โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
สมุทรปราการเมืองใกล้กรุงที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น สถานต่างอากาศบางปู ตลาดน้ำบางพลี พระสมุทรเจดีย์ แต่ที่ฉันจะแนะนำในวันนี้คือ “บ้านสาขลา” ที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการชูให้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเด่นของเมืองปากน้ำ ภายใต้สโลแกน “สมุทรปราการ แล้วคุณจะแปลกใจ”
บ้านสาขลา ตั้งอยู่บริเวณริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ สมัยก่อนเรียกว่า “บ้านสาวกล้า” ที่เรียกว่า บ้านสาวกล้า เพราะสมัยสงคราม 9 ทัพ สตี เด็ก และคนชรา ร่วมกันจับอาวุธ ต่อสู้กับพม่าอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องแหล่งเสบียงสำคัญไทยในยามที่ชายชาติทหารในหมู่บ้านต้องไปออกศึกสงคราม แล้วได้รับชัยชนะทำให้กองลาดตระเวนของพม่าต้องถอยทัพกลับไป
ตั้งแต่นั้นมาผู้คนจึงยกย้องและเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านสาวกล้า”แต่ได้เรียกเพี้ยนมา จนกลายมาเป็น “บ้านสาขลา” ชุมชนบ้านสาขลาแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของชาวประมงเก่าแก่ริมปากอ่าวไทย แห่งสมุทรปราการที่มีร่องรองของประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรืออยุธยาตอนต้น
วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่อยู่กันอย่างเรียบง่ายแบบชนบทดั้งเดิมซึ่งแตกต่างจากคนเมือง ดั้งนั้นจึงมีเสน่ห์และกลิ่นอายของความเป็นไทยและวิถีชีวิตที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากหลงเหลืออยู่ โดยชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะมีอาชีพทำประมงเลี้ยง กุ้ง หอย ปู ปลา หรือที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกว่า “วังกุ้ง” นอกจากนี้ยังทำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ทะเล ไม่ว่าจะเป็น กะปิ กุ้งแห้ง กุ้งเหยียด อีกด้วย
วัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านที่นี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นประเพณีแข่งเรือ และประกวดเรือประเภทต่างๆในช่วงออกพรรษา หรือจะเป็นประเพณี “แห่หลวงพ่อโต” ซึ่งจะแห่หลวงพ่อโตไปตามลำคลองสรรพสามิต เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชาในช่วงออกพรรษาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ชาวบ้านสาขลายังอนุรักษ์ประเพณีการละเล่นต่างๆ อย่าง การเล่นสะบ้า การเข้าทรงผีกระด้ง เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามของไทยไว้ไม่ให้สูญหาย
สำหรับที่แรกที่ฉันจะพาไปซึมซับกับประวัติศาสตร์ก็คือ “วัดสาขลา” ซึ่งสันนิฐานว่าเป็นวัดที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อคราวรบชนะพม่า เมื่อเข้ามาในวัดแล้วจะเห็นเจดีย์เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมคลอง มีลักษณะเอียงซึ่งมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ก็คือ “พระปรางค์เอียง” ซึ่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเกิดการทรุดตัวของแผ่นดินจากน้ำท่วมขัง ทำให้พระปรางค์เอียงแต่ก็มิได้โค่นล้มแต่อย่างใด
ภายในวัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย ซึ่งมีความงดงามและเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านสาขลาเป็นอย่างมาก
เมื่อสักการะหลวงพ่อโตแล้ว สิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้คือ การลอดโบสถ์ ซึ่งการลอดโบสถ์นั้นมีความเชื่อว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเองโดยการลอดโบสถ์นั้นจะต้อง รอดด้วยกัน 3 วัด และการลอดโบสถ์แต่ละวัดต้องลอดเป็นจำนวน 3 รอบ ในแต่ละรอบนั้นต้องปิดทองที่ลูกนิมิตเอกที่อยู่ใต้โบสถ์หนึ่งครั้ง จึงจะถือว่าเป็นการลอดโบสถ์ที่สมบูรณ์แบบ และได้ผล
