โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
จีนเป็นประเทศนักสร้างมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ยิ่งมายุคนี้จีนยุคใหม่เขานิยมสร้างอะไรต่อมิอะไรอย่างมโหฬารบานตะเกียง นั่นจึงทำให้ในช่วง 10 ปีหลัง ตามเมืองใหญ่ๆ ของจีนล้วนเต็มไปด้วยมวลมหาตึกสูงระฟ้า นอกจากนี้ก็ยังมีงานสถาปัตยกรรมแปลกๆ ผุดขึ้นมาอีกเพียบ
แน่นอนว่าในการเนรมิตของใหม่ จีนได้ทุบทำลายตึกเก่า อาคารเก่า ชุมชนเก่าลงไปมากโข หลายๆ ชุมชนเก่าที่ถูกทำลาย ผมเห็นแล้วบอกได้เลยว่า“เสียดายมาก”
อย่างไรก็ดียังมีเมืองเก่าอีกหลายๆ แห่ง ชุมชนเก่าอีกหลายๆ หมู่บ้าน ที่ทางการจีนเขาอนุรักษ์ไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการท่องเที่ยวเป็นหลัก บางแห่งเก็บแบบดั้งเดิมไว้ทั้งหมด แต่อีกหลายๆ แห่งก็มีการสร้างเสริมเพิ่มบางสิ่งบางอย่างเข้าไปให้ดูกลมกลืนกับของเก่า ชนิดที่บางครั้งก็อยากจะแยกออกว่า เมืองเก่าเมืองไหนเก่าจริง? เมืองเก่าเมืองไหนเก่าปลอม?
สำหรับเมืองโบราณ“เฟิ่งหวง” หรือ “ฟ่งหวง” แห่งมณฑลหูหนาน ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่ประเทศจีนอนุรักษ์ไว้เพื่อการท่องเที่ยว โดยมีการแต่งเติมสีสันเข้าไปบ้างเพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมืองนี้
เฟิ่งหวง เมืองหงส์
เมืองเฟิ่งหวงตั้งอยู่ทางตะวันตกของหูหนาน ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 เขต คือเขต “เมืองใหม่” และเขต “เมืองเก่า” ที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยว ประชากรในเมืองเฟิ่งหวงมีประมาณ 3 แสนคน แบ่งเป็น 2 ชนเผ่าหลักๆ คือเผ่าถู่เจียและเผ่าแม้ว(ม้ง)
เมืองเก่าเฟิ่งหวงสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1863) มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี (มีสะพาน “หงเฉียว” อายุกว่า 300 ปี เป็นสถาปัตยกรรมโบราณที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน) เฟิ่งหวงมีแม่น้ำ“ถัวเจียง” ไหลพาดผ่านเป็นเส้นเลือดหลัก ซึ่งนับจากอดีตถึงปัจจุบันชาวบ้านที่นี่ได้ใช้แม่น้ำถัวเจียงเป็นปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างในการดำรงชีวิตต่างๆ ทั้งคมนาคม-สัญจรไปมา, จับปลา-หาอาหาร, หุงต้ม-ประกอบอาหาร, ซักผ้า-ชำระล้างสิ่งของ สร้างสรรค์งานศิลปะ-ภาพวาดกวี แต่งเพลง รวมถึงการเปิดเป็นย่านการค้าริมน้ำลักษณะคล้ายๆ ตลาดน้ำอัมพวาในบ้านเรา
ยาย่า ไกด์สาวผู้น่ารักประจำทริปบอกกับผมว่า เดิมเมืองนี้ชื่อว่าเมือง “เจิ้นกัน” ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองเฟิ่งหวงในปี ค.ศ. 1991 โดยตั้งชื่ออ้างอิงจากลักษณะของแผนที่เมืองที่มีรูปร่างคล้าย“หงส์” (จีน) หรือ “นกฟีนิกซ์” เมืองนี้จึงได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองหงส์” (บางข้อมูลระบุว่าชื่อเมืองเฟิ่งหวงมาจากภูเขาลูกหนึ่งชื่อ “เขาหนานหัว” ที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองมีรูปร่างคล้ายหงส์ จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเมือง)
