การได้ใช้เวลาว่างกับคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือมิตรสหายที่รู้ใจ ทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่มีความสุข ถือว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางหนึ่ง
ฉันเองก็มักจะหาเวลาว่างชักชวนเพื่อนฝูงไปเดินเล่นทำกิจกรรมร่วมกันอยู่เสมอ ยิ่งถ้าได้ไปอยู่ในสถานที่สวยๆ อากาศดี มีความสงบ ก็ยิ่งมีความสุขเพิ่มมากขึ้นไปอีก
อย่างวันนี้ที่ฉันยกโขยงทั้งแก๊งพากันมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะริมน้ำ แต่ต้องบอกว่าฉันไม่ได้มาเดินเล่นเพียงแค่สวนเดียวเท่านั้นนะ วันนี้ฉันจะไปเยือนถึง 3 สวนเลยทีเดียว เพราะแต่ละที่เขาก็มีความสวยงามและบรรยากาศแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ สถานที่ตั้งของแต่ละสวนอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยานั่นเอง
เริ่มจากที่แรก “สวนหลวงพระราม 8” ที่ตั้งอยู่บริเวณใต้สะพานพระราม 8 ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งธนบุรี สวนแห่งนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับสะพานพระราม 8 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 และเปิดให้ใช้ได้ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งสะพานพระราม 8 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพระราชดำริเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรภายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
สวนหลวงพระราม 8 มีจุดเด่นอยู่ที่บรรยากาศและทิวทัศน์งดงามริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฉันเดินเล่นภายในสวนก็เห็นจริงด้วยตามนั้น เพราะนอกจากจะเดินเล่นรับลมเย็นๆ ที่พัดพามาตลอดทั้งวันแล้ว หากมองออกไปก็จะเห็นสิ่งก่อสร้างสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงข้ามได้ด้วย เช่น ป้อมพระสุเมรุ วังบางขุนพรหม และยังมองไกลได้ถึงยอดอาคารโดมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เดินชมสวนไปเรื่อยๆ ก็จะได้เห็นต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี มีดอกไม้ขึ้นแซมอยู่ในบางจุด เป็นสีสันสะดุดตา มองเห็นสะพานพระราม 8 ในอีกมุมมองหนึ่ง นอกจากที่เคยมองเห็นจากที่ไกลๆ หรือหากว่ามาที่นี่ในช่วงแดดร่มลมตก บริเวณริมแม่น้ำที่เป็นพื้นที่นันทนาการ ก็จะเห็นเหล่าคนรักสุขภาพมาออกกำลังกาย ทั้งเดินและวิ่ง ส่วนตรงมุมด้านในก็ยังมีศาลาพักผ่อนอีกด้วย
แต่นอกจากจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่สวนนี้แล้ว ที่นี่ก็ยังเป็นที่ตั้งของ “พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8” อันเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ที่ประดิษฐานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่สวนแห่งนี้ โดยที่ข้างใต้พระบรมราชานุสาวรีย์ยังจัดให้เป็นอาคารอเนกประสงค์ เป็นห้องรวบรวมพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 8 ให้เราได้เข้าไปศึกษาและร่วมกันรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
หลังจากเดินเล่นที่สวนหลวงพระราม 8 แล้ว ฉันก็ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา กลับมาที่ฝั่งพระนคร ย้ายมาที่ “สวนสันติชัยปราการ” ที่อยู่ตรงถนนพระอาทิตย์ ในบริเวณเดียวกันกับป้อมพระสุเมรุ โบราณสถานเก่าแก่ของประเทศไทย
ก่อนจะเข้าไปเดินเล่นในสวนนั้น สิ่งที่เห็นเด่นชัดมาแต่ไกลก็คือ “ป้อมพระสุเมรุ” อันเป็น 1 ใน 2 ป้อมปราการที่ยังเหลืออยู่ในกรุงเทพฯ ตัวป้อมนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แต่แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันข้าศึกตามกำแพงพระนครชั้นนอก ปัจจุบันเราสามารถชมป้อมพระสุเมรุได้เฉพาะด้านนอกเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เดินขึ้นไปด้านบน