วัดสาขลาแห่งนี้มีทางเข้าลอดโบสถ์เป็นซุ้มพระราหูดูน่าเกรงขาม ซึ่งพระราหูนั้นก็แสดงถึงการปัดเป่าและป้องกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อได้ลอดซุ้มประตูมาแล้วจะพบกับ ลูกนิมิต ลูกเอก ทำจากศิลาแลงอายุหลายร้อยปี มีลักษณะเป็นทรงเหลี่ยม ซึ่งมีลักษณะต่างจากวัดอื่นๆ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีช่างฝีมือในการทำจึงได้นำศิลาแลงมาใช้เป็นลูกนิมิต ลูกนิมิตที่วัดสาขลาแห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมด 9 ลูก ซึ่งลูกเอกนั้นถูกวางไว้ใต้โบสถ์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะกัน
เมื่อเดินไปตามทางเดินจะพบกับ พระบัวเข็ม ซึ่งประดิษฐานอยู่ท่ามกลางเหล่าดอกบัวมากมาย ซึ่งสาธุชนสามารถมาลอยบัวขอพรพระบัวเข็มได้อีกด้วย ส่วนด้านข้างของพระบัวเข็มนั้นมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังให้ได้สักการะมากมายไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อโต หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน เป็นต้น
ถัดมาจะพบกับ “พระสองพี่น้อง” มีลักษณะครึ่งองค์หันหลังชนกัน เป็นปางห้ามญาติ และปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยาให้ได้ทำบุญตามศรัทธากันด้วย นอกจากนี้ก่อนที่จะออกประตูไปจะพบกับ “ฐานหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ขอพรกันอีกด้วย จากนั้นให้ลอดท้องช้างออกจากใต้โบสถ์เพื่อความเป็นมงคล
ตามทางเดินนั้นมีสิ่งศักดิ์ให้ได้สักการะ เช่น แม่นางไม้ เทวดาประจำวันเกิด บรมครูปู่ชีวกโกมารภัจ และนอกจากนี้ยังมี สถานที่ๆ น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์เทพศรีสาขลา เป็นที่รวบรวมเอามหาเทพจากศาสนาฮินดูมาไว้ที่นี่ เพราะเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเคยศึกษาเล่าเรียนได้ศึกษาเรื่องของศาสนาฮินดูมาก่อน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวทางศาสนาที่สวยงามและยังมีองค์มหาเทพมากมายไม่ว่าจะเป็น พระพิฆเนศปางต่างๆ พระตรีมูรติ พระแม่ธรณีมวยผม พญาครุฑ และอื่นๆ อีกมามาย
ห้องถัดมาคือห้องพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศไทย ที่รวบรวมเอาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วทุกมุมของประเทศไทยมาไว้ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อคูณ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่แหวน หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อแช่ม เป็นต้น ซึ่งพระเกจิอาจารย์เหล่านี้เป็นพระที่ชาวบ้านร่วมกันจัดสร้างถวายวัดด้วยจิตศรัทธาทั้งสิ้น
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จะพบกับเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้น ด้านล่างประดับด้วยรูปวิถีชีวิตเก่าๆของชาวบ้านในแถบนั้นนับสิบๆรูป ดูแล้วทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ขึ้นมาทันที เมื่อเดินขึ้นบันไดไม้ไปบนชั้นที่สองจะพบกับ พิพิธภัณฑ์บ้านสาขลา ซึ่งด้านในเป็นที่เก็บรวบรวมของเก่าหายาก ได้แก่ ถ้วย จาน ชาม โบราณ พระพุทธรูป และรวบรวมเอาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้การหาเลี้ยงชีพของชาวบ้านในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็น ตะคร้อง สลักแทงปู ตะเกียงแก๊ส ไห เป็นต้น
ใกล้กันเป็นเรือนไม้สองชั้นขนาดย่อมเป็นเรือนประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และพระพุทธรูปไม้ปางห้ามสมุทรที่ถูกสายฟ้าผ่าเมื่อครั้งประดิษฐานบนพระปรางค์เอียงอีกด้วย
