xs
xsm
sm
md
lg

ยลปืนใหญ่ "พญาตาณี" และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บรรยากาศ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหน้ากระทรวงกลาโหม


โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


เมื่อเอ่ยถึง “กระทรวงกลาโหม” หลายคนคงจะนึกภาพอาคารสีเหลืองทรงยุโรป ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานครและวัดพระแก้ว ซึ่งฉันก็มาเที่ยวละแวกนี้อยู่หลายครั้ง โดยสิ่งที่ฉันสนใจที่สุดนอกจากตัวอาคารที่โดดเด่นแล้ว ก็เห็นจะเป็นเหล่าปืนใหญ่โบราณน้อยใหญ่ที่ตั้งประดับเรียงรายอยู่บริเวณด้านหน้าของอาคารกระทรวงกลาโหม ซึ่งฉันก็ได้แค่มองผ่านตา เพราะแม้ทางกระทรวงจะเปิดให้ชมเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแต่ก็กั้นบริเวณไว้ไม่สามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังเกรงๆ พี่ทหารที่ยืนเฝ้าขึงขังอยู่แถวนั้นอีกต่างหาก

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสถาปนากระทรวงกลาโหมครบรอบ 127 ปี ทางกระทรวงจึงได้จัดพื้นที่บริเวณด้านหน้าอาคารทำการให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” ที่เปิดให้เข้าชมอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และที่สำคัญคือมีมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นวิทยากรจากทางกระทรวงนำชมพร้อมให้ข้อมูล ทำให้ฉันได้ชมไฮไลต์ปืนใหญ่แต่ละกระบอกแบบไม่ต้องงง พร้อมกันนั้นยังได้เปิด “ลานน้ำพุดนตรี” ให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวได้เข้าชมด้วยอีกต่างหาก

ฉันจึงไม่รอช้ารีบหาวันว่างเพื่อที่จะมาเที่ยวชมเหล่าปืนใหญ่โบราณและลานน้ำพุดนตรี แต่ก่อนที่จะมานั้นก็ได้เตรียมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าและได้ทราบว่าทางกระทรวงกลาโหมได้จัดรอบเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณไว้ในวันจันทร์-ศุกร์ 2 รอบด้วยกัน รอบแรกเวลา 12.00 น. และรอบที่สองเวลา 19.00 น. ส่วนน้ำพุดนตรีก็จะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลาคือ 08.00 น., 12.00 น. และ 19.00 น. ซึ่งฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะเข้าชมปืนใหญ่ต่างๆ ทั้งสองรอบ เพราะแต่ละช่วงเวลานั้นความสวยงามก็จะแตกต่างกันออกไป
“อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม” งดงาม โดดเด่น น่าชม
เมื่อฉันเดินทางมาถึง ก็ขอยืนชื่นชม “อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม” กันสักหน่อย อาคารหลังนี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรป สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี 2427 โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโรงทหารหน้าขึ้นในพื้นที่วังพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นจิตรภักดี กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ และกรมหมื่นอินทราพิพิธ ซึ่งเป็นวังเก่าสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่ต่อมาวังได้ร้างลงและถูกใช้เป็นฉางเก็บข้าวหลวง ให้ก่อสร้างเป็น "โรงทหารหน้า" เป็นที่รวมทหารประจำการรักษาพระนคร อาวุธ สัตว์พาหนะและเสบียงอาหาร และในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กระทรวงกลาโหม"

อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมถูกออกแบบอย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปศิลปะแบบปัลลาเดียน ยุคนีโอคลาสสิก ทาสีเหลืองนวล ด้านหน้าเป็นหน้าจั่วทรงโรมัน ตกแต่งด้วยปูนปั้น ที่มุขชั้นสองมีระเบียงกว้าง และเสาแบบโรมัน ด้านหน้าของเสาระเบียงใหญ่ประดับด้วยสัญลักษณ์ของสามเหล่าทัพ คือ กงจักร สมอ และปีกอยู่บนพื้นรูปสี่เหลี่ยมสีทอง อีกทั้งได้รับเลือกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ที่มีคุณค่าทางทางสถาปัตยกรรม ในปี 2540
“พิรุณแสนห่า” หนึ่งในปืนใหญ่ 40 กระบอก ที่ตั้งไว้ให้ได้ชม
หลังจากได้ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ในรอบเที่ยงแล้ว ก็เริ่มต้นการชมปืนใหญ่โบราณ แห่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งกัน ซึ่งทางวิทยากรของทางกระทรวงได้เล่าให้ฟังว่า

"เหล่าปืนใหญ่โบราณที่ตั้งประดับไว้นั้น มีจำนวนทั้งสิน 40 กระบอก ถูกนำมาตั้งไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดตั้งปืนใหญ่ไว้ที่บริเวณสนามหน้ากระทรวงกลาโหม ดังเช่นที่โรงเรียนนายร้อย แซนด์เฮิร์ทซ์ประเทศอังกฤษ ซึ่งปืนใหญ่แต่ละกระบอกนั้นถูกสร้างขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ บางกระบอกได้ผ่านสมรภูมิรบมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเมื่อครั้งอดีตปืนใหญ่เหล่านี้ได้รับฉายาว่าเป็นราชาแห่งสนามรบ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงยิงได้จากระยะไกล ใช้บุกโจมตีศัตรูหรือป้องกันพระนคร”

ฉันรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสเข้ามาเห็นปืนใหญ่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ซึ่งปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอกนั้นต่างก็มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานผ่านสมรภูมิรบต่างๆ มาอย่างมากมาย อีกทั้งแต่ละกระบอกยังงดงามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่กระบอกก็ล้วนแล้วแต่ถูกตั้งชื่อไว้อย่างไพเราะ อาทิ พิรุณแสนห่า มหาจักกรด พลิกพสุธาหงาย สายอสุนีแผ้วราตรี
“ปืนใหญ่พญาตาณี” ปืนใหญ่โบราณที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
ในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอก จะมีที่โดดเด่นห้ามพลาดชมก็คือ “ปืนใหญ่พญาตาณี” (ชื่อปืนสะกดตามป้ายที่เขียนระบุไว้ หน้ากระทรวงกลาโหม) ที่ตั้งแสดงในตำแหน่งประธานของกลุ่มปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม หลายๆ คนคงคุ้นชื่อปืนใหญ่กระบอกนี้ดี ปืนใหญ่กระบอกนี้เป็นปืนใหญ่โบราณที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาด 6 เมตร 82 เซนติเมตร โดยเป็นปืนใหญ่ที่เลื่องลือมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ผลงานชิ้นสำคัญที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองปัตตานีในยุคนั้น

ตำนานความเป็นมาของปืนใหญ่พญาตาณี ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เจ้าเมืองปัตตานีได้สั่งให้ชาวจีนชื่อลิ่มโต๊ะเคี่ยม นายช่างหล่อปืน ให้หล่อปืนใหญ่ตามความประสงค์ ซึ่งการหล่อในครั้งนั้นได้ปืนใหญ่ 3 กระบอก คือ เสรีปัตตานีหรือพญาตาณี ศรีนคราหรือเสรีนคร และมหาเลลา ต่อมาในปี 2329 เป็นเวลาที่ไทยรบกับพม่าในสงครามเก้าทัพ ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มหาสุรสิงหนาทวังหน้ายกทัพไปปราบปรามพม่าที่มาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ในขณะนั้น เมืองปัตตานีเอาใจออกห่าง เมื่อกองทัพหลวงมีชัยชนะกองทัพพม่าได้ สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯ จึงนำทัพเข้าปราบปรามเมืองปัตตานีและมีชัยชนะ จึงได้สั่งให้นำปืนใหญ่ของเมืองปัตตานีทั้ง 3 กระบอก นำมาถวายรัชกาลที่ 1 แต่นำมาได้เพียงกระบอกเดียวคือปืนใหญ่พญาตานี ส่วนอีกสองกระบอกจมน้ำหายสาบสูญ
ปืนใหญ่นารายน์สังหาญ  ปืนใหญ่กระบอกใหญ่ สร้างเพื่อคู่ปืนใหญ่พญาตาณี
กระบอกถัดมาที่เป็นไฮไลต์คือ "ปืนใหญ่นารายน์สังหาร" ปืนใหญ่กระบอกนี้เป็นปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยขนาดความยาว 4.5 เมตร ลำกล้องกว้างถึง 29.3 เซนติเมตร เป็นปืนใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นปืนคู่กับปืนพญาตาณี ในปี 2330 มีลักษณะเด่นที่บริเวณท้ายลำกล้องซึ่งเป็นรูปสังข์ขนาดใหญ่ไม่มีลวดลายประดับ
“ปืนใหญ่มารประไลย” งดงามที่สุดหาที่เปรียบ
ในเรื่องความงดงามอันเป็นที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอกต้องยกให้กับ “ปืนใหญ่มารประไลย” ที่ถูกสร้างขึ้นในในปี พ.ศ. 2330 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปืนใหญ่กระบอกนี้มีลวดลายสลักไว้อย่างงดงามเป็นลายกนก ลายประจำยาม เพลาเป็นรูปดอกไม้ และท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสังข์ลวดลายกระจัง ฉันมองแล้วงดงามกว่ากระบอกไหนๆ สมคำร่ำลือ
กระบอกแรกมุมซ้ายคือ “ปืนใหญ่อัคนิรุท” ปืนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุด
ส่วนปืนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอก ก็คือ “ปืนใหญ่อัคนิรุท” ที่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยประเทศสเปน ซึ่งมีรูปธงชาติสเปนจารึกไว้ที่กระบอกปืนใหญ่ด้วย อีกทั้งยังมีจารึกปีที่สร้างไว้ที่กระบอกปืน ว่าถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1624 หรือปี พ.ศ.2167 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 21 แห่งกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันปืนใหญ่กระบอกนี้มีอายุรวมแล้ว 390 ปี
“พญาคชสีห์” สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม
เดินชมปืนใหญ่กันเพลินๆ แต่ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ นั่นก็คือ “รูปปั้นพญาคชสีห์” สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าออก โดยรูปปั้นพญาคชสีห์ด้านประตูทิศใต้จะมีชื่อว่า “พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์” หมายความว่าพิทักษ์แผ่นดินไทย ส่วนรูปปั้นพญาคชสีห์ประตูทิศเหนือมีชื่อว่า “พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์” หมายความว่าเป็นทหารพิทักษ์พระราชา ซึ่งความหมายรวมคือเราจะพิทักษ์ประเทศชาติและราชบัลลังก์

ประวัติความเป็นมาของตราคชสีห์ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งเสนาบดีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยในตำนานนั้น พญาคชสีห์นั้นเป็นสัตว์หิมพานต์ ที่มีลำตัวเป็นราชสีห์มีหัวเป็นช้าง จึงเรียกเป็นครึ่งช้างครึ่งราชสีห์ และมักปรากฏในวรรณคดีเรื่องเล่า เช่น เรื่องรามเกียรติ์
หลักเมืองเดิมและหลักเมืองใหม่ ภายในอาคาร “ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร”
เสร็จสิ้นไปแล้วกับการเที่ยวชมในรอบแรกของฉัน การที่ได้มาชมปืนใหญ่อย่างใกล้ชิด ความสนใจทั้งหมดของฉันเลยมุ่งเน้นอยู่ที่ปืนใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งก็ได้แต่มองลานน้ำพุดนตรีอย่างผ่านๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะฉันได้คิดไว้แล้วว่าจะมาชมลานน้ำพุดนตรีต่อในช่วงเย็น แต่ก่อนจะถึงรอบเข้าชมในช่วงเย็น ฉันก็คงจะไปเที่ยวที่อื่นๆ รอเวลา เพราะในระแวกใกล้เคียงนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร” ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน

ศาลหลักเมืองแห่งนี้ เป็นศาลที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ภายในอาคารศาลหลักเมือง ได้ประดิษฐานหลักเมืองเดิมและหลักเมืองใหม่ โดยเสาต้นเดิมนั้น ใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นแก่นเสาหลักเมือง ประกับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเสาหลักเมืองขึ้นใหม่เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุด โดยเป็นแกนไม้สักประกับนอกด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ที่เดินทางมาสักการะและผูกผ้าสามสีที่เพื่อขอความเป็นสิริมงคล

นอกจากนั้นก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง สนามหลวง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นต้น (คลิกติดตามที่เที่ยวละแวกใกล้เคียงพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณได้ที่ลิงค์นี้)
บรรยากาศ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” และ“ลานน้ำพุดนตรี” ยามเย็น
เมื่อถึงเวลาเข้าชมในช่วงเย็นฉันก็ไม่รอช้า รีบมาติดต่อโดยทันที การชมในเวลาเย็นนั้นทัศนียภาพจะแปลกตาไปจากช่วงกลางวัน โดยจะเห็นเหล่าแสงไฟที่ฉายต้องวัตถุให้โดดเด่น เหล่าปืนใหญ่ทั้งหลายต่างถูกฉายแสงให้ผู้ที่มาชมรอบเย็นได้ยลความยิ่งใหญ่ ฉันตั้งใจชมลานน้ำพุดนตรีด้วยความเพลิดเพลิน น้ำพุนั้นพวยพุ่งเป็นรูปร่างต่างๆ ตามจังหวะเสียงดนตรี บรรยากาศรอบตัวฉันในตอนที่ชมนั้นพูดได้ว่าโรแมนติกมากๆ
“น้ำพุดนตรี” งดงามด้วยแสงไฟ อีกหนึ่งทัศนียภาพงดงามยามเย็น
สำหรับฉันแล้วการได้มาชมปืนใหญ่ทั้งในช่วงกลางวันและช่วงเย็นนั้น มีความพิเศษที่แตกต่างกัน ในช่วงกลางวันอาจจะร้อน แต่ก็สามารถชมปืนใหญ่และรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างถนัดตา ส่วนในช่วงเย็นนั้นก็จะได้เห็นแสงสีที่มาเป็นตัวช่วยให้การชมในยามค่ำคืน และไม่ว่าใครจะเลือกช่วงเวลาไหน การที่ได้มาชมปืนใหญ่เหล่านี้อย่างใกล้ชิด ก็นับได้ว่าคุ้มค่ามากแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ารอช้ารีบมาชมเหล่าราชาแห่งสนามรบทั้ง 40 กระบอกกันโดยเร็ว
น้ำพุหลากรูปทรง เคล้าเสียงเพลง กลายเป็นบรรยากาศโรแมนติก
********************************************************************************************************************

"พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ" กระทรวงกลาโหม เปิดให้เข้าชมฟรีในวันจันทร์-ศุกร์ โดยแบ่งรอบการเข้าชมเป็น 2 รอบ รอบแรกเวลา 12.00 น. ลงทะเบียนเข้าชม 11.30 น. รอบที่2 เวลา 19.00 น. ลงทะเบียนเข้าชม 18.30 น. ส่วนน้ำพุดนตรีสามารถชมได้ทุกวันในเวลา 08.00 น., 12.00 น. และ 19.00 น.

การเดินทาง : รถประจำทางสาย 1, 3, 6, 9, 15, 19, 25, 30, 33, 39, 43, 44, 47, 53, 59, 60, 64, 65, 70, 80, 82, 91, 123, 201, 203
กำลังโหลดความคิดเห็น