เดินทางมายังภาคอีสานทีไร “ตะลอนเที่ยว” มักจะได้ความประทับจากการได้สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจ ยังได้เจอกับผู้คนที่น่ารักและเป็นมิตร อย่างในทริปนี้ “ตะลอนเที่ยว” เดินทางมาท่องเที่ยวแบบผู้หญิงๆ กับโครงการ “Lady Journey…Go Green เที่ยวใส่ใจ หัวใจสีเขียว” ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ร่วมกันจัดขึ้นพาสาวๆ (และหนุ่มๆ ด้วยเช่นกัน) ไปสัมผัสเสน่ห์อีสาน ในเส้นทาง “เที่ยวเมืองชายโขง หนองคาย-บึงกาฬ” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค โดยครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้ทั้งมาไหว้พระและเกจิดังของภาคอีสาน ได้ชมความงดงามริมน้ำโขง และชมธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของป่าเขาและน้ำตกอีกด้วย
เริ่มต้นเส้นทางท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคายด้วยความเป็นสิริมงคลที่ “วัดหินหมากเป้ง” ในอำเภอศรีเชียงใหม่ วัดแห่งนี้เป็นสถานปฏิบัติธรรมของพระราชนิโรธรังสีฯ หรือหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เกจิชื่อดังของภาคอีสาน ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของภิกษุสงฆ์ แม่ชี และผู้แสวงบุญทั้งหลาย ตัววัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ชื่อของวัดหินหมากเป้งมาจากหินสามก้อนซึ่งมีลักษณะคล้ายตุ้มเครื่องชั่งทองคำสมัยเก่า ซึ่งเรียกว่าเต็ง หรือเป้งยอย ซึ่งตั้งเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำโขง แต่หากใครอยากเห็นต้องข้ามไปอยู่ทางฝั่งลาวแล้วมองกลับมายังฝั่งไทยจึงจะเห็น
ภายในวัดหินหมากเป้งมีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ถึงหลวงปู่เทสก์หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งภายในวิหารที่มีคนมากราบไหว้ตลอดทั้งวัน และ “เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระราชนิโรธรังสีฯ” ซึ่งภายในเจดีย์บรรจุอัฐิของหลวงปู่เทสก์ มีรูปหล่อสำริดหลวงปู่เทสก์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่จัดแสดงเครื่องอัฐบริขาร ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีอยู่ภายในตู้ ให้ท่านผู้สนใจได้เข้าศึกษาเยี่ยมชมอีกด้วย
“วัดผาตากเสื้อ” ใน อ.สังคม เป็นอีกวัดหนึ่งที่ต้องบอกว่าห้ามพลาด เพราะนอกจากจะได้มาไหว้พระทำบุญแล้ว ยังจะได้มาชมวิวแม่น้ำโขงในมุมที่งดงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งด้วย วัดแห่งนี้เดิมชื่อวัดถ้ำพระ หลวงปู่เพชร ปะทีโป ได้เดินทางมาปฏิบัติธรรมบริเวณถ้ำพระและได้ก่อตั้งวัดผาตากเสื้อขึ้น เมื่อปี 2477 และต่อมาได้อัญเชิญพระสารีริกธาตุมาประดิษฐานเมื่อปี 2550 เป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
นอกจาก “ตะลอนเที่ยว” จะได้เดินขึ้นบันไดพญานาคไปกราบพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปด้านบนแล้ว ก็ยังได้มาชมทิวทัศน์ที่จุดชมวิวของวัด บริเวณนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 550 เมตร มองจากบนผาลงมามองเห็นแม่น้ำโขงวาดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำกั้นระหว่างตัวอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย กับอีกฟากหนึ่งเป็นประเทศลาว ความสวยงามที่ไม่เหมือนใครคือกลางแม่น้ำมีเกาะขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขงช่วงนี้คล้ายแยกเป็นรูป Y กลับด้าน เป็นจุดชมวิวที่นั่งชมได้นานๆ ไม่มีเบื่อ