หลังจากที่อิ่มบุญกันแล้วก็มาชมศิลปะฝีมือชาวบ้านสาขลากันบ้าง นั่นก็คือ “ปูรามเกียรติ์” ซึ่งเป็นสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาว เลยทีเดียว “ปูรามเกียรติ์” ที่ว่านี้คือ ศิลปะภูมิปัญญาชาวบ้านประกอบกับฝีมือทางด้านศิลปะที่วิจิตรบรรจง โดยการนำเอากระดองปูทะเลที่ทิ้งแล้วมาตากแห้งจากนั้นนำมาเคลือบแล้วทำการวาดรูปรามเกียรติ์ลงบนกระดองปูให้สวยงาม ซึ่งราคาจะมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันเลยทีเดียว
จากนั้นเราแวะไปชิม“กุ้งเหยียด” ซึ่งว่ากันว่าถ้าใครไม่กินถือว่ามาไม่ถึง เราจึงต้องแวะชิมสักหน่อย กุ้งเหยียดถือเป็นของขึ้นชื่อของบ้านสาขลาอีกอย่างที่จะพลาดไม่ได้ ด้วยคุณภาพการันตีสินค้า OTOP ระดับ 3 ดาว ทำให้ต้องลองมาชิมสักครั้ง กุ้งเหยียดนั้นภูมิปัญญาของชาวบ้าน โดยเริ่มจากการทำกินกันเองในครัวเรือน แล้วพอถูกใจในรสชาติจึงได้สอนเพื่อนบ้านทำจนแพร่หลายมจนถึงปัจจุบัน
สำหรับอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่บ้านสาขลาแห่งนี้นั่นก็คือการนั่งเรือเที่ยวชมธรรมชาติ ชมป่าชายเลนบริเวณปากน้ำที่เป็นทางออกเชื่อมต่อกับทะเล โดยเรือจะแล่นไปตามลำน้ำซึ่งเป็นคลองสายหลักของหมู่บ้าน
สองข้างทางจะมีต้นจากขึ้นอย่างหนาแน่น และมีบ้านเรือนของชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ริมน้ำโดยใช้คันกั้นดินเพื่อเป็นการป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่ง แต่ที่น่าสังเกตคือตามชายฝั่งจะมีต้นโกงกางขึ้นน้อยจนนับต้นได้จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าจะมีปัญหาของการกัดเซาะชายฝั่งเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างเพราะต้นโกงกางถือเป็นพืชที่สำคัญสำหรับป่าชายเลนเนื่องจากช่วยควบคุมการกัดเซาะและพังทลาย แล้วยังเป็นแนวกำบังกระแสน้ำจากปากแม่น้ำได้อีกด้วย
ทัศนียภาพที่แปลกตาอีกอย่างของที่นี่คือ เมื่อเรือแล่นไปตามแม่น้ำจะพบกับเสาไฟฟ้าที่เป็นเหมือนทางเดินน้ำตลอดทางเปรียบเสมือนกำลังแล่นอยู่บนถนนที่เกิดการน้ำท่วมก็ไม่ปาน หลังจากแล่นเรือมาสักพักจะพบกับนกกระสาที่บินมาหากินตามชายฝั่งซึ่งบ่งบอกว่าสถานที่นี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ไม่น้อย เมื่อเรือแล่นมาเรื่อยๆ จะพบกับ นากุ้งและนาปู หรือที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกกันว่า “วังกุ้ง” “วังปู” ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในหมู่บ้านสาขลาเลยก็ว่าได้
เมื่อเรือแล่นมาจนถึงปากอ่าวจะพบกับทะเลอ่าวไทยไกลสุดตาที่มีเสาไฟฟ้าเรียงเป็นแนวยาวเต็มพื้นที่ ที่มีลักษณะเป็นแบบนี้เนื่องจากเกิดการกัดเซาะจากน้ำทะเล ทำให้แผ่นดินจำนวนมากหายไปกับน้ำ จึงทำให้ชาวบ้านต้องล่นถอยออกมาอยู่ในเมือง ส่วนชาวบ้านที่อยู่ในแถบนี้ก็มีแค่ชาวบ้านที่เลี้ยงกุ้งและหอยเท่านั้น จึงนับเป็นสิ่งแปลกตาที่น่ามาชมแห่งบ้านสาขลาที่รอให้ผู้สนใจได้มาสัมผัสเที่ยวชมกัน กับมนต์เสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
*****************************************
ที่บ้านสาขลา ยังมีตลาดโบราณบ้านสาขลาซึ่งจะเปิดทุกวัน เสาร์ - อาทิตย์ รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสกับบรรยากาศและวิถีชีวิตชาวบ้านอีกด้วย สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานกรุเทพฯ โทร.0 2250 5500 หรือที่สำนักงาน อบต.นาเกลือ โทร.0 2819 5090
ส่วนผู้ที่สนใจจะล่องเรือไปสัมผัสธรรมชาติ ชมทิวทัศน์ ที่บ้านสาขลามีเรือไว้บริการ สนนราคาอยู่ที่ลำละ 300 - 400 บาท จุได้ประมาณ 10 คน โดยเรือนั้นจะพาไปชม วังปู วังกุ้ง และบริเวณปากอ่าว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำและกระแสลมเวลานั้นว่าจะเอื้อต่อการชมได้มากน้อยเพียงใด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