นั่นจึงทำให้มีการสร้างสัญลักษณ์เป็น “อนุสาวรีย์หงส์” กับรูปปั้นหงส์ทรงสง่าทำท่าสยายปีกกำลังเตรียมเหินบินไว้ ณ จัตุรัสกลางเมืองเก่า ที่เรียกขานกันว่า “จัตุรัสหงส์” หรือ “จัตุรัสนกฟีนิกซ์” ซึ่งถือเป็นแหล่งพักผ่อนและหนึ่งในจุดถ่ายรูปสำคัญประจำเมือง ที่เมื่อนักท่องเที่ยวหรือคณะทัวร์มามักจะไม่พลาดการมาเที่ยวชมรูปปั้นเจ้าหงส์เตรียมเหินบินด้วยประการทั้งปวง
เปิดโลกเฟิ่งหวง
ยาย่าให้ข้อมูลกับผมอีกว่า เมืองเก่าเฟิ่งหวงในอดีตฮ่องเต้จัดสรรให้เป็นถิ่นอยู่อาศัยของชนเผ่าแม้วภายใต้การควบคุมของทางการ ที่ให้อยู่เฉพาะในเขตพื้นที่เมืองเก่าในเขตแนวกำแพงเมืองโบราณที่ปัจจุบันยังมีสภาพสมบูรณ์เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน
เดิมเฟิ่งหวงเป็นเพียงชุมชนค้าขายริมน้ำธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนปัจจุบัน แต่จุดเปลี่ยนของเมืองนี้มาจากการที่ “เสิ่น ฉง เหวิน” (ค.ศ. 1902-1988) นักประวัติศาสตร์ นักประพันธ์ ผู้รอบรู้ และกวีนามอุโฆษของจีนชาวเฟิ่งหวง ได้นำภาพมนต์เสน่ห์ของบ้านเรือนเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ริมน้ำ ภูมิประเทศ วิถีวัฒนธรรม แห่งเมืองเฟิ่งหวงเขียนเป็นหนังสือ บทกลอน กวี ถ่ายทอดให้คนภายนอกได้รับรู้ โดยเฉพาะ “เปียนเฉิน” ที่ “The Border Town” หนังสือเล่มสำคัญที่เปิดโลกเมืองโบราณเฟิ่งหวงให้โลกรับรู้ จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
หลังจากหนังสือเปียนเฉินออกมาสร้างชื่อให้กับเมืองเฟิ่งหวง ทางการจีนก็เข้ามาทำการอนุรักษ์เมืองเก่าแห่งนี้ พร้อมกับการแต่งเติมสีสันให้เป็นเมืองท่องเที่ยวในรูปแบบเมืองโบราณมีชีวิต ขณะที่บ้านเกิดของเสิ่น ฉง เหวิน หลังท่านเสียชีวิต เมืองเฟิ่งหวงก็ได้อนุรักษ์ไว้ พร้อมเปิดให้เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเฟิ่งหวง ให้ชาวจีนได้ศึกษา เรียนรู้อัตชีวประวัติ ผลงาน และคุณูปการอีกหลากหลายที่เสิ่น ฉง เหวิน ได้ทิ้งมรดกอันทรงคุณค่าไว้ให้กับคนรุ่นหลัง
สำหรับ เสิ่น ฉง เหวิน คนไทยเราอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับชื่อนี้ แต่สำคัญชาวจีนนี่คือยอดกวีเอกยุคหลัง (ยุคใหม่) ที่เทียบได้กับ 2 ยอดกวีอมตะผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง อย่าง “หลี่ ไป๋” (ค.ศ. 701-762) และ“ตู้ฝู่” (ค.ศ. 712 — ค.ศ. 770) เลยทีเดียว
“เสิ่น ฉง เหวิน หากเปรียบแบบไทยๆ ก็เหมือนกับสุนทรภู่บ้านเรา” พี่วิเชียรบอกกับผมอย่างนั้น
ฟรุ้งฟริ้ง “เฟิ่งหวง”
หลังเปิดตัวอวดโฉมเป็นที่รู้จัก วันนี้เฟิ่งหวงมีชื่อในฐานะหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวอันโดดเด่นของประเทศจีน
สำหรับจุดท่องเที่ยวเด่นๆ ในเฟิ่งหวงนอกจาก “จัตุรัสหงส์” กับ “บ้านเกิดเสิ่น ฉง เหวิน” แล้ว ที่นี่ยังมีกำแพงเมืองโบราณที่ทอดตัวขนาบไปกับบ้านเรือนและแม่น้ำ บนกำแพงสามารถขึ้นไปยืนถ่ายรูปเดินชมวิวบนนั้นได้ ส่วนอีกหนึ่งจุดที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญและจุดนัดพบชั้นดี (เวลาใครหลงจากกลุ่ม) ก็คือ “สะพานหงเฉียว” หรือ “สะพานสายรุ้ง” สะพานที่เป็นมรดกตกทอดเก่าแก่ที่สุดมาจนถึงวันนี้ มีอายุกว่า 300 ปี สร้างในสมัยฮ่องเต้คังซี แห่งราชวงศ์ชิง
