาก นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมห้ามพลาดที่คนรักดอกไม้ต้องปักหมุดไว้
จาก อ.เขาค้อเราไต่ขึ้นไปยัง “ภูทับเบิก”(บ้านทับเบิก ต.วังบาล อ.หล่มเก่า) เพื่อบันทึกความทรงจำไว้บนจุดสูงของเมืองเพชรบูรณ์ ณ ระดับความสูง 1,768 เมตรจากระดับน้ำทะเลกับภูมิประเทศของขุนเขายะเยือกอันซับซ้อน
ภูทับเบิกถือเป็นหนึ่งในภูแห่งสายหมอกเลื่องชื่อของภาคเหนือ ที่นี่นอกจากจะมีทะเลหมอกแสนงามให้ชมกันแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ของทิวทัศน์แห่งขุนเขาที่อุดมไปด้วยไร่กะหล่ำปลีอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
เสน่ห์ของภูทับเบิกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะวันนี้ที่ภูทับเบิกได้มีการเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่คือ “สวนดอกเมืองหนาวภูทับเบิก” (ต.วังตาล) ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสไฉไลจากดอกไม้งามอันหลากหลาย ร่วมด้วยพืชพรรณไม้ประดับสวยๆ งามๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ขณะที่มนต์ดอกไม้ในจังหวัดเพชรบูรณ์นั้นก็ยังมีให้ชมกันอีกที่ อ.บึงสามพัน ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในแหล่งปลูกทานตะวันแหล่งใหญ่ของเมืองไทย แถมยังดูสวยงามแปลกตากว่าที่อื่นด้วยดอกทานตะวันสายพันธุ์ใหญ่ที่จะพร้อมในกันบานเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่ง ให้นักท่องเที่ยวได้เซลฟีมือเป็นระวิงกันเลยทีเดียว
จากโหมดดอกไม้ “ตะลอนเที่ยว” ขอเปลี่ยนอารมณ์ชวนมาสัมผัสกับโบราณสถานสำคัญของเพชรบูรณ์นั่นก็คือ “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ” ที่เป็นอดีตเมืองศรีเทพอายุเก่าแก่นับพันปี ภายในอุทยานฯ มี“ปรางค์ศรีเทพ”,“ปรางค์สองพี่น้อง” และ “โบราณสถานเขาคลังใน” ที่โดดเด่นด้วยฐานปูนปั้นรูปคนแคระและสัตว์ต่างๆ ที่พบเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย
นอกจากนี้ที่เพชรบูรณ์ยังมีของกินของฝากเลื่องชื่อ ได้แก่ “มะขามหวาน”, “ขนมจีนหล่มเก่า”และ “ไก่ย่างวิเชียรบุรี” ที่ถือเป็นเมนูต้องห้ามพลาด เพราะถ้าพลาดจะถูกปรามาสว่ายังมาไม่ถึงเพชรบูรณ์ได้
ลำปาง : เมืองที่ไม่หมุนตามกาลเวลา
หลังได้รับเลือกให้เป็นเมืองต้องห้าม...พลาด ลำปางก็ไม่พลาดที่จะออกแคมเปญชวนเที่ยวตัวใหม่ออกมากับ “ 9 อย่างห้ามพลาด ” เมื่อมาเที่ยวลำปาง อันประกอบด้วย
1.กาดกองต้า ถนนคนเดินอวลไปด้วยบรรยากาศของอาคารบ้านเรือนเก่าอันสุดคลาสสิกขนานไปกับแม่น้ำวัง(ในซอยตลาดจีนริมน้ำ เปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์)ผสมผสานกับสีสันการซื้อขายในวิถีร่วมสมัยที่มีความกิ๊บเก๋เท่เฟี้ยวอยู่ในตัว
2.วัดปงสนุก(ต.เวียงเหนือ อ.เมือง) อีกหนึ่งวัดสำคัญเก่าแก่ที่ได้รับรางวัลด้านการอนุรักษ์จากยูเนสโกในปี พ.ศ. 2551 วัดปงสนุก(เหนือ)แม้จะเป็นวัดเล็กๆ แต่ทว่าทรงคุณค่ายิ่งนัก งานพุทธศิลป์ในวัดนี้มีความงดงามอยู่แทบทุกจุด ชนิดที่เราสามารถเดินเจาะรายละเอียดชมกันได้เป็นวันเลยทีเดียว
