xs
xsm
sm
md
lg

ขึ้น“ประตูสวรรค์”-หลงรัก“นางจิ้งจอกขาวสาวสวย” แห่ง“จางเจียเจี้ย”/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
เมืองจางเจียเจี้ยในอ้อมกอดของขุนเขา
ชื่อเสียง ความโด่งดังของหนังเรื่อง “อวตาร”(Avatar) ของผู้กำกับมือทอง “เจมส์ คาเมรอน”ไม่เพียงส่งผลให้ “ขุนเขาจักรพรรดิ”(เทียนจื่อซาน) หรือที่ภายหลังคนนิยมเรียกกันว่า “ขุนเขาอวตาร”กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังฮอตฮิตติดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้ หากแต่หนังเรื่องนี้ยังส่งผลให้ “เมืองจางเจียเจี้ย” สถานที่ตั้งแห่งขุนเขาอวตารไอ้รับอานิสงส์มีชื่อเสียงโด่งดังตามไปด้วย

เมืองจางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ในมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองนี้นอกจากจะมีไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวอยู่ที่อุทยานแห่งชาติอู่หลิงเหยียน ที่ประกอบไปด้วย “หุบเขาอวตาร” “ลำธารแส้ม้าทอง” และ “ภาพวาดสิบลี้” ที่ผมได้เขียนบอกเล่าไปในตอนที่ผ่านมาแล้ว เมืองจางเจียเจี้ยยังมีอีก 3 ไฮไลท์น่าสนใจให้สัมผัสเที่ยวชมกัน ซึ่งทริปทัวร์ไทยมักจะไม่ค่อยพลาดด้วยประการทั้งปวง
ขุนเขาอวตารที่โด่งดังขึ้นมาจากหนังเรื่อง“อวตาร”
ล่องเรือชมถ้ำ“วังมังกรเหลือง”

ความที่คนจีนนับถือมังกร ดังนั้นหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในแหล่งท่องเที่ยวคนจีนจึงจินตนาการให้เป็นมังกร เพื่อที่จะดึงดูดให้คนมาเที่ยวเคารพสักการะ เช่นเดียวกับถ้ำ“วังมังกรเหลือง” ในเมืองจางเจียเจี้ยนี่ก็เช่นกัน

ถ้ำวังมังกรเหลือง หรือ หวงหลงต้ง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติอู่หลิงเหยียน ถ้ำวังมังกรเหลืองตั้งอยู่ภายในขุนเขา ที่มีทำเลทิวทัศน์สวยงามมาก มีสายน้ำขุนเขา และความเขียวชุ่มชื่น เพราะเป็นพื้นที่ที่เน้นในเรื่องของการอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม จึงมีการสร้างอาคารแนวกรีนมีการปลูกหญ้าเขียวขจีดูประหนึ่งกรีนพัตต์กอล์ฟไว้บนหลังคาอาคารหลัก
ลิงถือกะโหลกมนุษย์ รูปปั้นรณรงค์เลิกกินสมองลิง
ขณะที่ตรงปากทางเข้าสร้างสิ่งเตือนใจเป็นรูปลิงที่มองไกลเห็นมันนั่งครุ่นคิดถือลูกอะไรกลมๆ หะแรกผมนึกว่าเป็นลูกมะพร้าว แต่ที่ไนได้พอเข้าไปใกล้ๆ เฮ้ย!!! เจ้าลิงมันถือหัวกะโหลกคนอยู่นี่หว่า