ไม่ไกลจากวัดผาตากเสื้อเท่าไรนัก เป็นที่ตั้งของ “วัดถ้ำศรีมงคล” หรือ “วัดถ้ำดินเพียง” ที่มีถ้ำดินเพียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันน่าพิศวง ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำใต้ดิน ปากทางเข้าอยู่เสมอดินในระดับปกติ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าถ้ำดินเพียง และบ้างยังเรียกชื่อว่า “ถ้ำพญานาค” ตามความเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางสู่เมืองพญานาค และยังเป็นทางเดินใต้ลำโขงที่เชื่อมไปถึงเมืองเวียงจันทน์ได้ เล่ากันว่าในถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางที่พระธุดงด์จากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย เป็นถ้ำที่ต้องเป็นพระผู้ทรงศีลอันแก่กล้าเท่านั้นจึงจะเห็นเส้นทางและเดินข้ามมาได้โดยปลอดภัย
เมื่อ “ตะลอนเที่ยว” ลงไปในถ้ำ ก็พบว่าภายในนั้นดูลึกลับน่าพิศวงไม่น้อย ภายในถ้ำไม่มีหินงอกหินย้อย แต่กลับเต็มไปด้วยโพรง ซอก ซอย อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินนับเป็นพันๆ ช่อง บ้างก็แคบบ้างก็กว้าง ทั้งยังมีสายน้ำใต้ดินไหลอยู่ตามพื้นถ้ำอีกด้วย และการสำรวจถ้ำของเราก็ต้องใช้วิธีย่อ หมอบ คลาน มุด ลอดไปตามช่องเหล่านั้น บางช่วงที่แคบจนน่าตกใจก็ต้องใช้วิธีนอนราบเถือกไถไปราวกับเป็นงูเลยทีเดียว นับเป็นการเที่ยวถ้ำที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยเรื่องราวความเชื่อที่น่าประทับใจ
และวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งหากได้มาเยือนหนองคายก็คือ “วัดโพธิ์ชัย” ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระใส” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวหนองคาย โดยหลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว มีตำนานการสร้างว่า พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้างได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ คือพระสุก พระใส และพระเสริม ประดิษฐานไว้ที่อาณาจักรล้านช้าง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังจากที่ไทยยกทัพมาปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อสำเร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสามองค์มาฝั่งไทยโดยประดิษฐานมาบนแพไม้ไผ่ล่องมาตามแม่น้ำงึม เพื่อจะมาเมืองหนองคาย แต่เกิดพายุแรงจนพัดพระสุกจมลงน้ำหายไป พระเสริมภายหลังได้ประดิษฐานไว้ที่วัดปทุมวนารามที่กรุงเทพฯ ส่วนหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์ชัยจนถึงปัจจุบัน
ไม่ไกลจากวัดโพธิ์ชัยมากนัก เป็นที่ตั้งของ “ตลาดท่าเสด็จ” หรือ "ตลาดท่าเรือ" ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ที่เป็นตลาดริมแม่น้ำโขง และหากมองไปยังฝั่งตรงข้ามก็คือ นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดการค้าของไทย-ลาว มาตั้งแต่ครั้งอดีต เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากแถบอินโดจีนและยุโรปตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูปต่างๆ รวมไปถึงเครื่องเงินที่มีให้เลือกช้อปกันหลายร้าน สามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากกันได้
ข้ามเขตมาเที่ยวที่บึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่แต่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อย ที่นี่ “ตะลอนเที่ยว” ได้ชมธรรมชาติที่งดงามของ “น้ำตกชะแนน” ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอของบึงกาฬ ได้แก่ อ.บุ่งคล้า อ.เซกา และ อ.บึงโขงหลง พื้นที่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัวแห่งนี้เป็นสันเขาหินทรายและลานหินกว้างใหญ่ ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีดอกไม้ป่าขึ้นตามลานหินเป็นจำนวนมาก
