โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com) เฟซบุ๊ก Travel-Unlimited-เที่ยวถึงไหนถึงกัน
การสูญเสีย “อ.ถวัลย์ ดัชนี”(ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี 2544) ถือเป็นหนึ่งในการสูญเสียครั้งสำคัญของเมืองไทย เพราะ อ.ถวัลย์ ท่านเป็นปูชนียบุคคลสำคัญของเมืองไทย ซึ่งตลอดการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอันยาวนานยอดศิลปินท่านนี้ได้ฝากผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าไว้ในโลกาอยู่มากมาย
นอกจากนี้ก็ยังมี “บ้านดำ” จ.เชียงราย ที่ อ.ถวัลย์ ได้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดกอันทรงคุณค่าคู่ฟ้าเมืองไทย รวมถึงมีตำนาน เรื่องราว และผลงานต่างๆ ที่ อ.ถวัลย์ ฝากทิ้งไว้ให้จดจำรำลึกถึงกัน และเพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไปของยอดศิลปินท่านนี้ ผมขอพูดถึงงานพุทธศิลป์ 2 สิ่งในดินแดนล้านนาที่ อ.ถวัลย์ ชื่นชมยกย่องในความยอดเยี่ยมของฝีมือคนรุ่นก่อน
ทรงพลัง นาควัดภูมินทร์ จ.น่าน
วัดภูมินทร์ เป็นสถานที่สำคัญของ จ.น่าน ตั้งอยู่ที่ข่วงเมือง บนถนนผากลอง อ.เมือง
วัดภูมินทร์ เป็นวัดสำคัญเก่าแก่อายุกว่า 400 ปีที่มีความงดงามไปด้วยงานพุทธศิลป์อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในไฮไลต์สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำจังหวัดน่าน ซึ่งหากใครที่ไปแอ่วน่านแล้วยังไม่เคยไปเยือนวัดภูมินทร์ก็เหมือนยังไปไม่ถึง
ภายในวัดภูมินทร์มีสิ่งสวยงามน่าสนใจอยู่มากหลาย ไล่ไปจากสถาปัตยกรรมทรงจตุรมุข ที่เป็นอาคารเดียวแต่มีหลายฟังก์ชัน เป็นทั้งโบสถ์ วิหาร และพระเจดีย์ประธานของวัด
จากนั้นเมื่อเข้าไปภายในอาคารจัตุรมุขจะพบกับ “พระประธานจตุรทิศ” ที่หันพระพักตร์(หน้า)ออกไปทั้ง 4 ทิศ และหันพระปฤษฎางค์(หลัง)ชนกัน พระประธานองค์นี้เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก และมีเอกลักษณ์ ลักษณะพิเศษโดดเด่นไม่เหมือนใครในเมืองไทย(บางคนว่ามีที่นี่เพียงหนึ่งเดียว) จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งอันซีนไทยแลนด์อันเลื่องชื่อ
ภายในอาคารจัตุรมุขยังมีอีกสิ่งสวยงามและสำคัญในระดับประเทศที่ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจังหวัดน่านนั่นก็คือ “ภาพจิตรกรรมฝาผนัง” อันสวยงามและสุดคลาสสิก ซึ่งเชื่อกันว่าผู้วาดภาพน่าจะเป็น“หนานบัวผัน” จิตรกรชาวไทลื้อ
จิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ นำเสนอเรื่องราวทางพุทธศาสนา ชาดก และภาพวิถีชีวิตชาวน่านในยุคนั้น ผ่านการวาดภาพอย่างเรียบง่ายแต่ดูมีชีวิตชีวา มีความเป็นธรรมชาติ หลายภาพมีขนาดสัดส่วนเทียบเคียงเท่ากับคนจริง โดยมีภาพสำคัญอันเลื่องลือคือพระประธานจตุรทิศที่เป็นภาพขนาดใหญ่ของชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดแต่งกายแบบพม่าหรือแบบไทยใหญ่ ยืนเคียงคู่กันโดยฝ่ายชายได้ใช้มือป้องปากเหมือนกำลังกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่างข้างๆ ต่อหญิงสาว
ด้วยความสวยงามคลาสสิกและลือชื่อทำให้ภายหลังในยุคนี้ได้มีการเรียกขานภาพปู่ม่าน-ย่าม่านว่า ภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” พร้อมกับมี่การแต่งคำบรรยายประกอบอย่างโรแมนติกเพื่อเป็นสิ่งดึงดูดทางการท่องเที่ยวเพิ่มเติม