ยาย่า ไกด์ประจำทริปบอกกับผมว่า นี่คือสิ่งที่ทางอุทยานฯต้องการสื่อด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการรณรงค์ไม่กินสมองลิง เพราะวันนี้ยังมีคนจีนส่วนหนึ่งที่ยังคงกินสมองลิงอยู่ ดังนั้นจึงทำเป็นรูปปั้นลิงถือกะโหลกคนเสียเลย เพื่อให้รู้ถึงอกเขาอกเราบ้าง
ทิวทัศน์ระเบียงทางเดินสู่ปากทางขึ้นถ้ำวังมังกรเหลือง
จากรูปปั้นอนุสาวรีย์ลิง เส้นทางเดินสู่ปากถ้ำทอดยาวผ่านการจัดภูมิทัศน์อันสวยงาม มีเก๋งจีน บ้านโบราณ สวนไม้ดอกไม้ประดับ อีกทั้งยังมีกังหันน้ำแบบโบราณจำนวนมากตั้งเรียงรายไว้ใกล้ๆปากทางเข้าถ้ำ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้พลังงานธรรมชาติ ส่วนที่ดูตรงข้ามกับคอนเซ็ปต์อนุรักษ์ก็คือการเลี้ยงเจ้าปลาซาลามานเดอร์ (Salamander)ตัวยักษ์ไว้ในบ่อเล็กๆ จนดูคล้ายกับเจ้าปลาถูกขังยังไงยังงั้น
หินดาบเงิน-ดาบทอง
หลังพ้นจากเขตกังหันก็เป็นเส้นทางขึ้นชั้นสองสู่ทางเข้าปากถ้ำ สำหรับถ้ำวังมังกรเหลืองเป็นถ้ำน้ำลอดขนาดใหญ่ โอ่โถง อลังการ มีความสูงถึง 160 เมตร ลึก 1.5 กิโลเมตร ภายในถ้ำแบ่งเป็น 4 ชั้น มีอ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง ลำธารใต้ดิน 2 สาย บึง 4 บึง ห้องโถง 13 ห้อง มีเส้นทางเดินเที่ยวชมมากมายหลายสาย โดยแบ่งเป็นส่วนเดินเที่ยวกับส่วนนั่งเรือชมถ้ำ ที่คณะเราใช้บริการทั้ง 2 ส่วน

ในส่วนเดินชมถ้ำนั้นช่วงแรกจะเป็นประตู 2 ทางให้เลือก ประตูหนึ่งเป็นประตูแห่งความสุข อีกประตูหนึ่งเป็นประตูอายุมั่นขวัญยืน ซึ่งคนจีนเชื่อว่าให้เข้าทางประตูความสุข แล้วออกทางประตูอายุมั่นขวัญยืน เพราะชีวิตคนเราเมื่อมีความสุขก็จะมีอายุมั่นขวัญยืนตามมา
หินงอกหินย้อยที่ปะดับไฟอย่างสวยงามภายในถ้ำ
เมื่อผ่านเข้าประตูความสุขเข้าไปแล้วก็จะพบกับหินงอกหินย้อยสวยๆงามๆมากหลายให้ชมไปพร้อมๆกับการจินตนาการตามที่ไกด์ยาย่าบอก ไม่ว่าจะเป็น หินรูปเต่า หินดาบเงิน-ดาบทอง หินเครื่องดนตรีจีน หินห้องรับแขก-จัดงานเลี้ยงกับหินรูปลูกสาวมังกรเต้นรำกับแฟน(ไม่รู้ใครเป็นคนคิด) นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำตกเทวดาสวรรค์ วังแก้วผลึก จุดตะโกนโชคดีที่เมื่อตะโกนไปแล้วได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาจะถือว่าโชคดี (เกือบทั้งหมดเมื่อตะโกนจะโชคดี เพราะในถ้ำมันมีเสียงสะท้อนก้องอยู่แล้ว)
เรือนำล่องชมถ้ำวังมังกรเหลือง
สำหรับในส่วนการนั่งเรือชมถ้ำนั้นจะเป็นการล่อง“แม่น้ำดนตรี”ที่มีความยาว 2,820 เมตร พาไปชมหินประหลาดรูปหมวกมังกร หอยโบราณยักษ์ลอยน้ำ สะพานเจ้าฟ้า สถานที่ปักธูป และไฮไลท์คือหินมังกร ที่มีลักษณะลำตัวมังกร มีการประดับไฟในส่วนหัว ให้ดูเป็น ตา ปาก ที่ผมดูแล้วคล้ายก็อตซิลล่ามากกว่ามังกร แต่งงานนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองและจินตนาการของแต่ละคน ซึ่งมีเสียงกระซิบมาจากคนที่เคยเที่ยวถ้ำแห่งนี้มาจนโชกโชนว่า ถ้ำวังมังกรเหลืองนั้นเป็นธรรมชาติสรรค์สร้างครึ่งหนึ่ง และเป็นงานแมนเมดมนุษย์สร้างอีกครึ่งหนึ่ง

ถ้ำประตูสวรรค์ มหัศจรรย์ภูเขาระเบิด

ความเชื่อเรื่องสวรรค์ถือเป็นอีกหนึ่งความเชื่ออันโดดเด่นของชาวจีน นั่นจึงทำให้ภูเขาหลายๆลูกในจีนมีชื่อของสวรรค์มาเกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับ “ถ้ำประตูสวรรค์”(เทียนเหมินซาน) อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองจางเจียเจี้ย
ถ้ำประตูสวรรค์ อีกหนึ่งความมหัศจรรย์แห่งขุนเขาในเมืองจีน
ถ้ำประตูสวรรค์อันที่จริงไม่ได้เป็นถ้ำหากแต่เป็นยอดเขาสูง ที่ในอดีตยอดเขาได้เกิดระเบิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดเป็นช่องประตูขนาดใหญ่ขึ้น สูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 50 เมตร ซึ่งคนจีนเรียกขานเป็นประตูสวรรค์หรือถ้ำประตูสวรรค์