3.อาหารพื้นเมืองเด่น กับของกินพื้นเมืองอร่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ไส้อั่ว แกงแค น้ำพรอก น้ำปู๋ ปลาจ่อม ข้าวซอย ข้าวแต๋น นอกจากนี้ก็ยังมี ก๋วยเตี๋ยวปู่โย่ง(เนื้อ) ก๋วยเตี๋ยวหมูป้าเนียน และร้านป้อก๋วยจั๊บ ตรงหน้าสถานีรถไฟ กับกวยจั๊บรสเด็ด ที่ขายดิบขายดีในทุกๆ เช้า
4.บ้านโบราณ นำโดย บ้านเสานักอายุกว่าร้อยปีที่มีเสาไม้สักมากถึง 116 ต้น และบ้านป่องนักที่มีหน้าต่างเป็นจำนวนมาก(นักแปลว่ามาก) ร่วมด้วยบ้านไม้และตึกเก่าบริเวณถนนกาดกองต้าที่ยังคงความสมบูรณ์งดงามอีกหลายหลัง โดยเฉพาะกับอาคาร “หม่องโง่ยซิ่น” ที่งดงามไปด้วยสไตล์เรือนขนมปังขิงอันสุดคลาสสิก ซึ่งเมื่อได้ชมแล้วก็จะได้บรรยากาศของเมืองที่ไม่หมุนไปตามกาลเวลาได้เป็นอย่างดี
5.ตำนานก๋าไก่ กับการตกผลึกทางภูมิปัญญาเกิดเป็นชามตราไก่ลำปางอันเป็นเอกลักษณ์ส่งขายไปทั่วฟ้าเมืองไทย ซึ่งนอกจากจะหาซื้อได้ทั่วไปแล้ว ที่พิพิธภัณฑ์ธนบดี ยังมีเรื่องราวของเซรามิก ชามตราไก่ ให้ศึกษาเที่ยวชม นอกจากนี้ทางจังหวัดลำปางยังมีกำหนดจัดงานเซรามิกแฟร์ขึ้นในทุกๆ ปลายปี โดยปีนี้มีกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย - 10 ธ.ค. 57 ณ ตลาดเทศบาล 4 ในอำเภอเมือง
6.เส้นทางจักรยาน ขานรับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเปิดให้ผู้สนใจได้ปั่นเที่ยวรอบเมืองเก่า แวะชมบ้านเก่า อาคารเก่า และวัดที่มีความสวยงาม พร้อมแวะรับประทานอาหาร จิบกาแฟระหว่างเส้นทางแบบชิลๆ กันได้
7.นั่งรถม้าชมเมือง อีกหนึ่งความคลาสสิกของเมืองลำปางที่จะเป็นการมุมมองใหม่ๆ แถมยังได้ภาพเซลฟีไปโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊กอัปขึ้นยูทิวบ์กันเป็นที่เพลิดเพลิน โดยจุดขึ้นรถม้าชมเมืองนั้นก็มีที่หน้าศาลากลางหลังเก่า หน้าโรงแรมทิพย์ช้าง โรงแรมเวียงลคอร โรงแรมลำปางเวียงทอง หรือที่หน้าวัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นต้น
8.เรียนรู้วิถีชุมชน นำโดยชุมชน “บ้านป่าเหมี้ยง”(ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน) กับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและสุขภาพ ร่วมสัมผัสวิถีการทำเมี่ยง(ชา) ไปทำสปาธรรมชาติที่บ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อนที่อยู่ไม่ไกลกัน นอกจากนี้หากไปในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ก็จะได้สัมผัสกับความงดงามของดอกเสี้ยวที่จะบานย้อมขุนเขาเป็นสีขาวโพลนชวนประทับใจยิ่งนัก
9.วิถีช้าง วิถีธรรมชาติ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย”(ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร) ที่จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของช้างไทยที่จะมาโชว์ความสามารถอันหลากหลายให้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น การเดินบนซุงท่อนเดียว เล่นดนตรี วาดรูป เป็นต้น เวลามาที่นี่ทีไร “ตะลอนเที่ยว” กล้าพูดเลยว่า ช้างไทยแสนรู้และน่ารักที่สุดในโลก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งห้ามพลาดเมื่อขึ้นไปแอ่วลำปาง
นอกจาก 9 อย่างห้ามพลาดแล้ว ในลำปาง โดยเฉพาะที่ อ.เกาะคา ยังมีสิ่งน่าสนใจไม่ควรพลาดได้แก่ “วัดพระธาตุลำปางหลวง” วัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางอันสวยงามคลาสสิก อีกทั้งยังมีเงาพระธาตุหรือพระธาตุหัวกลับอันลือลั่น “วัดพระธาตุจอมปิง” หนึ่งในวัดดังที่พบเงาพระธาตุสีสันเหมือนจริง