สะพานสายรุ้ง เป็นสะพานปูน 2 ชั้น มีหลังคาคุม ลักษณะคล้ายสะพานลมฝนของชาวต้ง (แต่ชาวต้งจะสร้างด้วยไม้) ชั้นล่างของสะพานปัจจุบันเป็นร้านค้าไปตลอด 2 ฟากฝั่งสะพาน ส่วนชั้นบนเป็นมุมกาแฟ จุดชมวิวที่สามารถมองลงไปเห็นบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกสร้างอย่างสวยงามไปตาม 2 ฟากฝั่งลำน้ำถัวเจียง นับเป็นจุดถ่ายรูปมุมสูงยอดฮิตประจำเมือง เช่นเดียวกับบนสะพานประตูเมืองทางทิศใต้ ที่บนนั้นก็สามารถขึ้นไปยืนถ่ายรูปวิวทิวทัศน์มุมสูงกว้างไกลของบ้านกับลำน้ำถัวเจียงได้สวยงามเช่นกัน
พูดถึงแม่น้ำถัวเจียง วันนี้ลำน้ำสายนี้ก็ยังคงเป็นลำน้ำแห่งชีวิตเช่นในอดีต ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีเส้นทางเดินใน 2 ฟากฝั่งชมความงามของเมือง มีสะพานข้ามเป็นระยะๆ มีการทำเก๋งจีน กังหัน จุดมุมสวยๆ ไว้ให้ถ่ายรูปแล้ว วิถีของชาวเมืองก็ยังคงผูกพันกับสายน้ำ มีการล้างผักปลา ซักผ้าด้วยการใช้ไม้ทุบแบบโบราณ มีแพผูกให้นกกาน้ำมาจับปลาโชว์นักท่องเที่ยว ฯลฯ
แต่เออที่ผมแปลกใจก็คือ แม้จะมีคนใช้ประโยชน์จากแม่น้ำถัวเจียงมากมาย โดยเฉพาะซักผ้า ล้างผัก ล้างปลา ล้างจาน ทำความสะอาดสิ่งของ แต่ลำน้ำถัวเจียงก็ยังดูสะอาดสวยใส นั่นอาจเป็นเพราะคนจีนเขาไม่ได้ทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำจึงทำให้แม่น้ำถัวเจียงยังคงมีสภาพดีอยู่
นอกจากนี้ในลำน้ำถัวเจียงยังมีการล่องเรือชมทิวทัศน์ สัมผัสบรรยากาศไปพร้อมๆ กับฟังเสียงของนักร้องสาวชาวม้งที่มาคอยลอยเรือร้องเพลงขับกล่อมในลำน้ำเป็นระยะๆ (เป็นโชว์ของเมืองนี้) ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเด่นที่ชาวจีนชื่นชอบกันมาก ในช่วงวันหยุดจะมีการมายืนเข้าคิวต่อแถวรอขึ้นเรือกันยาวเหยียด เพื่อขึ้นเรือพื้นบ้านล่องชมบรรยากาศริมน้ำ
ส่วนอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักไม่พลาดก็คือ การเดินชมเมืองสัมผัสบรรยากาศวิถีสีสันของเมืองโบราณแห่งนี้
เมืองโบราณเฟิ่งหวงเป็นเมืองเล็กๆ หากใช้เวลาเดินเที่ยวแบบผ่านๆ แค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทั่ว แต่ถ้าหากอยากเดินเที่ยวกันแบบละเอียดละเมียดละไมชมสิ่งละอันพันละน้อย เมืองนี้มีมนต์เสน่ห์ให้สัมผัสกันล้นเหลือ โดยเฉพาะพวกชอบถ่ายรูปนี่ทั้งกลางวันและกลางคืน เมืองเฟิ่งหวงมีมุมสวยๆ เก๋ๆ และมุมคลาสสิกให้ถ่ายรูปกันมากหลาย นั่นจึงทำให้เมืองนี้มีช่างภาพทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่นแบกกล้องและอุปกรณ์มาเดินถ่ายรูปกันเพียบ รวมไปถึงสาวๆ กับสมาร์ทโฟนที่ไม่ง้อช่างภาพ เพราะเธอสามารถเซลฟีถ่ายตัวเองได้อย่างรู้มุม เชี่ยวชาญช่ำชอง
สำหรับเส้นทางเดินเที่ยวเมืองเฟิ่งหวงนั้นก็มีเส้นริมน้ำและเส้นที่ลึกถัดเข้ามาหน่อย ซึ่งเราจะได้เห็นการอนุรักษ์เก็บอาคารบ้านเรือนเก่าไว้อย่างดี เพื่อการท่องเที่ยว โดยยังคงไว้ด้วยบ้านเรือนเก่าแก่ทั้งส่วนที่สร้างอยู่ริมแม่น้ำและส่วนที่ลึกถัดเข้ามาในผืนดิน โดยเฉพาะกับ “เตี้ยวเจี่ยวโหล” บ้านเรือนโบราณยกสูงที่ปลูกเป็นแถวเรียงรายริมแม่น้ำ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของที่นี่