นั่นคือสิ่งน่าสนใจของวัดภูมินทร์ที่ใครหลายคนพุ่งเป้าไป แต่ที่วัดภูมินทร์ยังมีอีกหนึ่งของดีเป็นความงามอันสุดคลาสสิกที่ใครๆ หลายคนอาจมองข้าม แต่ อ.ถวัลย์ กลับลึกซึ้งในความงามของสิ่งนั้น นั่นก็คือ “พญานาคแห่งวัดภูมินทร์”
พญานาควัดภูมินทร์เป็นประติมากรรมพญานาคคู่ขนาดใหญ่ 2 ตน ช่างโบราณใช้ฝีมือสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง โดยสร้างให้มันมีทั้งส่วนหัวและส่วนหาง เป็นนาคสะดุ้งลำตัวอวบอ้วนเพศผู้-เพศเมียชูหัวสง่า หน้าตาดูใจดี ดูมีชีวิตชีวา กำลังชูหัวยกคอขึ้นดูละม้ายคล้ายงูใหญ่กำลังเลื้อยจริงๆ โดยมีลักษณะดูเหมือนเลื้อยทะลุออกมาจากอาคารจัตุรมุข บ้างก็ว่านาคคู่นี้กำลังใช้ลำตัวเทินโบสถ์ไว้ เพื่อคอยเป็นผู้ปกปักค้ำจุนพระพุทธศาสนา
ขณะที่ได้ตัวพญานาคทั้งส่วนหน้า-ส่วนหลังจะมีช่องเอาไว้ให้เดินลอด หากใครได้รอดแล้วจะโชคดี บ้างก็ว่าจะได้เนื้อคู่(สำหรับคนไม่มีคู่) บางก็ว่าหากลอดครบทั้ง 4 ช่องแล้วจะเป็นทางรอดนำไปสู่หนทางหลุดพ้น หรือบางคนก็ว่าถ้าใครได้ไปเดินลอดท้องพญานาคแล้วจะได้กลับมาเยือนจังหวัดน่านอีก
สำหรับในทางพระพุทธศาสนา พญานาคทั้ง 2 เปรียบเสมือนผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ในทางศิลปะงานช่างโบราณนั้น อ.ถวัลย์ที่เมื่อได้เห็นนาค 2 ตนนี้ ได้ยกย่องให้เป็น “พญานาคที่ดูมีชีวิตและทรงพลังที่สุดในเมืองไทย”
งานนี้ใครจะดูนาคทรงพลังแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่กับคำพูดของ อ.ถวัลย์น่ะ ดูจะทรงพลังต่อผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาที่ไปวัดภูมินทร์คราใดผมเป็นต้องไม่พลาดการชมนาคสะดุ้งมีชีวิตอันทรงพลังคู่นี้ด้วยประการทั้งปวง
“พระเจ้าล้านตื้อ” พระพุทธรูปสุดงามแห่งดินแดนล้านนา
จากวัดภูมินทร์ จ.น่าน มาที่ “วัดศรีอุโมงค์คำ” จ.พะเยา กันบ้าง
วัดศรีอุโมงค์คำ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดสูง” ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ถ.ท่ากว๊าน ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นมาแต่หนใด ไม่มีใครรู้ เพราะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21
วัดสูงถือเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดพะเยาที่มีของดีในระดับโดดเด่นเป็นเอกอุอยู่มากพอดู ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินทรายกับงานแกะสลักหินทรายต่างๆ อาทิ เทวรูป รูปสัตว์ต่างๆ ที่เป็นตัวช่วยในการสันนิษฐานถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้
นอกจากนี้ก็ยังมีองค์พระธาตุเจดีย์บนเนินที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังของโบสถ์ เป็นเจดีย์เก่าแก่อายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี ลักษณะเจดีย์แม้เป็นทรงล้านนาทั่วไป แต่มีความโดดเด่นตรงที่มีฐานย่อมุมไม้ 12 และมีซุ้มพระประดับอยู่ทั้ง 4 ด้าน
ด้วยความที่ในอดีตเจดีย์องค์นี้มักถูกฟ้าผ่าอยู่บ่อยครั้ง ทำให้คนโบราณหลายคนเชื่อว่าเป็น “เจดีย์อาถรรพ์” ส่วนถ้ามองกันตามข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่บนเนินกลางแจ้ง สมัยก่อนยังไม่มีการติดตั้งสายล่อฟ้า ทำให้เจดีย์ย่อมถูกฟ้าผ่าบ่อยเป็นธรรมดา แต่เมื่อมายุคปัจจุบันมีการติดตั้งสายล่อฟ้าก็ทำให้ปัญหาเรื่องฟ้าเจดีย์หักพังเป็นอันหมดไป