สมุทรปราการเมืองใกล้กรุงที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น สถานต่างอากาศบางปู ตลาดน้ำบางพลี พระสมุทรเจดีย์ แต่ที่ฉันจะแนะนำในวันนี้คือ “บ้านสาขลา” ที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการชูให้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเด่นของเมืองปากน้ำ ภายใต้สโลแกน “สมุทรปราการ แล้วคุณจะแปลกใจ”
บ้านสาขลา ตั้งอยู่บริเวณริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ สมัยก่อนเรียกว่า “บ้านสาวกล้า” ที่เรียกว่า บ้านสาวกล้า เพราะสมัยสงคราม 9 ทัพ สตี เด็ก และคนชรา ร่วมกันจับอาวุธ ต่อสู้กับพม่าอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องแหล่งเสบียงสำคัญไทยในยามที่ชายชาติทหารในหมู่บ้านต้องไปออกศึกสงคราม แล้วได้รับชัยชนะทำให้กองลาดตระเวนของพม่าต้องถอยทัพกลับไป
ตั้งแต่นั้นมาผู้คนจึงยกย้องและเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านสาวกล้า”แต่ได้เรียกเพี้ยนมา จนกลายมาเป็น “บ้านสาขลา” ชุมชนบ้านสาขลาแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของชาวประมงเก่าแก่ริมปากอ่าวไทย แห่งสมุทรปราการที่มีร่องรองของประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรืออยุธยาตอนต้น
วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่อยู่กันอย่างเรียบง่ายแบบชนบทดั้งเดิมซึ่งแตกต่างจากคนเมือง ดั้งนั้นจึงมีเสน่ห์และกลิ่นอายของความเป็นไทยและวิถีชีวิตที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากหลงเหลืออยู่ โดยชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะมีอาชีพทำประมงเลี้ยง กุ้ง หอย ปู ปลา หรือที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกว่า “วังกุ้ง” นอกจากนี้ยังทำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ทะเล ไม่ว่าจะเป็น กะปิ กุ้งแห้ง กุ้งเหยียด อีกด้วย
วัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านที่นี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นประเพณีแข่งเรือ และประกวดเรือประเภทต่างๆในช่วงออกพรรษา หรือจะเป็นประเพณี “แห่หลวงพ่อโต” ซึ่งจะแห่หลวงพ่อโตไปตามลำคลองสรรพสามิต เพื่อให้ประชาชนได้สักการบูชาในช่วงออกพรรษาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ชาวบ้านสาขลายังอนุรักษ์ประเพณีการละเล่นต่างๆ อย่าง การเล่นสะบ้า การเข้าทรงผีกระด้ง เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามของไทยไว้ไม่ให้สูญหาย
สำหรับที่แรกที่ฉันจะพาไปซึมซับกับประวัติศาสตร์ก็คือ “วัดสาขลา” ซึ่งสันนิฐานว่าเป็นวัดที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อคราวรบชนะพม่า เมื่อเข้ามาในวัดแล้วจะเห็นเจดีย์เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมคลอง มีลักษณะเอียงซึ่งมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ก็คือ “พระปรางค์เอียง” ซึ่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเกิดการทรุดตัวของแผ่นดินจากน้ำท่วมขัง ทำให้พระปรางค์เอียงแต่ก็มิได้โค่นล้มแต่อย่างใด
ภายในวัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย ซึ่งมีความงดงามและเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านสาขลาเป็นอย่างมาก
เมื่อสักการะหลวงพ่อโตแล้ว สิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้คือ การลอดโบสถ์ ซึ่งการลอดโบสถ์นั้นมีความเชื่อว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเองโดยการลอดโบสถ์นั้นจะต้อง รอดด้วยกัน 3 วัด และการลอดโบสถ์แต่ละวัดต้องลอดเป็นจำนวน 3 รอบ ในแต่ละรอบนั้นต้องปิดทองที่ลูกนิมิตเอกที่อยู่ใต้โบสถ์หนึ่งครั้ง จึงจะถือว่าเป็นการลอดโบสถ์ที่สมบูรณ์แบบ และได้ผล