ขณะที่ใครจะปรับเปลี่ยน ต่อเติม หรือก่อสร้างอะไรใหม่ ก็มีการควบคุมความสูง ควบคุมให้เป็นไปตามแบบที่กำหนด เพื่อให้สอดรับกลมกลืนกับสภาพเดิมอันดูคลาสสิกเปี่ยมเสน่ห์ของรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนฟังก์ชันภายในนั้นวันนี้อาคารบ้านเรือนเหล่านั้นปรับเปลี่ยนหันมาเพื่อรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวกัน(เกือบ)หมดแล้ว ทั้งทำเป็นเกสต์เฮาต์ โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก บาร์เบียร์ เธค ร้านเหล้า ฯลฯ
นั่นก็ทำให้ตลอดเส้นทางการเดินทอดน่องท่องเฟิ่งหวงของผม ได้เห็นเสน่ห์อันมีชีวิตที่หลากหลายของเมืองเก่าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศร้านรวงการซื้อขาย พ่อค้าแม่ค้าทั้งที่ตะโกนเรียกแขกอยู่ในร้าน พวกป้าๆ ที่นั่งเย็บปักถักร้อยงานฝีมือทั้งของจริงของปลอม อยู่ตามแผงลอยริมทาง ริมน้ำ (ใครจะซื้อต้องต่อรองราคากันให้ดีๆ), เรือนำเที่ยวที่ล่องผ่านไป-มาในลำน้ำพร้อมๆ นักร้องสาวเสียงหวาน, กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มานั่งวาดรูปบ้านเมืองเก่ากันอย่างเอาจริงเอาจังตามริมฝั่งน้ำ
ส่วนในยามราตรีเมื่อแสงอาทิตย์ลาลับมืดลง ที่นี่ถูกแทนที่ด้วยแสงสียามราตรีอันคึกคักของสถานบันเทิง บาร์เบียร์ ร้านกาแฟ รวมถึงผับเธค ร้านเหล้าบางร้านที่มี่กลยุทธ์ให้สาวแม้ว สาวพื้นเมืองหน้าตาจิ้มลิ้ม มายืนเรียกแขกหน้าร้าน
นับเป็นการปรับวิถีดั้งเดิมให้สอดรับกับวิถีการท่องเที่ยวร่วมสมัย ซึ่งก็สามารถสร้างเสน่ห์ให้เฟิ่งหวงเป็นเมืองโบราณที่มากไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาไม่น้อยเลย
*****************************************
ปัจจุบันเฟิ่งหวงนอกจากจะเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวอันโดดเด่นของจีนแล้ว ยังเป็นเมืองเก่าในต่างแดนที่กำลังขึ้นชื่อมาแรงในบ้านเรา เพราะหลังจากที่สายการบินแอร์เอเชียเปิดเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) สู่ “ฉางซา” เมืองเอกของมณฑลหูหนาน วันละ 1 เที่ยวบินต่อวัน ก็ทำให้การย่อโลกระหว่างเมืองไทยกับเมืองเฟิ่งหวงคล่องตัวขึ้น โดยจากฉางซาสามารถไปเฟิ่งหวงได้อย่างสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์ รถบัส รถไฟ หรือจะไปเป็นคณะทัวร์ก็มีทัวร์ไทยนิยมเที่ยวในเส้นทางเชื่อมโยง ฉางซา-จางเจียเจี้ย-เฟิ่งหวง กันเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูเวลาตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
*****************************************
หมายเหตุ : ฟรุ้งฟริ้ง เป็นภาษาที่กำลังเป็นที่นิยมกันในโลกออนไลน์ มีความหมายคล้ายคำว่า Twinkle ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่า ระยิบระยับ, อลังการ, วับวาว, จรัสแสง, ส่งประกาย, เปล่งประกาย สอดรับกับบรรยากาศแห่งสีสันยามราตรีของเมืองโบราณเฟิ่งหวง
คำว่า “ฟรุ้งฟริ้ง” เชื่อว่ามีที่มาจาก “แทยอน” หนึ่งในนักร้องสาววง Girls’ Generation จากเกาหลีที่เดินทางมาร่วมงานมีตติ้งในประเทศไทย และเธอได้พูดคำว่า “ฟรุ้งฟริ้ง” เป็นหนึ่งในคำศัพท์ภาษาไทย ที่ภายหลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ซึ่งแทยอนบอกว่า ฟรุ้งฟริ้ง หมายถึงคำว่า “Twinkle” ที่ตรงกับชื่อเพลงของวง Girls’ Generation