จากเจดีย์มาไหว้พระกันบ้างที่วัดศรีอุโมงค์คำมี “พระเจ้าทันใจ” ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระหลังเล็กเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ เพราะเป็นพระพุทธรูปหินทรายที่ได้ชื่อว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาพระพุทธรูปหินทรายที่ขุดค้นพบในพะเยา
ทีนี้เราเข้าไปรู้จักกับ 2 พระพุทธรูปสำคัญภายในโบสถ์กันบ้าง
องค์แรกเป็น“พระเจ้าแข้งคม” ซึ่งเหตุที่คนเรียกขานช่อกันแบนี้เป็นเพราะท่านมีหน้าแข้ง(พระชงฆะ) เป็นเหลี่ยมเป็นสันคมชัดอย่างชัดเจน นับเป็นอีกหนึ่งในงานพุทธศิลป์พื้นบ้านล้านนาที่ปัจจุบันหาชมได้ยากยิ่ง
ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่สองเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่ อ.ถวัลย์ยกย่องนั่นก็คือ “พระเจ้าล้านตื้อ” องค์พระประธานที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในโบสถ์
พระเจ้าล้านตื้อ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำจากทองสำริด หน้าตักกว้าง 184 เซนติเมตร สูง 270 เซนติเมตร มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเมืองสร้อยพะเยา ในราวปี พ.ศ. 2058 แต่ไม่ทราบว่าดั้งเดิมมาจากที่ไหน เพราะพบถูกทิ้งอยู่ที่สนามเวียงแก้ว(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลหลักเมืองพะเยา) ก่อนถูกอัญเชิญมาเป็นพระประธานภายในโบสถ์วัดศรีอุโมงค์คำ
ชื่อของพระเจ้าล้านตื้อ มาจากคำว่า“ตื้อ” ที่เป็นจำนวนนับของทางล้านนา ตื้อเป็นจำนวนนับที่เยอะมาก จากแสน ล้าน โกฏิ ก็เป็น“ตื้อ” ดังนั้นล้านตื้อจึงหมายถึงความมีน้ำหนักมากของพระพุทธรูปองค์นี้
พระเจ้าล้านตื้อยังมีอีก 2 ชื่อเรียกขาน เริ่มจาก “พระเจ้าแสนแส้” (บางข้อมูลเขียนว่าแสนแซ่) ที่มาจากคำว่า “แส้” ในภาษาล้านนาหมายถึงสลัก ซึ่งตลอดทั้งองค์ของท่านช่างได้ทำเป็นสลัก สามารถถอดประกอบได้ มีทั้งหมด 4 จุดด้วยกัน คือที่คอ(พระศอ) ข้อศอกทั้ง 2 ข้าง และที่เอว นับเป็นอีกหนึ่งความพิเศษของพระพุทธรูปองค์นี้
ส่วนอีกหนึ่งชื่อเรียกขานของพระเจ้าล้านตื้อก็คือ “หลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์” ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อยกย่องให้เกียรติในความงามอย่างยิ่งยวดของพระเจ้าล้านตื้อ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งแห่งล้านนา
หลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์เป็นชื่อที่มาตั้งกันภายหลัง ที่มาของชื่อก็มีความเกี่ยวพันกับ อ.ถวัลย์ ดัชนี โดยหลวงพี่ที่(เคย)พาผมชมสิ่งน่าสนใจภายในวัดวัดศรีอุโมงค์คำ เล่าให้ฟังว่า อ.ถวัลย์ เมื่อได้มาเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ไม่รีรอที่จะบอกว่า “พระเจ้าล้านตื้อมีความงดงามที่สุดในล้านนา” นับตั้งแต่แกเคยพบเจอมา
นี่ก็เป็นการรำลึกไว้อาลัยแด่ อ.ถวัลย์ ดัชนี ผ่าน 2 สิ่ง ใน 2 สถานที่ ที่ยอดศิลปินท่านนี้เคยกล่าวยกย่องในงานพุทธศิลป์อันทรงคุณค่า
นับได้ว่า อ.ถวัลย์ ท่านเป็นอีกหนึ่งปูชนียบุคคลสำคัญของเมืองไทยที่ “ตัวตายแต่ชื่อยัง”