การขึ้นไปเที่ยวชมประตูสวรรค์นั้น ต้องนั่งกระเช้าขึ้น-ลง ไปในเส้นทางที่มีความยาว 7.5 กม. ระหว่างทางมีวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองบ้านเมืองและขุนเขาให้ชมไปตลอด ถือเป็นบรรยากาศที่ชวนเพลินตายิ่งนัก แต่ว่ากว่าผมกับเพื่อนๆจะได้นั่งกระเช้านี่สิ ต้องยืนรอจนแข้งขาแข็งกันเลยทีเดียว เพราะวันนั้นเต็มไปด้วยมวลมหานักท่องเที่ยวที่มายืนรอขึ้นประตูสวรรค์กันมากจริงๆ
ภาพทางเดินพื้นกระจกใสที่ชาวจีนภูมิใจนำเสนอ
สำหรับจุดลงของกระเช้ามี 2 จุดหลัก จุดแรกอยู่สูงกว่า เป็นจุดชมวิวหน้าผาลอยฟ้า ที่มีไฮไลท์อันชวนตื่นตาและหวาดเสียวกับ เส้นทางเดินชมวิวเลาะเลียบผา ที่พื้นทำด้วยกระจกใส มองลงไปเห็นพื้นเบื้องล่าง ดูเสียวสะท้ายทรวงไม่น้อย
นั่งกระเช้าผ่านวิวทิวทัศน์สวยงามสู่ถ้ำประตูสวรรค์
จากนั้นถัดลงมาในจุดสองที่อยู่ต่ำกว่า เป็นจุดลงเพื่อนั่งรถที่ทางแหล่งท่องเที่ยวจัดไว้ ให้นักท่องเที่ยวนั่งปุเลงๆขึ้นไปบนเทือกเขาสูง ผ่านโค้ง 99 โค้งบนถนนเส้นทางหวาดเสียว สู่จุดชมวิวที่สามารถมองลงไปเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของแนวถนน 99 โค้งที่ขึ้นมา ตั้งอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นประตูสวรรค์
ถนน 99 โค้ง สู่ทางขึ้นถ้ำประตูสวรรค์
บันไดขึ้นสู่ประตูสวรรค์มีทั้งหมด 999 ขั้น ใครที่เดินขึ้นไปแล้วไม่เหนื่อย ผมขอคารวะ เพราะตัวผมเองแม้วันนั้นอากาศจะหนาวเย็นอีกทั้งยังมีหมอกลงหนาแน่น แต่บอกเลยว่าเหนื่อยเอามากๆต่อการเดินขึ้นสู่ประตูสวรรค์

บริเวณประตูสวรรค์เป็นช่องประตูธรรมชาติขนาดยักษ์อย่างที่บอก เคยมีการนำเครื่องบินเล็กมาบินผ่านลอดประตูสวรรค์เก็บเป็นบันทึกไว้ บนนี้ชาวจีนเชื่อว่าเป็นประตูของเหล่าทวยเทพหางสวรรค์ อีกทั้งเชื่อว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดรับพลัง จึงมีการขึ้นมาอธิษฐานขอพร
บันได 999 ขั้นสู่ประตูสวรรค์ที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ขณะที่สภาพการณ์ตามธรรมชาตินั้น ในวันที่ผมไปที่นี่มีพลังแห่งสายหมอกอันเย็นชุ่มฉ่ำมาปะทะร่าง เป็นพลังธรรมชาติที่เมื่อได้รับแล้วมันช่างสดชื่นกระไรปานนั้น

นางจิ้งจอกขาว โชว์จางอี้โหมว สุดอลังการ

นอกจากธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ในเมืองจางเจียเจี้ยยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ นั่นก็คือการแสดงศิลปวัฒนธรรม ที่มี 2 โชว์ดัง คือ โชว์“เสน่ห์หูหนาน” กับโชว์“นางพญาจิ้งจอกขาว” หรือ The Love Story Of A Woodman And A Fairy Fox
โชว์นางจิ้งจอกขาว 1 ใน 2 โชว์ขึ้นชื่อแห่งจางเจียเจี้ย
สำหรับโชว์นางจิ้งจอกขาวนั้น กำกับการแสดงโดย“จางอี้โหมว” ยอดผู้กำกับระดับโลกชาวจีน ที่สร้างชื่อมามากหลาย ทั้งในภาพยนตร์ พิธีเปิดโอลิมปิก หรือโชว์แบบมิวสิกคัลกลางแจ้ง ที่ฝากฝีมืออันยอดเยี่ยมไว้ทั้ง โชว์หลิวซานเจี่ยที่กุ้ยหลิน โชว์ที่ลี่เจียง