ส่วนหากใครถ้าผ่านไปที่ อ.แจ้ห่ม ก็ไม่ควรพลาดการขึ้นไปเที่ยวยัง “วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์” ที่เป็นวัดบนยอดเขาที่กำลังมาแรง เพราะมีการสร้างพระธาตุ เจดีย์ไว้บนยอดเขาริมเหวจำนวนมาก อีกทั้งบนนั้นยังเป็นจุดชมวิวชมทะเลหมอกชั้นดีที่อวลไปด้วยบรรยากาศของขุนเขาเจดีย์ที่มีทะเลหมอกลอยไต่ระเรี่ยในเบื้องล่าง ดูปานประหนึ่งวิมานแมนกระไรปานนั้น
ขณะที่ในตัวเมืองลำปางนั้นก็มีวัดสำคัญๆ ไม่ควรพลาด ได้แก่ “วัดพระแก้วดอนเต้า(สุชาดาราม)”, “วัดเจดีย์ซาวหลัง” และ “วัดศรีชุม” นอกจากนี้ก็ยังมีงานสถาปัตยกรรมเหนือกาลเวลาอย่างเช่น “สถานีรถไฟ” ที่เป็นอาคารอนุรักษ์อันโดดเด่นสวยงามสุดคลาสสิก มีหัวรถจักรโบราณตั้งเด่นอยู่ที่เกาะกลางตรงทางเข้า, “หอนาฬิกาลำปาง" กับรูปทรงคลาสสิกสง่าสมส่วน และ “สะพานรัษฎา” อีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งลำปางกับสะพานขาวเด่นราวสะพานโค้งงามที่ยังทอดยาวยืนหยัดตอกย้ำในบรรยากาศของเมืองที่ไม่หมุนไปตามกาลเวลา
น่าน : กระซิบรักเสมอดาว
ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา เมืองสงบงามอย่าง“น่าน” ได้กลายเป็นหนึ่งในเมืองต้องห้ามพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
น่านได้ชื่อว่าเป็นดินแดนตำนานแห่งขุนเขา เมืองเก่ามีชีวิต ซึ่งแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็เป็นประเภทเล็กดีรสโต เพราะน่านนั้นเต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจให้ชวนค้นหา โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่าบริเวณ“ข่วงเมือง” (ต.ในเมือง(ในเวียง) อ.เมือง) ที่เป็นที่ตั้งของสามสิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่าน ได้แก่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน”, “วัดพระธาตุช้างค้ำ”, และ “วัดภูมินทร์”
“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน” ภายนอกอาคารดูโรแมนติกงดงามไปด้วยซุ้มต้นลั่นทมหรือต้นลีลาวดีที่ปลูกเรียงเป็นทิวแถว โดยใกล้ๆ กันนั้นมี “วัดน้อย” วัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในเมืองไทยตั้งเด่นอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
ส่วนด้านในพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นที่เก็บโบราณวัตถุที่แสดงถึงความเป็นน่านไว้มากมาย และที่พลาดไม่ได้ก็คือ “งาช้างดำ” ปูชนียวัตถุคู่เมืองน่านอายุหลายร้อยปีหนึ่งเดียวในเมืองไทยที่ใครไปน่านแล้วไม่ควรพลาดการไปชมงาช้างดำสักครั้งเป็นบุญตา
เมื่อออกจากพิพิธภัณฑ์ฯน่านมาฝั่งตรงข้ามก็จะเป็น “วัดพระธาตุช้างค้ำ” เป็นวัดเก่าแก่ที่มีเจดีย์โบราณประดับรูปปั้นช้างรอบ(องค์เจดีย)ที่สมบูรณ์มากแห่งหนึ่งในเมืองไทย อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปสำคัญได้แก่ “พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี” กับพระประธานปูนปั้นศิลปะเชียงแสนอันงดงาม