ส่วนน้ำตกชะแนนนั้นอยู่ในพื้นที่ อ.เซกา เดิมมีชื่อว่าตาดสะแนน คำว่าตาดหมายถึงน้ำตก ส่วนสะแนนแปลว่า สูงสุดยอด หรือเยี่ยมยอด เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงาม จะมีน้ำมากในช่วงฤดูฝน แต่ในช่วงต้นฤดูหนาวเช่นนี้แม้น้ำจะน้อยไปสักหน่อยแต่เราก็จะได้ชมความยิ่งใหญ่ของลานหินที่สูงและกว้างใหญ่ และความมหัศจรรย์ของขัวหิน หรือสะพานหินขนาดใหญ่ ที่น้ำจากน้ำตกเมื่อไหลมาถึงบริเวณนี้น้ำจะไหลลอดหายไปใต้แผ่นหินที่เป็นดังสะพาน ความยาวกว่า 100 เมตร
ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัวยังมีอีกหนึ่งน้ำตก คือ “น้ำตกภูถ้ำพระ” ที่ “ตะลอนเที่ยว” ได้ไปชม น้ำตกแห่งนี้ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.เซกา ใกล้กับวัดถ้ำพระ การเดินทางไปยังน้ำตกจะต้องนั่งเรือจากวัดไปตามลำห้วย สองข้างทางเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ จากนั้นต้องเดินเท้าต่อมายังลานหิน ที่นี่มีความเงียบสงบเหมาะสำหรับพักผ่อนและเล่นน้ำ เราสามารถเดินเข้าไปไหว้พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ใต้ชะง่อนผา และเมื่อเดินขึ้นไปยังลานหินด้านหลัง จะพบกับหุบเขาแอ่งกระทะขนาดใหญ่ มีน้ำตกไหลผ่านหน้าผากว้าง เป็นจุดเล่นน้ำที่เหมาะที่สุด แต่แน่นอนว่าช่วงนี้น้ำก็อาจจะน้อยไปสักหน่อย
แต่หากใครอยากนั่งกินข้าวชมบรรยากาศเพลินๆ ก็ต้องมาที่ “บึงโขงหลง” บึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีต้นน้ำจากภูวัวและภูลังกาไหลมารวมกัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ พืชน้ำ และนกน้ำ และเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบอีกด้วย และรอบๆ บึงโขงหลงเป็นที่ตั้งของร้านอาหารมากมาย แต่ละร้านจะสร้างศาลาที่กินอาหารไว้ริมบึง ให้ชมธรรมชาติอันสวยงามไปพร้อมๆ กับกินอาหารอีสานรสเด็ด ใครที่อิ่มแล้วอยากสนุกกับกิจกรรมทางน้ำก็สามารถกระโดดน้ำเล่นได้เลย หรือจะเล่นบานานาโบทกลางบึงโขงหลงก็สนุกไม่หยอก
มาปิดท้ายแหล่งท่องเที่ยวหนองคาย-บึงกาฬกันที่ “วัดอาฮงศิลาวาส” ที่มีความสำคัญตรงที่ บริเวณ “แก่งอาฮง” หรือแก่งกลางแม่น้ำโขงที่อยู่บริเวณหน้าวัดนั้น เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง เคยวัดความลึกในหน้าแล้งได้ถึง 99 วา จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “สะดือแม่น้ำโขง” ชาวบ้านเชื่อว่า ณ สะดือแม่น้ำโขงนี้เองคือวังบาดาลของพญานาค และยังเชื่อด้วยว่าจุดนี้เชื่อมต่อกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองคำชะโนด ในจังหวัดอุดรธานี กระแสน้ำบริเวณแก่งอาฮงจะไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ อีกทั้งชาวบ้านยังเชื่อว่าบริเวณแก่งอาฮงนั้นเป็นถ้ำของพญานาค ซึ่งมีปากถ้ำอยู่ที่ฝั่งลาว ปัจจุบันถ้ำดังกล่าวมีการสร้างเจดีย์ครอบไว้เพื่อไม่ให้เกิดการบุกรุกเข้าไปภายในถ้ำอีกด้วย
และนี่ก็คือแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดหนองคาย-บึงกาฬ ที่ตะลอนเที่ยวได้ไปสัมผัสมา แต่ที่จริงแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลายแห่งที่ไม่ได้นำมากล่าวในที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นภูทอก สถานปฏิบัติธรรมของวัดเจติคีรีวิหาร ใน จ.บึงกาฬ หรือโฮมสเตย์หมู่บ้านจอมแจ้ง ชิมถั่วตัดแสนอร่อย และเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย สงสัยว่าต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง “ตะลอนเที่ยว” จึงจะเที่ยวได้ครบหมด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทาง ใน จ.หนองคาย-บึงกาฬ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานอุดรธานี (ดูแลพื้นที่ อุดรฯ หนองคาย บึงกาฬ) โทร.0-4232-5406-7
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com