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
จีนเป็นประเทศนักสร้างมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ยิ่งมายุคนี้จีนยุคใหม่เขานิยมสร้างอะไรต่อมิอะไรอย่างมโหฬารบานตะเกียง นั่นจึงทำให้ในช่วง 10 ปีหลัง ตามเมืองใหญ่ๆ ของจีนล้วนเต็มไปด้วยมวลมหาตึกสูงระฟ้า นอกจากนี้ก็ยังมีงานสถาปัตยกรรมแปลกๆ ผุดขึ้นมาอีกเพียบ
แน่นอนว่าในการเนรมิตของใหม่ จีนได้ทุบทำลายตึกเก่า อาคารเก่า ชุมชนเก่าลงไปมากโข หลายๆ ชุมชนเก่าที่ถูกทำลาย ผมเห็นแล้วบอกได้เลยว่า“เสียดายมาก”
อย่างไรก็ดียังมีเมืองเก่าอีกหลายๆ แห่ง ชุมชนเก่าอีกหลายๆ หมู่บ้าน ที่ทางการจีนเขาอนุรักษ์ไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการท่องเที่ยวเป็นหลัก บางแห่งเก็บแบบดั้งเดิมไว้ทั้งหมด แต่อีกหลายๆ แห่งก็มีการสร้างเสริมเพิ่มบางสิ่งบางอย่างเข้าไปให้ดูกลมกลืนกับของเก่า ชนิดที่บางครั้งก็อยากจะแยกออกว่า เมืองเก่าเมืองไหนเก่าจริง? เมืองเก่าเมืองไหนเก่าปลอม?
สำหรับเมืองโบราณ“เฟิ่งหวง” หรือ “ฟ่งหวง” แห่งมณฑลหูหนาน ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่ประเทศจีนอนุรักษ์ไว้เพื่อการท่องเที่ยว โดยมีการแต่งเติมสีสันเข้าไปบ้างเพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมืองนี้
เฟิ่งหวง เมืองหงส์
เมืองเฟิ่งหวงตั้งอยู่ทางตะวันตกของหูหนาน ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 เขต คือเขต “เมืองใหม่” และเขต “เมืองเก่า” ที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยว ประชากรในเมืองเฟิ่งหวงมีประมาณ 3 แสนคน แบ่งเป็น 2 ชนเผ่าหลักๆ คือเผ่าถู่เจียและเผ่าแม้ว(ม้ง)
เมืองเก่าเฟิ่งหวงสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1863) มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี (มีสะพาน “หงเฉียว” อายุกว่า 300 ปี เป็นสถาปัตยกรรมโบราณที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน) เฟิ่งหวงมีแม่น้ำ“ถัวเจียง” ไหลพาดผ่านเป็นเส้นเลือดหลัก ซึ่งนับจากอดีตถึงปัจจุบันชาวบ้านที่นี่ได้ใช้แม่น้ำถัวเจียงเป็นปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างในการดำรงชีวิตต่างๆ ทั้งคมนาคม-สัญจรไปมา, จับปลา-หาอาหาร, หุงต้ม-ประกอบอาหาร, ซักผ้า-ชำระล้างสิ่งของ สร้างสรรค์งานศิลปะ-ภาพวาดกวี แต่งเพลง รวมถึงการเปิดเป็นย่านการค้าริมน้ำลักษณะคล้ายๆ ตลาดน้ำอัมพวาในบ้านเรา
ยาย่า ไกด์สาวผู้น่ารักประจำทริปบอกกับผมว่า เดิมเมืองนี้ชื่อว่าเมือง “เจิ้นกัน” ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองเฟิ่งหวงในปี ค.ศ. 1991 โดยตั้งชื่ออ้างอิงจากลักษณะของแผนที่เมืองที่มีรูปร่างคล้าย“หงส์” (จีน) หรือ “นกฟีนิกซ์” เมืองนี้จึงได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองหงส์” (บางข้อมูลระบุว่าชื่อเมืองเฟิ่งหวงมาจากภูเขาลูกหนึ่งชื่อ “เขาหนานหัว” ที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองมีรูปร่างคล้ายหงส์ จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเมือง)