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
การสูญเสีย “อ.ถวัลย์ ดัชนี”(ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี 2544) ถือเป็นหนึ่งในการสูญเสียครั้งสำคัญของเมืองไทย เพราะ อ.ถวัลย์ ท่านเป็นปูชนียบุคคลสำคัญของเมืองไทย ซึ่งตลอดการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอันยาวนานยอดศิลปินท่านนี้ได้ฝากผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าไว้ในโลกาอยู่มากมาย
นอกจากนี้ก็ยังมี “บ้านดำ” จ.เชียงราย ที่ อ.ถวัลย์ ได้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดกอันทรงคุณค่าคู่ฟ้าเมืองไทย รวมถึงมีตำนาน เรื่องราว และผลงานต่างๆ ที่ อ.ถวัลย์ ฝากทิ้งไว้ให้จดจำรำลึกถึงกัน และเพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไปของยอดศิลปินท่านนี้ ผมขอพูดถึงงานพุทธศิลป์ 2 สิ่งในดินแดนล้านนาที่ อ.ถวัลย์ ชื่นชมยกย่องในความยอดเยี่ยมของฝีมือคนรุ่นก่อน
ทรงพลัง นาควัดภูมินทร์ จ.น่าน
วัดภูมินทร์ เป็นสถานที่สำคัญของ จ.น่าน ตั้งอยู่ที่ข่วงเมือง บนถนนผากลอง อ.เมือง
วัดภูมินทร์ เป็นวัดสำคัญเก่าแก่อายุกว่า 400 ปีที่มีความงดงามไปด้วยงานพุทธศิลป์อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในไฮไลต์สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำจังหวัดน่าน ซึ่งหากใครที่ไปแอ่วน่านแล้วยังไม่เคยไปเยือนวัดภูมินทร์ก็เหมือนยังไปไม่ถึง
ภายในวัดภูมินทร์มีสิ่งสวยงามน่าสนใจอยู่มากหลาย ไล่ไปจากสถาปัตยกรรมทรงจตุรมุข ที่เป็นอาคารเดียวแต่มีหลายฟังก์ชัน เป็นทั้งโบสถ์ วิหาร และพระเจดีย์ประธานของวัด
จากนั้นเมื่อเข้าไปภายในอาคารจัตุรมุขจะพบกับ “พระประธานจตุรทิศ” ที่หันพระพักตร์(หน้า)ออกไปทั้ง 4 ทิศ และหันพระปฤษฎางค์(หลัง)ชนกัน พระประธานองค์นี้เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก และมีเอกลักษณ์ ลักษณะพิเศษโดดเด่นไม่เหมือนใครในเมืองไทย(บางคนว่ามีที่นี่เพียงหนึ่งเดียว) จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งอันซีนไทยแลนด์อันเลื่องชื่อ
ภายในอาคารจัตุรมุขยังมีอีกสิ่งสวยงามและสำคัญในระดับประเทศที่ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจังหวัดน่านนั่นก็คือ “ภาพจิตรกรรมฝาผนัง” อันสวยงามและสุดคลาสสิก ซึ่งเชื่อกันว่าผู้วาดภาพน่าจะเป็น“หนานบัวผัน” จิตรกรชาวไทลื้อ
จิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ นำเสนอเรื่องราวทางพุทธศาสนา ชาดก และภาพวิถีชีวิตชาวน่านในยุคนั้น ผ่านการวาดภาพอย่างเรียบง่ายแต่ดูมีชีวิตชีวา มีความเป็นธรรมชาติ หลายภาพมีขนาดสัดส่วนเทียบเคียงเท่ากับคนจริง โดยมีภาพสำคัญอันเลื่องลือคือพระประธานจตุรทิศที่เป็นภาพขนาดใหญ่ของชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดแต่งกายแบบพม่าหรือแบบไทยใหญ่ ยืนเคียงคู่กันโดยฝ่ายชายได้ใช้มือป้องปากเหมือนกำลังกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่างข้างๆ ต่อหญิงสาว
ด้วยความสวยงามคลาสสิกและลือชื่อทำให้ภายหลังในยุคนี้ได้มีการเรียกขานภาพปู่ม่าน-ย่าม่านว่า ภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” พร้อมกับมี่การแต่งคำบรรยายประกอบอย่างโรแมนติกเพื่อเป็นสิ่งดึงดูดทางการท่องเที่ยวเพิ่มเติม