วัดสาขลาแห่งนี้มีทางเข้าลอดโบสถ์เป็นซุ้มพระราหูดูน่าเกรงขาม ซึ่งพระราหูนั้นก็แสดงถึงการปัดเป่าและป้องกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อได้ลอดซุ้มประตูมาแล้วจะพบกับ ลูกนิมิต ลูกเอก ทำจากศิลาแลงอายุหลายร้อยปี มีลักษณะเป็นทรงเหลี่ยม ซึ่งมีลักษณะต่างจากวัดอื่นๆ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีช่างฝีมือในการทำจึงได้นำศิลาแลงมาใช้เป็นลูกนิมิต ลูกนิมิตที่วัดสาขลาแห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมด 9 ลูก ซึ่งลูกเอกนั้นถูกวางไว้ใต้โบสถ์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะกัน
เมื่อเดินไปตามทางเดินจะพบกับ พระบัวเข็ม ซึ่งประดิษฐานอยู่ท่ามกลางเหล่าดอกบัวมากมาย ซึ่งสาธุชนสามารถมาลอยบัวขอพรพระบัวเข็มได้อีกด้วย ส่วนด้านข้างของพระบัวเข็มนั้นมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังให้ได้สักการะมากมายไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อโต หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน เป็นต้น
ถัดมาจะพบกับ “พระสองพี่น้อง” มีลักษณะครึ่งองค์หันหลังชนกัน เป็นปางห้ามญาติ และปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยาให้ได้ทำบุญตามศรัทธากันด้วย นอกจากนี้ก่อนที่จะออกประตูไปจะพบกับ “ฐานหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ขอพรกันอีกด้วย จากนั้นให้ลอดท้องช้างออกจากใต้โบสถ์เพื่อความเป็นมงคล
ตามทางเดินนั้นมีสิ่งศักดิ์ให้ได้สักการะ เช่น แม่นางไม้ เทวดาประจำวันเกิด บรมครูปู่ชีวกโกมารภัจ และนอกจากนี้ยังมี สถานที่ๆ น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์เทพศรีสาขลา เป็นที่รวบรวมเอามหาเทพจากศาสนาฮินดูมาไว้ที่นี่ เพราะเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเคยศึกษาเล่าเรียนได้ศึกษาเรื่องของศาสนาฮินดูมาก่อน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวทางศาสนาที่สวยงามและยังมีองค์มหาเทพมากมายไม่ว่าจะเป็น พระพิฆเนศปางต่างๆ พระตรีมูรติ พระแม่ธรณีมวยผม พญาครุฑ และอื่นๆ อีกมามาย
ห้องถัดมาคือห้องพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศไทย ที่รวบรวมเอาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วทุกมุมของประเทศไทยมาไว้ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อคูณ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่แหวน หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อแช่ม เป็นต้น ซึ่งพระเกจิอาจารย์เหล่านี้เป็นพระที่ชาวบ้านร่วมกันจัดสร้างถวายวัดด้วยจิตศรัทธาทั้งสิ้น
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จะพบกับเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้น ด้านล่างประดับด้วยรูปวิถีชีวิตเก่าๆของชาวบ้านในแถบนั้นนับสิบๆรูป ดูแล้วทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ขึ้นมาทันที เมื่อเดินขึ้นบันไดไม้ไปบนชั้นที่สองจะพบกับ พิพิธภัณฑ์บ้านสาขลา ซึ่งด้านในเป็นที่เก็บรวบรวมของเก่าหายาก ได้แก่ ถ้วย จาน ชาม โบราณ พระพุทธรูป และรวบรวมเอาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้การหาเลี้ยงชีพของชาวบ้านในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็น ตะคร้อง สลักแทงปู ตะเกียงแก๊ส ไห เป็นต้น
ใกล้กันเป็นเรือนไม้สองชั้นขนาดย่อมเป็นเรือนประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และพระพุทธรูปไม้ปางห้ามสมุทรที่ถูกสายฟ้าผ่าเมื่อครั้งประดิษฐานบนพระปรางค์เอียงอีกด้วย