นั่นจึงทำให้มีการสร้างสัญลักษณ์เป็น “อนุสาวรีย์หงส์” กับรูปปั้นหงส์ทรงสง่าทำท่าสยายปีกกำลังเตรียมเหินบินไว้ ณ จัตุรัสกลางเมืองเก่า ที่เรียกขานกันว่า “จัตุรัสหงส์” หรือ “จัตุรัสนกฟีนิกซ์” ซึ่งถือเป็นแหล่งพักผ่อนและหนึ่งในจุดถ่ายรูปสำคัญประจำเมือง ที่เมื่อนักท่องเที่ยวหรือคณะทัวร์มามักจะไม่พลาดการมาเที่ยวชมรูปปั้นเจ้าหงส์เตรียมเหินบินด้วยประการทั้งปวง
เปิดโลกเฟิ่งหวง
ยาย่าให้ข้อมูลกับผมอีกว่า เมืองเก่าเฟิ่งหวงในอดีตฮ่องเต้จัดสรรให้เป็นถิ่นอยู่อาศัยของชนเผ่าแม้วภายใต้การควบคุมของทางการ ที่ให้อยู่เฉพาะในเขตพื้นที่เมืองเก่าในเขตแนวกำแพงเมืองโบราณที่ปัจจุบันยังมีสภาพสมบูรณ์เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน
เดิมเฟิ่งหวงเป็นเพียงชุมชนค้าขายริมน้ำธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนปัจจุบัน แต่จุดเปลี่ยนของเมืองนี้มาจากการที่ “เสิ่น ฉง เหวิน” (ค.ศ. 1902-1988) นักประวัติศาสตร์ นักประพันธ์ ผู้รอบรู้ และกวีนามอุโฆษของจีนชาวเฟิ่งหวง ได้นำภาพมนต์เสน่ห์ของบ้านเรือนเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ริมน้ำ ภูมิประเทศ วิถีวัฒนธรรม แห่งเมืองเฟิ่งหวงเขียนเป็นหนังสือ บทกลอน กวี ถ่ายทอดให้คนภายนอกได้รับรู้ โดยเฉพาะ “เปียนเฉิน” ที่ “The Border Town” หนังสือเล่มสำคัญที่เปิดโลกเมืองโบราณเฟิ่งหวงให้โลกรับรู้ จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
หลังจากหนังสือเปียนเฉินออกมาสร้างชื่อให้กับเมืองเฟิ่งหวง ทางการจีนก็เข้ามาทำการอนุรักษ์เมืองเก่าแห่งนี้ พร้อมกับการแต่งเติมสีสันให้เป็นเมืองท่องเที่ยวในรูปแบบเมืองโบราณมีชีวิต ขณะที่บ้านเกิดของเสิ่น ฉง เหวิน หลังท่านเสียชีวิต เมืองเฟิ่งหวงก็ได้อนุรักษ์ไว้ พร้อมเปิดให้เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเฟิ่งหวง ให้ชาวจีนได้ศึกษา เรียนรู้อัตชีวประวัติ ผลงาน และคุณูปการอีกหลากหลายที่เสิ่น ฉง เหวิน ได้ทิ้งมรดกอันทรงคุณค่าไว้ให้กับคนรุ่นหลัง
สำหรับ เสิ่น ฉง เหวิน คนไทยเราอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับชื่อนี้ แต่สำคัญชาวจีนนี่คือยอดกวีเอกยุคหลัง (ยุคใหม่) ที่เทียบได้กับ 2 ยอดกวีอมตะผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง อย่าง “หลี่ ไป๋” (ค.ศ. 701-762) และ“ตู้ฝู่” (ค.ศ. 712 — ค.ศ. 770) เลยทีเดียว
“เสิ่น ฉง เหวิน หากเปรียบแบบไทยๆ ก็เหมือนกับสุนทรภู่บ้านเรา” พี่วิเชียรบอกกับผมอย่างนั้น
ฟรุ้งฟริ้ง “เฟิ่งหวง”
หลังเปิดตัวอวดโฉมเป็นที่รู้จัก วันนี้เฟิ่งหวงมีชื่อในฐานะหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวอันโดดเด่นของประเทศจีน
สำหรับจุดท่องเที่ยวเด่นๆ ในเฟิ่งหวงนอกจาก “จัตุรัสหงส์” กับ “บ้านเกิดเสิ่น ฉง เหวิน” แล้ว ที่นี่ยังมีกำแพงเมืองโบราณที่ทอดตัวขนาบไปกับบ้านเรือนและแม่น้ำ บนกำแพงสามารถขึ้นไปยืนถ่ายรูปเดินชมวิวบนนั้นได้ ส่วนอีกหนึ่งจุดที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญและจุดนัดพบชั้นดี (เวลาใครหลงจากกลุ่ม) ก็คือ “สะพานหงเฉียว” หรือ “สะพานสายรุ้ง” สะพานที่เป็นมรดกตกทอดเก่าแก่ที่สุดมาจนถึงวันนี้ มีอายุกว่า 300 ปี สร้างในสมัยฮ่องเต้คังซี แห่งราชวงศ์ชิง