นั่นคือสิ่งน่าสนใจของวัดภูมินทร์ที่ใครหลายคนพุ่งเป้าไป แต่ที่วัดภูมินทร์ยังมีอีกหนึ่งของดีเป็นความงามอันสุดคลาสสิกที่ใครๆ หลายคนอาจมองข้าม แต่ อ.ถวัลย์ กลับลึกซึ้งในความงามของสิ่งนั้น นั่นก็คือ “พญานาคแห่งวัดภูมินทร์”
พญานาควัดภูมินทร์เป็นประติมากรรมพญานาคคู่ขนาดใหญ่ 2 ตน ช่างโบราณใช้ฝีมือสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง โดยสร้างให้มันมีทั้งส่วนหัวและส่วนหาง เป็นนาคสะดุ้งลำตัวอวบอ้วนเพศผู้-เพศเมียชูหัวสง่า หน้าตาดูใจดี ดูมีชีวิตชีวา กำลังชูหัวยกคอขึ้นดูละม้ายคล้ายงูใหญ่กำลังเลื้อยจริงๆ โดยมีลักษณะดูเหมือนเลื้อยทะลุออกมาจากอาคารจัตุรมุข บ้างก็ว่านาคคู่นี้กำลังใช้ลำตัวเทินโบสถ์ไว้ เพื่อคอยเป็นผู้ปกปักค้ำจุนพระพุทธศาสนา
ขณะที่ได้ตัวพญานาคทั้งส่วนหน้า-ส่วนหลังจะมีช่องเอาไว้ให้เดินลอด หากใครได้รอดแล้วจะโชคดี บ้างก็ว่าจะได้เนื้อคู่(สำหรับคนไม่มีคู่) บางก็ว่าหากลอดครบทั้ง 4 ช่องแล้วจะเป็นทางรอดนำไปสู่หนทางหลุดพ้น หรือบางคนก็ว่าถ้าใครได้ไปเดินลอดท้องพญานาคแล้วจะได้กลับมาเยือนจังหวัดน่านอีก
สำหรับในทางพระพุทธศาสนา พญานาคทั้ง 2 เปรียบเสมือนผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ในทางศิลปะงานช่างโบราณนั้น อ.ถวัลย์ที่เมื่อได้เห็นนาค 2 ตนนี้ ได้ยกย่องให้เป็น “พญานาคที่ดูมีชีวิตและทรงพลังที่สุดในเมืองไทย”
งานนี้ใครจะดูนาคทรงพลังแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่กับคำพูดของ อ.ถวัลย์น่ะ ดูจะทรงพลังต่อผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาที่ไปวัดภูมินทร์คราใดผมเป็นต้องไม่พลาดการชมนาคสะดุ้งมีชีวิตอันทรงพลังคู่นี้ด้วยประการทั้งปวง
“พระเจ้าล้านตื้อ” พระพุทธรูปสุดงามแห่งดินแดนล้านนา
จากวัดภูมินทร์ จ.น่าน มาที่ “วัดศรีอุโมงค์คำ” จ.พะเยา กันบ้าง
วัดศรีอุโมงค์คำ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดสูง” ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ถ.ท่ากว๊าน ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นมาแต่หนใด ไม่มีใครรู้ เพราะไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21
วัดสูงถือเป็นหนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดพะเยาที่มีของดีในระดับโดดเด่นเป็นเอกอุอยู่มากพอดู ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปหินทรายกับงานแกะสลักหินทรายต่างๆ อาทิ เทวรูป รูปสัตว์ต่างๆ ที่เป็นตัวช่วยในการสันนิษฐานถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้
นอกจากนี้ก็ยังมีองค์พระธาตุเจดีย์บนเนินที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังของโบสถ์ เป็นเจดีย์เก่าแก่อายุไม่ต่ำกว่า 400 ปี ลักษณะเจดีย์แม้เป็นทรงล้านนาทั่วไป แต่มีความโดดเด่นตรงที่มีฐานย่อมุมไม้ 12 และมีซุ้มพระประดับอยู่ทั้ง 4 ด้าน
ด้วยความที่ในอดีตเจดีย์องค์นี้มักถูกฟ้าผ่าอยู่บ่อยครั้ง ทำให้คนโบราณหลายคนเชื่อว่าเป็น “เจดีย์อาถรรพ์” ส่วนถ้ามองกันตามข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่บนเนินกลางแจ้ง สมัยก่อนยังไม่มีการติดตั้งสายล่อฟ้า ทำให้เจดีย์ย่อมถูกฟ้าผ่าบ่อยเป็นธรรมดา แต่เมื่อมายุคปัจจุบันมีการติดตั้งสายล่อฟ้าก็ทำให้ปัญหาเรื่องฟ้าเจดีย์หักพังเป็นอันหมดไป