ส่วนฝั่งตรงข้ามวัดช้างค้ำเยื้องไปทางข่วงเมืองเป็นที่ตั้งของ “วัดภูมินทร์” วัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่านที่งดงามไปด้วยงานพุทธศิลป์หนึ่งที่เป็นในเดียวในเมืองไทยอยู่หลากหลายอย่างด้วยกัน เริ่มจากนอกวัดอย่าง“บันไดนาคสะดุ้ง” ที่ช่างโบราณสร้างสรรค์ตัวนาคออกมาได้เหมือนมีชีวิต
ส่วนโบสถ์จตุรมุขหลังงามนั้น ภายในประดิษฐานพระประธานจตุรทิศปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัยอันแสนงดงามขรึมขลังเปี่ยมศรัทธา และ “ฮูปแต้ม” หรืองานจิตรกรรมฝาผนังในระดับมาสเตอร์พีซ ที่มีภาพสวยๆ งามๆ ให้เดินชมกันได้ไม่เบื่อสำหรับคนชอบงานศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาพไฮไลต์ “ปู่ม่านย่าม่าน” ที่เป็นภาพขนาดใหญ่ของชายหนุ่มและหญิงสาวใช้มือป้องปากเหมือนกำลังกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่าง ภายหลังภาพนี้ถูกนำมาตีความใหม่ใช้ชื่อว่า “ภาพกระซิบรักบันลือโลก” อันเลื่องลือระบือไกล
ด้วยมนต์ขลังพลังของภาพกระซิบรักบันลือโลกในต้นปีหน้านั้น ทางจังหวัดน่านมีกำหนดการจัดงาน “กระซิบรัก...เสมอดาว” ขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 ม.ค. 58 ณ บริเวณข่วงเมืองน่าน ภายในงานมีการเชิญคู่รักมาทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ นั่งรถรางชมเมืองน่าน ผูกรักมัดใจกับต้นไม้มงคล เพลิดเพลินกับการแสดงศิลปวัฒนธรรม และอิ่มอร่อยกับขันโตก ฯลฯ คู่รักคู่ไหนสนใจก็สามารถไปร่วมงานกันได้
ในตัวเมืองน่านยังมีวัดสวยๆ งามๆ ที่น่าสนใจอีกได้ แก่ “วัดมิ่งเมือง”, “วัดศรีพันต้น”, “วัดหัวข่วง” และ “วัดสวนตาล” เป็นต้น” ซึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดสำหรับการเที่ยวเมืองนี้ก็คือการปั่นจักรยานแอ่วน่านไปแบบ Slow Travel ละเลียดซึมซับกับสิ่งที่สวยงาม
ส่วนถ้าออกนอกเมืองไปหน่อยก็มี “วัดพระธาตุเขาน้อย” จุดชมวิวเมืองน่านอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กับพระปานพรองค์โตสีทองอร่าม ขณะที่หากออกเมืองไปไม่ไกลยัง อ.ภูเพียง ก็มี “วัดพระธาตุแช่แห้ง” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองน่าน ที่หากใครไปแอ่วน่านแล้วไม่ควรพลาดไปสักการะองค์พระธาตุแช่แห้งสีทองอร่ามด้วยประการทั้งปวง
จากเส้นทางกระซิบรักในตัวเมือง หากออกนอกเมืองขึ้นไปทางน่านเหนือแล้วแยกไปยังเส้นทางปัว-บ่อเกลือ ก็จะเป็นที่ตั้งของ “อุทยานแห่งชาติดอยภูคา”(อ.ปัว) ที่ทุกๆ ปีในช่วงเดือน ก.พ. ดอกชมพูภูคาดอกไม้ที่หาชมได้ยากของโลก จะพากันออกดอกชูช่อให้สีชมพูอ่อนนวลตา ส่วนถ้าเดินทางต่อไปยัง อ.บ่อเกลือ ก็จะได้พบกับ “บ่อเกลือ” ซึ่งเป็นบ่อเกลือสินเธาว์โบราณบนภูเขา ที่วันนี้ชาวบ้านที่นี่ยังคงดำรงวิถี การต้มเกลือ ทำเกลือแบบดั้งเดิมไว้ นับเป็นวิถีที่หาชมได้ยากเต็มที
ขณะที่ในบริเวณใกล้กับบ่อเกลือก็มี “ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา” แหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรที่เป็นดังพิพิธภัณฑ์มีชีวิต รวมไปถึงยังมี “อุทยานแห่งชาติขุนน่าน” (ห่างจากบ่อเกลือประมาณ 5 กม.) ที่หลายๆ คนไม่ค่อยรู้ว่านี่คือหนึ่งในจุดชมทะเลหมอกอันสวยงามโรแมนติกของภาคเหนือ