สะพานสายรุ้ง เป็นสะพานปูน 2 ชั้น มีหลังคาคุม ลักษณะคล้ายสะพานลมฝนของชาวต้ง (แต่ชาวต้งจะสร้างด้วยไม้) ชั้นล่างของสะพานปัจจุบันเป็นร้านค้าไปตลอด 2 ฟากฝั่งสะพาน ส่วนชั้นบนเป็นมุมกาแฟ จุดชมวิวที่สามารถมองลงไปเห็นบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกสร้างอย่างสวยงามไปตาม 2 ฟากฝั่งลำน้ำถัวเจียง นับเป็นจุดถ่ายรูปมุมสูงยอดฮิตประจำเมือง เช่นเดียวกับบนสะพานประตูเมืองทางทิศใต้ ที่บนนั้นก็สามารถขึ้นไปยืนถ่ายรูปวิวทิวทัศน์มุมสูงกว้างไกลของบ้านกับลำน้ำถัวเจียงได้สวยงามเช่นกัน
พูดถึงแม่น้ำถัวเจียง วันนี้ลำน้ำสายนี้ก็ยังคงเป็นลำน้ำแห่งชีวิตเช่นในอดีต ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีเส้นทางเดินใน 2 ฟากฝั่งชมความงามของเมือง มีสะพานข้ามเป็นระยะๆ มีการทำเก๋งจีน กังหัน จุดมุมสวยๆ ไว้ให้ถ่ายรูปแล้ว วิถีของชาวเมืองก็ยังคงผูกพันกับสายน้ำ มีการล้างผักปลา ซักผ้าด้วยการใช้ไม้ทุบแบบโบราณ มีแพผูกให้นกกาน้ำมาจับปลาโชว์นักท่องเที่ยว ฯลฯ
แต่เออที่ผมแปลกใจก็คือ แม้จะมีคนใช้ประโยชน์จากแม่น้ำถัวเจียงมากมาย โดยเฉพาะซักผ้า ล้างผัก ล้างปลา ล้างจาน ทำความสะอาดสิ่งของ แต่ลำน้ำถัวเจียงก็ยังดูสะอาดสวยใส นั่นอาจเป็นเพราะคนจีนเขาไม่ได้ทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำจึงทำให้แม่น้ำถัวเจียงยังคงมีสภาพดีอยู่
นอกจากนี้ในลำน้ำถัวเจียงยังมีการล่องเรือชมทิวทัศน์ สัมผัสบรรยากาศไปพร้อมๆ กับฟังเสียงของนักร้องสาวชาวม้งที่มาคอยลอยเรือร้องเพลงขับกล่อมในลำน้ำเป็นระยะๆ (เป็นโชว์ของเมืองนี้) ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเด่นที่ชาวจีนชื่นชอบกันมาก ในช่วงวันหยุดจะมีการมายืนเข้าคิวต่อแถวรอขึ้นเรือกันยาวเหยียด เพื่อขึ้นเรือพื้นบ้านล่องชมบรรยากาศริมน้ำ
ส่วนอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักไม่พลาดก็คือ การเดินชมเมืองสัมผัสบรรยากาศวิถีสีสันของเมืองโบราณแห่งนี้
เมืองโบราณเฟิ่งหวงเป็นเมืองเล็กๆ หากใช้เวลาเดินเที่ยวแบบผ่านๆ แค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทั่ว แต่ถ้าหากอยากเดินเที่ยวกันแบบละเอียดละเมียดละไมชมสิ่งละอันพันละน้อย เมืองนี้มีมนต์เสน่ห์ให้สัมผัสกันล้นเหลือ โดยเฉพาะพวกชอบถ่ายรูปนี่ทั้งกลางวันและกลางคืน เมืองเฟิ่งหวงมีมุมสวยๆ เก๋ๆ และมุมคลาสสิกให้ถ่ายรูปกันมากหลาย นั่นจึงทำให้เมืองนี้มีช่างภาพทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่นแบกกล้องและอุปกรณ์มาเดินถ่ายรูปกันเพียบ รวมไปถึงสาวๆ กับสมาร์ทโฟนที่ไม่ง้อช่างภาพ เพราะเธอสามารถเซลฟีถ่ายตัวเองได้อย่างรู้มุม เชี่ยวชาญช่ำชอง
สำหรับเส้นทางเดินเที่ยวเมืองเฟิ่งหวงนั้นก็มีเส้นริมน้ำและเส้นที่ลึกถัดเข้ามาหน่อย ซึ่งเราจะได้เห็นการอนุรักษ์เก็บอาคารบ้านเรือนเก่าไว้อย่างดี เพื่อการท่องเที่ยว โดยยังคงไว้ด้วยบ้านเรือนเก่าแก่ทั้งส่วนที่สร้างอยู่ริมแม่น้ำและส่วนที่ลึกถัดเข้ามาในผืนดิน โดยเฉพาะกับ “เตี้ยวเจี่ยวโหล” บ้านเรือนโบราณยกสูงที่ปลูกเป็นแถวเรียงรายริมแม่น้ำ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของที่นี่