กลับมาที่สวนสันติชัยปราการ สวนแห่งนี้มีชื่อที่มีความหมายว่า “มีปราการที่เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของสันติภาพ” โดยได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคราวที่มีการบูรณะป้อมพระสุเมรุและปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ ในปี พ.ศ. 2542
ภายในสวนสันติฯ นอกจากจะมีต้นไม้ ดอกไม้ และสนามหญ้าเขียวขจีให้เข้ามาพักผ่อนแล้ว ที่นี่ก็ยังมีจุดน่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น พระที่นั่งสันติชัยปราการ ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยดั้งเดิม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดูโดดเด่นเป็นสง่า
หรือตรงริมน้ำที่เคยเป็นป่าชายเลน ก็มีต้นลำพูขึ้นอยู่ แต่จะบอกว่าขึ้นเองก็คงไม่ใช่ เพราะต้นลำพูเก่าแก่ต้นเดิมนั้นตายไปแล้ว จะเหลือก็เพียงต้นลำพูอ่อนๆ ที่ถูกนำมาปลูกทดแทนค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละน้อย ซึ่งก็ต้องเฝ้าดูต่อไปว่าจะเติบใหญ่งดงามเพียงใด
สวนสันติฯ ที่แม้ว่าจะมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับสวนสาธารณะอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร แต่ที่นี่ก็ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นหน้าตาให้แก่กรุงเทพฯ ได้ เพราะฉันลองสังเกตดูแล้วว่า นอกจากจะมีคนไทยที่มาเดินเล่นหรือนั่งพักผ่อน ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาทำกิจกรรมกันด้วย
จากสวนสันติชัยปราการ หากเดินลัดเลาะริมถนนไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึง “สวนนาคราภิรมย์” แต่ฉันว่าต้องเป็นคนที่มีกำลังวังชาพอสมควร และต้องเดินในช่วงแดดร่มลมเย็นด้วยจึงจะไปถึง ส่วนตัวฉันนั้นขอใช้บริการขนส่งมวลชน ยกโขยงกันไปดีกว่า
ที่ “สวนนาคราภิรมย์” ก็เป็นสวนสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน แล้วก็เป็นสวนสวยน้องใหม่ในแถบนี้ เพราะเพิ่งเปิดให้เข้าไปเดินเล่นกันเมื่อปี พ.ศ. 2553 นี่เอง
เดิมนั้นพื้นที่ตรงนี้เป็นที่ตั้งของกรมการค้าภายในและองค์การคลังสินค้า แต่ต่อมาได้มีการรื้อถอนอาคารและปรับภูมิทัศน์ให้เป็นพื้นที่โล่งสีเขียว เพื่อเปิดมุมมองสู่พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม จากฝั่งพระนคร และเปิดมุมมองสู่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จากฝั่งธนบุรี
ส่วนชื่อของสวนแห่งนี้ก็ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นกัน โดยมีความหมายว่า “สวนเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่งของชาวพระนคร”
ฉันคิดว่าชื่อของสวนแห่งนี้นั้นมีความหมายตรงตัวจริงๆ เพราะพื้นที่โล่งกว้างนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่งดงามของโค้งน้ำเจ้าพระยา ส่วนพื้นที่ใช้สอยก็แบ่งสันปันส่วนได้ดี มีทั้งสถานที่ออกกำลังกาย จุดนั่งเล่นชมวิวรับลมริมน้ำ และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนที่มาที่นี่ได้ใช้สอย
หากใครจะมาเที่ยวสวนสาธารณะแบบฉัน ก็ขอแนะนำว่าน่าจะมาตอนบ่ายแก่ๆ หรือแดดร่มๆ หน่อย มาเดินเล่นออกกำลังกายให้คลายเมื่อย เสร็จแล้วก็นั่งพักผ่อนรับลมแม่น้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจ หรือจะซื้อน้ำซื้อขนมมานั่งกินเล่นๆ (แต่ถ้ากินเสร็จแล้วก็ช่วยรักษาความสะอาดกันด้วยนะ) รอชมพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีไล่ระดับไป บรรยากาศสุดยอดแบบนี้ช่างมีความสุขเสียจริงๆ เลย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com