จากเส้นเหนือ “ตะลอนเที่ยว” ชวนลงน่านใต้ไปไกลยังชายขอบจังหวัดแพร่ ในเส้นทางสายนี้จะเต็มวิวทิวทัศน์ของขุนเขาอันแสนงาม โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ “ศูนย์วิจัยต้นน้ำขุนสถาน”(อยู่ใกล้ๆ กับอุทยานแห่งชาติขุนสถาน) ซึ่งทุกๆ ปีในช่วงราวเดือน ม.ค.-ก.พ. “ดอกนางพญาเสือโคร่ง” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ซากุระเมืองไทย” จะพร้อมใจกันผลิดอกเบ่งบานย้อมพื้นที่ให้อวลไปด้วยสีชมพูสะพรั่งสดใส
ส่วนถ้าล่องน่านใต้ไปทาง อ.นาน้อย สู่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.นาน้อย ก็จะได้สัมผัสกับเส้นทางเสมอดาวอันขึ้นชื่อของเมืองน่าน
สำหรับอุทยานฯ ศรีน่าน มีจุดท่องเที่ยวเด่นๆ คือ “เสาดินนาน้อย” และ “คอกเสือ” กับปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาเกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติอันชวนตื่นตา ครั้นเมื่อขึ้นสูงไปอีกก็จะเป็น “ผาชู้” จุดชมวิวงามกับเสาธงบนยอดผาที่มีสายผูกธงชาติยาวที่สุดในประเทศไทย และตำนานรักสามเส้าอันแสนเศร้าอันเป็นที่มาของชื่อผาชู้
จากนั้นก็จะเป็นไฮไลต์คือ“ดอยเสมอดาว” ที่อวลไปด้วยบรรยากาศแห่งการอาบฟ้าห่มดาว ยามเช้ามีทะเลหมอกอันกว้างไกลแสนงามติดอันดับต้นๆ ของจุดชมทะเลหมอกในภาคเหนือ ส่วนยามราตรีในคืนเดือนมืดบนฟากฟ้าที่นี่จะดารดาษไปด้วยมวลหมู่ดาวระยิบระยับ ที่สำคัญคือ ณ ตำแหน่งของยอดดอยกับตำแหน่งของท้องฟ้าทะเลดาวนั้นมันอยู่ในระนาบเดียวกันจนได้ชื่อว่า “ดอยเสมอดาว = ดาวเสมอดอย” ซึ่งหลังจากนี้ “ตะลอนเที่ยว” ตาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลายๆ คนพากันมา“กระซิบรักเสมอดาว” กัน ณ ที่แห่งเป็นจำนวนมาก
น่าน...นะสิ
....................
และนั่นก็คือ 3 เมืองต้องห้าม...พลาดของภาคเหนือ ที่แต่ละเมืองต่างก็มีดี มีสิ่งน่าสนใจอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ให้เลือกเที่ยวชมกันอย่างมากมาย ซึ่งหากใครได้ไปสัมผัสนอกจากจะได้มุมมองประสบการณ์ใหม่แล้วๆ ยังจะทำให้เราหลงรักประเทศไทยมากขึ้น
*****************************************
สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางใน จ.เพชรบูรณ์ เพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานพิษณุโลก (รับผิดชอบพิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, อีเมล tatphlok@tat.or.th และ www.facebook.com/การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก
สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางใน จ.ลำปาง เพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงใหม่ (สำนักงานชั่วคราว) โทร.0-5327-6140-2 อีเมล tatchmai@tat.or.th
เว็บไซต์ http://www.tourismthailand.org/chiangmai
สอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางใน จ.น่าน เพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานแพร่ (พื้นที่รับผิดชอบแพร่ น่าน อุตรดิตถ์) โทร.0-5452-1127
อีเมล tatphrae@tat.or.th
เว็บไซต์ http://www.tourismthailand.org/phrae
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com