โชว์นางจิ้งจอกขาวเป็นการแสดงบนเวทีกลางแจ้ง กับฉากธรรมชาติของประตูสวรรค์และขุนเขาทอดยาวดูอลังการงานสร้างและเว่อร์นิดๆตามสไตล์จางอี้โหมว
อลังการงานสร้างในสไตล์จางอี้โหมว
อย่างไรก็ดีความที่โชว์ชุดนี้เป็นภาษาจีน ดังนั้นก่อนที่โชว์จะเริ่ม หากไกด์ของแต่ละคณะช่วยเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟัง มันก็จะทำให้การดูโชว์มีอรรถรสมากขึ้น เพราะเราเข้าใจและซาบซึ้งไปกับมัน โดยงานนี้ยาย่าเธอไม่พลาดที่จะบอกเรื่องย่อๆให้ฟัง ว่า โชว์นางจิ้งจอกขาว เป็นเรื่องราวความรักต่างสายพันธุ์ระหว่างคน คือ พระเอก ไอ้หนุ่มชายคนตัดฟืนผู้กตัญญู ขยันขันแข็ง และมีจิตใจดีงาม กับนางจิ้งจอกขาวที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงร่างเป็นสาวงามผู้เลอโฉม

จิ้งจอกขาวนางนี้แม้เธอถูกราชาจิ้งจอก เลือกให้เป็นราชินีจิ้งจอก แต่เธอกับมาหลงรักพระเอก คนตัดฟืน อันมามาสู่เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น วุ่นวาย และดราม่า ก่อนที่จะจบแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้ง
ทีมคอรัส กับบทเพลงเพราะๆ
โชว์ชุดนี้ใช้นักแสดงกว่า 600 คน มากไปด้วยเทคนิค แสง สี เสียง กับการดำเนินเรื่องที่กระชับ ตื่นเต้น ทำให้ดูเพลิน ไม่น่าเบื่อ ส่วนที่ผมชื่นชอบมากก็คือทีมคอรัสที่มาร้องกันสดๆข้างเวทีแบบจัดเต็ม ที่นอกจากจะฟังไพเราะเพราะพริ้งแล้วยังได้อารมณ์สุดๆ

และส่วนที่ผมชอบมากกว่าก็คือ แม่นางจิ้งจอกขาวตัวประกอบที่พอจบการแสดงแล้วเธอมายืนขายซีดีอยู่บริเวณทางออก โอ้ว...นางจิ้งจอกขาวคนนี้เธอแจ่มมาก สวย ขาว หุ่นดี(อึ๋ม สมส่วน) ถือเป็นนางจิ้งจอกขาวที่หนุ่มหลายๆคนอยากให้มาเป็นนางในดวงใจยิ่งนัก
แม้ไม่ใช่นางเอก แต่นางจิ้งจอกขาวคนนี้กลับเป็นขวัญใจช่างภาพ
ครับและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวของเมืองจางเจียเจี้ย ที่วันนี้หลายๆคนรู้จักกันในฐานะเมืองแห่งหุบเขาอวตาร ถึงขนาดวันนี้คนจีนได้เป็นสำนวนจากเดิมที่กล่าวว่า “ถ้าจะชมขุนเขาต้องไปที่หวงซาน”(เพราะเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ามีทิวทัศน์ของขุนเขาสวยงามนัก) มาเป็น

“ถ้าจะเที่ยวชมทิวทัศน์ขุนเขาต้องไปที่จางเจียเจี้ย”
*****************************************

ด้วยความมีชื่อเสียงของขุนเขา อวตาร และเมืองจางเจียเจี้ย ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ สายการบินแอร์เอเชียได้เปิดเที่ยวบิน “กรุงเทพฯ(ดอนเมือง) -ฉางชา” วันละ 1 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อเป็นฮับเดินทางต่อไปยังจางเจียเจี้ยและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆในหูหนาน เช่น เมืองโบราณ เฟิ่งหวง เป็นต้น

ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูตารางการบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น