ขณะที่ใครจะปรับเปลี่ยน ต่อเติม หรือก่อสร้างอะไรใหม่ ก็มีการควบคุมความสูง ควบคุมให้เป็นไปตามแบบที่กำหนด เพื่อให้สอดรับกลมกลืนกับสภาพเดิมอันดูคลาสสิกเปี่ยมเสน่ห์ของรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนฟังก์ชันภายในนั้นวันนี้อาคารบ้านเรือนเหล่านั้นปรับเปลี่ยนหันมาเพื่อรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวกัน(เกือบ)หมดแล้ว ทั้งทำเป็นเกสต์เฮาต์ โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก บาร์เบียร์ เธค ร้านเหล้า ฯลฯ
นั่นก็ทำให้ตลอดเส้นทางการเดินทอดน่องท่องเฟิ่งหวงของผม ได้เห็นเสน่ห์อันมีชีวิตที่หลากหลายของเมืองเก่าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศร้านรวงการซื้อขาย พ่อค้าแม่ค้าทั้งที่ตะโกนเรียกแขกอยู่ในร้าน พวกป้าๆ ที่นั่งเย็บปักถักร้อยงานฝีมือทั้งของจริงของปลอม อยู่ตามแผงลอยริมทาง ริมน้ำ (ใครจะซื้อต้องต่อรองราคากันให้ดีๆ), เรือนำเที่ยวที่ล่องผ่านไป-มาในลำน้ำพร้อมๆ นักร้องสาวเสียงหวาน, กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มานั่งวาดรูปบ้านเมืองเก่ากันอย่างเอาจริงเอาจังตามริมฝั่งน้ำ
ส่วนในยามราตรีเมื่อแสงอาทิตย์ลาลับมืดลง ที่นี่ถูกแทนที่ด้วยแสงสียามราตรีอันคึกคักของสถานบันเทิง บาร์เบียร์ ร้านกาแฟ รวมถึงผับเธค ร้านเหล้าบางร้านที่มี่กลยุทธ์ให้สาวแม้ว สาวพื้นเมืองหน้าตาจิ้มลิ้ม มายืนเรียกแขกหน้าร้าน
นับเป็นการปรับวิถีดั้งเดิมให้สอดรับกับวิถีการท่องเที่ยวร่วมสมัย ซึ่งก็สามารถสร้างเสน่ห์ให้เฟิ่งหวงเป็นเมืองโบราณที่มากไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาไม่น้อยเลย
*****************************************
ปัจจุบันเฟิ่งหวงนอกจากจะเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวอันโดดเด่นของจีนแล้ว ยังเป็นเมืองเก่าในต่างแดนที่กำลังขึ้นชื่อมาแรงในบ้านเรา เพราะหลังจากที่สายการบินแอร์เอเชียเปิดเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) สู่ “ฉางซา” เมืองเอกของมณฑลหูหนาน วันละ 1 เที่ยวบินต่อวัน ก็ทำให้การย่อโลกระหว่างเมืองไทยกับเมืองเฟิ่งหวงคล่องตัวขึ้น โดยจากฉางซาสามารถไปเฟิ่งหวงได้อย่างสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์ รถบัส รถไฟ หรือจะไปเป็นคณะทัวร์ก็มีทัวร์ไทยนิยมเที่ยวในเส้นทางเชื่อมโยง ฉางซา-จางเจียเจี้ย-เฟิ่งหวง กันเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูเวลาตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
*****************************************
หมายเหตุ : ฟรุ้งฟริ้ง เป็นภาษาที่กำลังเป็นที่นิยมกันในโลกออนไลน์ มีความหมายคล้ายคำว่า Twinkle ในภาษาอังกฤษ ที่แปลว่า ระยิบระยับ, อลังการ, วับวาว, จรัสแสง, ส่งประกาย, เปล่งประกาย สอดรับกับบรรยากาศแห่งสีสันยามราตรีของเมืองโบราณเฟิ่งหวง
คำว่า “ฟรุ้งฟริ้ง” เชื่อว่ามีที่มาจาก “แทยอน” หนึ่งในนักร้องสาววง Girls’ Generation จากเกาหลีที่เดินทางมาร่วมงานมีตติ้งในประเทศไทย และเธอได้พูดคำว่า “ฟรุ้งฟริ้ง” เป็นหนึ่งในคำศัพท์ภาษาไทย ที่ภายหลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ซึ่งแทยอนบอกว่า ฟรุ้งฟริ้ง หมายถึงคำว่า “Twinkle” ที่ตรงกับชื่อเพลงของวง Girls’ Generation
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com