หลังจากที่อิ่มบุญกันแล้วก็มาชมศิลปะฝีมือชาวบ้านสาขลากันบ้าง นั่นก็คือ “ปูรามเกียรติ์” ซึ่งเป็นสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาว เลยทีเดียว “ปูรามเกียรติ์” ที่ว่านี้คือ ศิลปะภูมิปัญญาชาวบ้านประกอบกับฝีมือทางด้านศิลปะที่วิจิตรบรรจง โดยการนำเอากระดองปูทะเลที่ทิ้งแล้วมาตากแห้งจากนั้นนำมาเคลือบแล้วทำการวาดรูปรามเกียรติ์ลงบนกระดองปูให้สวยงาม ซึ่งราคาจะมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันเลยทีเดียว
จากนั้นเราแวะไปชิม“กุ้งเหยียด” ซึ่งว่ากันว่าถ้าใครไม่กินถือว่ามาไม่ถึง เราจึงต้องแวะชิมสักหน่อย กุ้งเหยียดถือเป็นของขึ้นชื่อของบ้านสาขลาอีกอย่างที่จะพลาดไม่ได้ ด้วยคุณภาพการันตีสินค้า OTOP ระดับ 3 ดาว ทำให้ต้องลองมาชิมสักครั้ง กุ้งเหยียดนั้นภูมิปัญญาของชาวบ้าน โดยเริ่มจากการทำกินกันเองในครัวเรือน แล้วพอถูกใจในรสชาติจึงได้สอนเพื่อนบ้านทำจนแพร่หลายมจนถึงปัจจุบัน
สำหรับอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่บ้านสาขลาแห่งนี้นั่นก็คือการนั่งเรือเที่ยวชมธรรมชาติ ชมป่าชายเลนบริเวณปากน้ำที่เป็นทางออกเชื่อมต่อกับทะเล โดยเรือจะแล่นไปตามลำน้ำซึ่งเป็นคลองสายหลักของหมู่บ้าน
สองข้างทางจะมีต้นจากขึ้นอย่างหนาแน่น และมีบ้านเรือนของชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ริมน้ำโดยใช้คันกั้นดินเพื่อเป็นการป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่ง แต่ที่น่าสังเกตคือตามชายฝั่งจะมีต้นโกงกางขึ้นน้อยจนนับต้นได้จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าจะมีปัญหาของการกัดเซาะชายฝั่งเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างเพราะต้นโกงกางถือเป็นพืชที่สำคัญสำหรับป่าชายเลนเนื่องจากช่วยควบคุมการกัดเซาะและพังทลาย แล้วยังเป็นแนวกำบังกระแสน้ำจากปากแม่น้ำได้อีกด้วย
ทัศนียภาพที่แปลกตาอีกอย่างของที่นี่คือ เมื่อเรือแล่นไปตามแม่น้ำจะพบกับเสาไฟฟ้าที่เป็นเหมือนทางเดินน้ำตลอดทางเปรียบเสมือนกำลังแล่นอยู่บนถนนที่เกิดการน้ำท่วมก็ไม่ปาน หลังจากแล่นเรือมาสักพักจะพบกับนกกระสาที่บินมาหากินตามชายฝั่งซึ่งบ่งบอกว่าสถานที่นี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ไม่น้อย เมื่อเรือแล่นมาเรื่อยๆ จะพบกับ นากุ้งและนาปู หรือที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกกันว่า “วังกุ้ง” “วังปู” ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในหมู่บ้านสาขลาเลยก็ว่าได้
เมื่อเรือแล่นมาจนถึงปากอ่าวจะพบกับทะเลอ่าวไทยไกลสุดตาที่มีเสาไฟฟ้าเรียงเป็นแนวยาวเต็มพื้นที่ ที่มีลักษณะเป็นแบบนี้เนื่องจากเกิดการกัดเซาะจากน้ำทะเล ทำให้แผ่นดินจำนวนมากหายไปกับน้ำ จึงทำให้ชาวบ้านต้องล่นถอยออกมาอยู่ในเมือง ส่วนชาวบ้านที่อยู่ในแถบนี้ก็มีแค่ชาวบ้านที่เลี้ยงกุ้งและหอยเท่านั้น จึงนับเป็นสิ่งแปลกตาที่น่ามาชมแห่งบ้านสาขลาที่รอให้ผู้สนใจได้มาสัมผัสเที่ยวชมกัน กับมนต์เสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
*****************************************
ที่บ้านสาขลา ยังมีตลาดโบราณบ้านสาขลาซึ่งจะเปิดทุกวัน เสาร์ - อาทิตย์ รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสกับบรรยากาศและวิถีชีวิตชาวบ้านอีกด้วย สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานกรุเทพฯ โทร.0 2250 5500 หรือที่สำนักงาน อบต.นาเกลือ โทร.0 2819 5090
ส่วนผู้ที่สนใจจะล่องเรือไปสัมผัสธรรมชาติ ชมทิวทัศน์ ที่บ้านสาขลามีเรือไว้บริการ สนนราคาอยู่ที่ลำละ 300 - 400 บาท จุได้ประมาณ 10 คน โดยเรือนั้นจะพาไปชม วังปู วังกุ้ง และบริเวณปากอ่าว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำและกระแสลมเวลานั้นว่าจะเอื้อต่อการชมได้มากน้อยเพียงใด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com