หลายคนอาจจะบอกว่าการท่องเที่ยวในหน้าฝนนั้นเปียกแฉะ พอฝนตกทีก็ออกไปไหนไม่ได้ แต่ “ตะลอนเที่ยว” อยากจะบอกว่า หน้าฝนนี่แหละ ที่บรรยากาศรอบตัวจะชุ่มฉ่ำเย็นสบาย โดยเฉพาะการไปเที่ยวตามป่าเขา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูเขียวขจีสบายตา ลมพัดเย็นๆ สบายใจ
อย่างในทริปนี้ที่ได้มาเที่ยวที่ จ.เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก สองจังหวัดที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์สดชื่นมากๆ ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับการท่องเที่ยวของเรา จึงขอเริ่มแวะเที่ยวกันที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” ตั้งอยู่ที่ ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เป็นวัดที่มีความสวยงามและตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบข้างที่เขียวชอุ่มได้เป็นอย่างดี วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 ในนาม พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว ต่อมาในปี 2553 ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัดในชื่อ “วัดพระธาตุผาแก้ว” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งเดิมนั้นชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”
จุดเด่นอันแตกต่างของวัดก็คือ การตกแต่งในจุดต่างๆ ของวัด ไม่ว่าจะเป็น ผนัง เสา หรือแม้กระทั่งพื้น ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องและลูกแก้ว ที่ไม่ว่าจะมองไปยังจุดไหนของวัดก็จะมองเห็นอย่างสะดุดตา เมื่อกระทบกับแสงแดดแล้วช่างระยิบระยับสวยงามจริงๆ สมกับเป็นการตกแต่งที่ไม่เหมือนที่ไหนจริงๆ
หากมองมาจากที่ไกลๆ ก็ยังจะเห็นความสวยงามโดดเด่นของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขา มีสีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ที่ขับให้ตัววัดดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่ถือเป็นหัวใจของวัดแห่งนี้ก็คือ "เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของวัด ด้วยรูปทรงที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ ด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ในระยะไกล บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่วนภายในเจดีย์ก็แบ่งเป็นชั้นต่างๆ โดยจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ให้สักการะกันด้วย
ด้านสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ภายในวัดก็มี ศาลาปฏิบัติธรรม (ศาลาพระหยกเขียว), พระพุทธเลิศรัตนโชติมณี, พระพุทธรัตนสัมฤทธิ์ผล ฯลฯ และขณะนี้ก็มีการก่อสร้าง “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” ที่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ และเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม
นอกจากที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วที่มีความงดงามแล้ว ในพื้นที่เขาค้อก็ยังมีพระเจดีย์อีกแห่งที่มีความงดงามมากเช่นกัน นั่นคือ “พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ที่ผนังของฐานด้านล่าง เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ซึ่งมีการใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ฐานชั้นบน มีผนังเป็น 8 เหลี่ยม เป็นลักษณะที่มีการใช้ตั้งแต่สมัยทวารวดี บริเวณเหนือซุ้มคูหา ตอนบนขององค์เจดีย์ เป็นกลีบบัวรับองค์ ระฆังทรงกลม แบบสมัยอยุธยา ถัดขึ้นไปตอนบนเป็นบัลลังก์รับบัวกลุ่ม 5 ชั้น ทางคติมีความหมายถึงพระเจ้า 5 พระองค์
ภายในเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ ให้ประชาชนได้เข้าไปสักการบูชา ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งที่นี่จะไม่มีการจุดธูป แต่จะจุดเทียนเพื่อการบูชาพระพุทธรูปและพระสารีริกธาตุ โดยจะจุดเทียนปักไว้ในจาน รอบๆ ฐานด้านในขององค์เจดีย์
บริเวณรอบๆ พระบรมธาตุเจดีย์นั้นร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ ช่วยเสริมสร้างความสดชื่นให้กับอากาศที่สามารถสูดเข้าไปได้อย่างเต็มปอด ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ก็มีผู้คนแวะเวียนเข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่บ้าง หรือจะเดินออกไปด้านข้างก็มีระฆังเรียงรายเป็นแถวยาว ใครอยากจะเดินไล่ตีระฆังไปจนสุดทางก็ได้ เชื่อกันว่า หากได้เดินตีระฆังจนครบทุกใบแล้ว ก็จะสมประสงค์ตามที่อธิษฐานไว้
ไหว้พระทำบุญกันไป 2 แห่งแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ขอแวะพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อย มากันที่ “Route 12” ที่ตั้งอยู่ริมถนนทางหลวงหมายเลข 12 ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดแวะพักริมทาง ที่นี่มีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก โดยตกแต่งในสไตล์ตะวันตก เมื่อเข้ามาเดินเล่นแล้วก็รู้สึกเหมือนกับหลงอยู่ในดินแดนคาวบอยเลยทีเดียว
Route 12 นับเป็นแหล่งรวมพลของคนที่ชมชอบการถ่ายรูป เพราะมีมุมดีๆ ให้ส่องผ่านเลนส์อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตามร้านค้าต่างๆ ทิวทัศน์โดยรอบที่เขียวขจี สวนดอกไม้เล็กๆ และกลุ่มมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์หลากหลายประเภทที่มักจะแวะเวียนมาเยือนอยู่เสมอ ใครที่จะแวะมาที่นี่ ขอแนะนำว่าให้เผื่อเวลาสำหรับการเดินเที่ยวเล่นเสียหน่อย เพราะอาจจะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแบบไม่รู้ตัว
พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็ยังมุ่งหน้าต่อไปบนถนนสาย 12 ผ่านเข้าสู่เขต จ.พิษณุโลก แวะทำกิจกรรมผจญภัยกันเล็กน้อยที่ อ.วังทอง ซึ่งกิจกรรมนี้ต้องเตรียมตัวเปียกกันเสียหน่อย เพราะเราจะไปล่องแก่งในลำน้ำเข็กกัน
“ลำน้ำเข็ก” กำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขต อ.เขาค้อ ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จากนั้นไหลผ่าน อ.วังทอง จึงถูกเปลี่ยนเป็นชื่อแม่น้ำวังทอง แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านที่ อ.บางกระทุ่ม ลำน้ำเข็กสามารถใช้เรือยางมาล่องแก่งได้อย่างสนุกสนานตลอดเส้นทาง ตั้งแต่บ้านปากยาง ใน อ.วังทอง ไปจนกระทั่งถึงน้ำตกแก่งซอง รวมระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ระหว่างเส้นทางในลำน้ำเข็กจะมีแก่งต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป ไล่ระดับความยากตั้งแต่ระดับ 1-5
ในส่วนของการเดินทางมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กแห่งนี้ก็มีความสะดวกสบาย เนื่องจากลำน้ำจะอยู่ใกล้ถนน เมื่อลงจากรถก็สามารถมาขึ้นแพยางได้เลย หรือเมื่อล่องแก่งเสร็จแล้ว ก็สามารถขึ้นจากแพยางแล้วมาขึ้นรถต่อได้ทันที ไม่ต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงเข้าไปเหมือนลำน้ำอื่นๆ
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เตรียมอุปกรณ์ ใส่เสื้อชูชีพ เตรียมไม้พาย และฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่จะพาล่องแก่ง ก็ได้เวลาลงไปล่องลอยในสายน้ำ ความสนุกสนานของการล่องแก่งอยู่ที่การต่อสู้กับความแรงของสายน้ำ ประคับประคองเรือให้ลอยอยู่ได้โดยไม่คว่ำไปเสียก่อน เสียงกรี๊ดกร๊าดที่ได้ยินตลอดทางบอกได้ถึงความสนุกสนานเร้าใจ ซึ่งหากใครที่อยากสนุกแบบนี้ สามารถมาล่องแก่งที่ลำน้ำเข็กได้เฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่กระแสน้ำมีความเหมาะสมมากที่สุด
ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกกันเต็มที่แล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินทางต่อไปยังตัวเมืองพิษณุโลก ซึ่งเมื่อมาถึงตัวเมืองแล้วก็ต้องแวะไปสักการะพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของที่นี่ ซึ่งก็คือ “พระพุทธชินราช” ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดใหญ่”
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” ซึ่งถือกันว่ามีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย องค์พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย โดยในคราวเดียวกันนี้ ก็สร้าง “พระพุทธชินสีห์” และ “พระศรีศาสดา” ขึ้นพร้อมกัน
ปัจจุบัน พระพุทธชินราชยังคงประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ทางวัดจึงสร้างองค์จำลองขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ที่พิษณุโลก
สำหรับคนที่เข้ามายังวัดแห่งนี้ ก็ต้องมุ่งหน้าตรงเข้าไปสักการะพระพุทธชินราชก่อนเป็นอันดับแรก แต่ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ก็ยังมีพระพุทธรูปองค์สำคัญอีกหลายองค์ อย่างเช่น พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา องค์จำลอง ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารด้านซ้ายและขวาขององค์พระพุทธชินราช
“พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน” ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ใกล้กับวิหารพระศรีศาสดา ถือเป็นพระพุทธรูปอีกปางที่หายากในประเทศไทย เชื่อกันว่าหากต้องการผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ให้กราบที่หีบศพและอธิษฐานก็จะได้สิ่งที่หวัง
ส่วนด้านหน้าทางเข้าวิหารหลวงนั้นก็ยังมี “หลวงพ่อเหลือ” ที่สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา เนื่องจากทองสัมฤทธิ์ที่ใช้หล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้นยังเหลืออยู่ จึงนำมาหล่อพระอีกหนึ่งองค์ ทำให้ชื่อว่าพระเหลือ และทองที่เหลือก็ยังสามารถหล่อพระสาวกได้อีกสององค์ ยืนอยู่ด้านหน้าองค์หลวงพ่อเหลือ เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระเหลือแล้วจะเป็นสิริมงคลเหลือกินเหลือใช้ตามชื่อของท่าน
ที่ด้านหลังของพระวิหารจะมองเห็น “พระอัฎฐารส” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ สร้างขึ้นในสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช แต่เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่ แต่วิหารได้พังไปจนหมดเหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ เรียกว่า เนินวิหารเก้าห้อง
สักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแล้ว หากมีเวลา อย่าลืมมาเดินเล่นที่ด้านหน้าของวัด บริเวณริมแม่น้ำน่าน นั่งเล่นรับลมเย็นๆ ให้สบายตัว ก่อนจะกลับเข้าไปซื้อของฝากกลับบ้านไปฝากพ่อแม่พี่น้อง
มาเที่ยวต่างจังหวัดในหน้าฝนแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนแตกต่างจากหน้าอื่นก็คือ ความเขียวชอุ่มชุ่มชื้นของบรรยากาศรอบๆ ยิ่งในบริเวณที่มีภูเขา ช่วงหลังฝนตกใหม่ๆ อากาศก็ยิ่งสดชื่น หรือในช่วงเช้าวันไหนที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ก็จะเห็นสายหมอกลอยเอื่อยๆ เห็นภาพที่เห็นแล้วสบายตาสบายใจมากๆ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (ดูแลพื้นที่พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com