จากเจดีย์มาไหว้พระกันบ้างที่วัดศรีอุโมงค์คำมี “พระเจ้าทันใจ” ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระหลังเล็กเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ เพราะเป็นพระพุทธรูปหินทรายที่ได้ชื่อว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาพระพุทธรูปหินทรายที่ขุดค้นพบในพะเยา
ทีนี้เราเข้าไปรู้จักกับ 2 พระพุทธรูปสำคัญภายในโบสถ์กันบ้าง
องค์แรกเป็น“พระเจ้าแข้งคม” ซึ่งเหตุที่คนเรียกขานช่อกันแบนี้เป็นเพราะท่านมีหน้าแข้ง(พระชงฆะ) เป็นเหลี่ยมเป็นสันคมชัดอย่างชัดเจน นับเป็นอีกหนึ่งในงานพุทธศิลป์พื้นบ้านล้านนาที่ปัจจุบันหาชมได้ยากยิ่ง
ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่สองเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่ อ.ถวัลย์ยกย่องนั่นก็คือ “พระเจ้าล้านตื้อ” องค์พระประธานที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในโบสถ์
พระเจ้าล้านตื้อ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำจากทองสำริด หน้าตักกว้าง 184 เซนติเมตร สูง 270 เซนติเมตร มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเมืองสร้อยพะเยา ในราวปี พ.ศ. 2058 แต่ไม่ทราบว่าดั้งเดิมมาจากที่ไหน เพราะพบถูกทิ้งอยู่ที่สนามเวียงแก้ว(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลหลักเมืองพะเยา) ก่อนถูกอัญเชิญมาเป็นพระประธานภายในโบสถ์วัดศรีอุโมงค์คำ
ชื่อของพระเจ้าล้านตื้อ มาจากคำว่า“ตื้อ” ที่เป็นจำนวนนับของทางล้านนา ตื้อเป็นจำนวนนับที่เยอะมาก จากแสน ล้าน โกฏิ ก็เป็น“ตื้อ” ดังนั้นล้านตื้อจึงหมายถึงความมีน้ำหนักมากของพระพุทธรูปองค์นี้
พระเจ้าล้านตื้อยังมีอีก 2 ชื่อเรียกขาน เริ่มจาก “พระเจ้าแสนแส้” (บางข้อมูลเขียนว่าแสนแซ่) ที่มาจากคำว่า “แส้” ในภาษาล้านนาหมายถึงสลัก ซึ่งตลอดทั้งองค์ของท่านช่างได้ทำเป็นสลัก สามารถถอดประกอบได้ มีทั้งหมด 4 จุดด้วยกัน คือที่คอ(พระศอ) ข้อศอกทั้ง 2 ข้าง และที่เอว นับเป็นอีกหนึ่งความพิเศษของพระพุทธรูปองค์นี้
ส่วนอีกหนึ่งชื่อเรียกขานของพระเจ้าล้านตื้อก็คือ “หลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์” ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อยกย่องให้เกียรติในความงามอย่างยิ่งยวดของพระเจ้าล้านตื้อ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งแห่งล้านนา
หลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์เป็นชื่อที่มาตั้งกันภายหลัง ที่มาของชื่อก็มีความเกี่ยวพันกับ อ.ถวัลย์ ดัชนี โดยหลวงพี่ที่(เคย)พาผมชมสิ่งน่าสนใจภายในวัดวัดศรีอุโมงค์คำ เล่าให้ฟังว่า อ.ถวัลย์ เมื่อได้มาเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ไม่รีรอที่จะบอกว่า “พระเจ้าล้านตื้อมีความงดงามที่สุดในล้านนา” นับตั้งแต่แกเคยพบเจอมา
นี่ก็เป็นการรำลึกไว้อาลัยแด่ อ.ถวัลย์ ดัชนี ผ่าน 2 สิ่ง ใน 2 สถานที่ ที่ยอดศิลปินท่านนี้เคยกล่าวยกย่องในงานพุทธศิลป์อันทรงคุณค่า
นับได้ว่า อ.ถวัลย์ ท่านเป็นอีกหนึ่งปูชนียบุคคลสำคัญของเมืองไทยที่ “ตัวตายแต่ชื่อยัง”
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com