เป็นเวลา 2 ปีเศษแล้ว ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ท่ามกลางปัญหาบ้านเมืองมากมายที่ต้องแก้ไข ไม่ว่าจะเรื่องปากท้องประชาชน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่สงบของประเทศ
แต่ภาพเก้าอี้นายกฯในสภา มักว่างเปล่าเสมอในการประชุมสภาส่วนใหญ่ แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีเหตุสำคัญหรือมีวาระสำคัญใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงานของรัฐบาลอย่างการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 การอภิปรายเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถกร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว. หรือในช่วงจำนำข้าว ฯลฯ
เป็นไปได้หรือที่นายกฯ ไม่มีเวลาเข้าประชุม แต่กลับมีเวลาเดินทางไปต่างประเทศ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นายกปูเดินทางไปต่างประเทศมากถึงกว่า 50 ครั้ง รวมแล้วกว่า 40 ประเทศ เฉลี่ยเดินทางเดือนละ 2 ครั้ง ใช้งบไปกว่า 370 ล้านบาท ส่วนเหตุผลของการเดินทางนั้นได้อ้างว่าเดินทางไปเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ติดต่อการค้า เปิดตลาดและสร้างโอกาสในการค้าการลงทุนต่างๆ โดยโฆษกรัฐบาลเองก็ออกมาแก้ต่างว่าการเดินทางไปต่างประเทศนี้มีทั้งการเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งการเยือนอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศ
มาดูกันว่านายกฯ เดินทางไปเยือนประเทศอะไรบ้างในเวลา 2 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา
สำหรับกว่า 40 ประเทศที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางไปเยือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีทั้งประเทศในภูมิภาคอาเซียนทั้ง 9 ประเทศ สำหรับกัมพูชาไปมาแล้วถึง 7ครั้ง อินโดนีเซีย 3 ครั้ง ลาว 3 ครั้ง บรูไน 2 ครั้ง พม่า(เมียนมาร์) 2 ครั้ง รวมทั้งเวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
ส่วนในทวีปเอเชีย เดินทางไปญี่ปุ่น จีน มองโกเลีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ ทาจิกิสถาน อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา มัลดีฟส์ บาห์เรน กาตาร์ และคูเวต ในทวีปออสเตรเลียไปมาแล้วทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และปาปัวนิวกินี ทวีฟแอฟริกาก็ไปเยือนโมซัมบิก แทนซาเนีย และยูกันดา
ขณะที่ทางทวีปยุโรปก็ไปมาจนทั่ว ทั้งสวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย เบลเยี่ยม โปแลนด์ อิตาลี ตุรกี และมอนเตเนโกร รวมทั้งสหรัฐอเมริกาในทวีปอเมริกาด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่านายกฯ ของเรานั้นเดินทางไปทั่วโลก โดยเฉพาะการเดินทางครั้งล่าสุดที่ไป “นครรัฐอิตาลี” หรือการเดินทางไปเยือน 3 ประเทศในทวีปยุโรป ได้แก่ สมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และมอนเตเนโกร ของนายกฯ และคณะรวม 81 คน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์แนวหน้ากล่าวว่า เฉพาะค่าเครื่องบินก็มีค่าใช้จ่ายถึงกว่า 21 ล้านบาท เลยทีเดียว
ทั้งนี้ในการไปเยือนต่างประเทศเองทุกครั้ง มักจะมีเหตุผลว่าเพื่อถกเรื่องการค้าการลงทุนและโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประเทศบ่อยขนาดนี้ แต่ในความเป็นจริงก็คือยอดการส่งออกพืชผลทางการเกษตรของไทยกลับอยู่ในสภาวะดึงตัวลง ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้ให้เห็นว่า การส่งออกของไทยไตรมาส 2 ติดลบ ภาพรวมการส่งออกในครึ่งปีแรกขยายตัวแค่ 1% ตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยจากกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค. แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าถึง 603,676.3 ล้านบาท
นอกจากนั้น จากข้อมูลในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจยังได้จับประเด็นการเดินทางของนายกยิ่งลักษณ์ที่เป็นการเดินทางตามรอยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย โดยหลายๆ ครั้งเป็นการเดินทางในเวลาใกล้เคียงกัน บางครั้งเดินทางไปก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นอยู่บ่อยครั้ง เช่น ประเทศบรูไน ที่ทักษิณเดินทางไปเมื่อ ก.ค. 54 จากนั้นนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็เดินทางไปเมื่อ 30 ก.ย. 54 ประเทศอินโดนีเซีย ทักษิณเดินทางไปเมื่อ ก.ค. 54 นายกฯ ยิ่งลักษณ์เดินทางไปเมื่อ 12 ก.ย. 54 และบางครั้งก็เห็นความเชื่อมโยงชัดเจน เช่น ทักษิณเดินทางไปพม่าเมื่อ ธ.ค. 54 เพื่อประสานให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์พบกับออง ซาน ซูจี เมื่อวันที่ 19-20 ธ.ค. 54 เป็นต้น
ชีพจรลงเท้าขนาดนี้ คงต้องมอบตำแหน่งนักท่องเที่ยวดีเด่นให้นายกฯ ของเราเสียแล้ว แต่จะได้ตำแหน่งนายกฯ ดีเด่นหรือดีแต่เที่ยว คิดว่าหลายคนคงมีคำตอบให้ในใจ
