xs
xsm
sm
md
lg

ทัวร์จีนบุกโลก แต่พฤติกรรมทัวริสต์จีนยังชวนปวดหัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จุดมุ่งหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนคือประเทศไทย
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา และอีกหลายๆ เหตุผล อาทิ ระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายนโยบายควบคุมนักท่องเที่ยวของรัฐบาลจีน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนในปี 2555 มีนักท่องเที่ยวจีนมากกว่า 83 ล้านคน เดินทางไปเที่ยวยังต่างประเทศ จนเรียกได้ว่าจีนเป็นชาติที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก

หนึ่งในจุดมุ่งหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนก็คือประเทศไทย โดยในปี 2555 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 ก็คือ จีน จำนวน 2.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2554 ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมายังประเทศไทย 1.9 ล้านคน แน่นอนว่าตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นนี้ ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศแน่นอน
ทางการจีนเพิ่งออก คู่มือการท่องเที่ยวต่างประเทศแบบมีอารยธรรม ให้นักท่องเที่ยวศึกษาก่อนเดินทางออกนอกประเทศ
นายเกษียร วัฒนเชาวน์พิสุทธิ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า ปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยถึง 4 ล้านคนแน่นอน และตัวเลขการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวจีนเมื่อดูจากพฤติกรรมแล้วอยู่ที่ประมาณ 6,500 บาทต่อคนต่อวัน ถ้านักท่องเที่ยวคนหนึ่งเที่ยวในเมืองไทย 6 วัน ก็จะมีเงินหมุนเวียนประมาณ 40,000 บาทต่อคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงทีเดียว

“ปีนี้คาดการณ์ว่าคนจีนเข้ามาถึง 4 ล้านคนแน่นอน ถ้าเฉลี่ยใช้จ่ายคนละ 40,000 บาท มันเยอะมากถึงกว่า 2 แสนล้าน เห็นตัวเลขที่จะเข้ามาแน่นอนว่าเป็นผลดีกับประเทศอยู่แล้ว แต่เมื่อคนเข้ามาเยอะ แหล่งท่องเที่ยวบางแห่งยังรองรับไม่ไหว บางแห่งมันขยายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เกาะล้านที่พัทยา จ.ชลบุรี ปกติ มีนักท่องเที่ยว 4,000 คนก็แน่นแล้ว แต่เดี๋ยวนี้คนเข้าไป 6,000-8,000 คนต่อวัน ก็รับไม่ไหวเหมือนกัน และมีผลเสียตามมา เราก็ควรกระจายนักท่องเที่ยวเหล่านี้ออกไป เช่น อาจจะไปเกาะช้าง เกาะเสม็ด แทนที่จะไปกระจุกที่เกาะล้านอย่างเดียว” นายเกษียรกล่าว
หลายๆประเทศทั่วโลกมองพฤติกรรมนักท่องเที่ยวว่า ไม่น่ารัก
แม้จะนำรายได้มหาศาลเข้าประเทศไทย ทว่านักท่องเที่ยวชาวจีนถูกมองว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมที่ “ไม่น่ารัก” ซึ่งไม่เฉพาะชาวไทยเท่านั้นที่มอง แต่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็วิพากษ์วิจารณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนไปในทางเดียวกันว่า ไม่เรียบร้อยหรือไม่มีอารยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย มารยาทในการใช้ห้องน้ำ มารยาทในการกินอาหาร มารยาทในการตักอาหารประเภทบุฟเฟต์ การไม่ต่อแถวเข้าคิว การล้วงแคะแกะเกาในที่สาธารณะ การถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ การขีดเขียนข้อความลงในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อวัยรุ่นชาวจีนขีดเขียนข้อความลงบนภาพบนกำแพงวิหารโบราณอายุหลายพันปีในประเทศอียิปต์จนเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลก

สำหรับในประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน 7 พื้นที่หลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา และเกาะสมุย ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.ที่ผ่านมา ถึงผลกระทบจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวประเทศจีน รัสเซีย ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้จะมีความคิดเห็นเชิงบวกที่มองว่าการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนก่อให้เกิดการสร้างรายได้รวมของธุรกิจเพิ่มขึ้นและมีรายรับอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากชาวจีนเดินทางมาเที่ยวทั้งปี แต่ก็พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ โดยนักท่องเที่ยวจีนสร้างความรำคาญให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น 77% ทำสถานที่ท่องเที่ยวสกปรก 67% ไม่เคารพกฎกติกาสถานที่ 59%
เกาะล้าน อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน
ขณะที่ทางการจีนเองก็ตระหนักในเรื่องนี้เช่นกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีของจีนได้แถลงเมื่อ 15 พ.ค. หลังเกิดกระแสต่อต้านนักท่องเที่ยวจีนบ้างแล้วในพื้นที่ต่างๆ ของโลก โดยกล่าวว่า นิสัยไม่ดีของนักท่องเที่ยวจีนจะทำให้ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากเจ้าบ้าน และทำให้เกิดการเหมารวมอันส่งผลเสียต่อส่วนรวม ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงประกาศกฎหมายการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคมนี้ โดยมีบทลงโทษและให้อำนาจหน่วยงานท่องเที่ยวในการลงโทษปรับ ผู้ฝ่าฝืนข้อกำหนดต่างๆ โดยจะเริ่มต้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ และหวังว่าจะสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้ในที่สุด

เมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากทั่วโลกต่างมองนักท่องเที่ยวจีนในแง่ลบ ทางสำนักบริหารการท่องเที่ยวแห่งชาติจีนจึงได้ออก “คู่มือการท่องเที่ยวต่างประเทศแบบมีอารยธรรม” ความยาว 64 หน้า ให้กับชาวจีนที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นำมาซึ่งภาพลักษณ์ที่ไม่มีอารยธรรมของคนจีน ภายในคู่มือมีรายละเอียดเกี่ยวกับการประพฤติตัวให้เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วแคะฟัน ไม่แคะจมูกในที่สาธารณะ ไม่ปัสสาวะลงสระว่ายน้ำ ตัดขนจมูกให้เรียบร้อย อย่าใช้ห้องน้ำสาธารณะนานเกินไป ไม่ขโมยเสื้อชูชีพบนเครื่องบิน นอกจากนั้นในคู่มือก็มีข้อแนะนำการกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการท่องเที่ยวแต่ละประเทศด้วย

ในประเด็นเรื่องพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนนี้ นายเกษียรให้ความเห็นว่า “จริงๆ คนจีนไม่ได้น่ารังเกียจอย่างที่หลายคนว่ากัน เมืองจีนเองมีวัฒนธรรมมากว่า 5,000 ปี แต่เวลาที่คนเขามากันเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เที่ยวบางแห่งแทบจะมีแต่คนจีนทั้งนั้นเลย พอมาเจอกลุ่มเดียวกันเยอะๆ เข้าก็จะเสียงดังบ้าง ทำตามใจตัวเองบ้าง แน่นอนในกลุ่มใหญ่ก็ต้องมีคนที่ไม่เคารพกฎ ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม ตรงนี้จึงต้องกำชับมัคคุเทศก์ให้คอยเตือน หรือคนที่เข้ามาท่องเที่ยวด้วยตัวเอง เช่นที่ขับรถเข้ามาตามถนน R3A เข้ามาทางเชียงของ มาเชียงใหม่ ก็อาจจะแจกคู่มือเป็นภาษาจีนบอกว่าหากคุณเข้ามาประเทศไทยคุณควรทำตัวอย่างไร บ้านเราเป็นแบบไหน ควรปฏิบัติตัวอย่างไร หรือเรื่องการขับรถก็ควรมีคู่มือบอกว่าบ้านเราขับรถทางซ้าย เวลาคุณเลี้ยวก็ควรระวัง แตรควรกดเมื่อมีเหตุ ทิ้งขยะให้เป็นที่นะ สูบบุหรี่ต้องดูว่าเป็นพื้นที่ห้ามสูบหรือเปล่า เป็นต้น”
รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้าสู่ประเทศนับว่ามหาศาล
“การแก้ไขคงอยู่ที่วิธีการจัดการ เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจกันมากกว่า คนจีนก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพียงแต่เราต้องพูดให้เขาเข้าใจว่า บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ คนไทยเป็นแบบนี้ ก็เชื่อว่าเขาพร้อมที่จะปฏิบัติ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของบ้านเราได้แน่นอน”

ทั้งนี้ จีนเพิ่งออกกฎหมายการท่องเที่ยวฉบับใหม่ ระบุห้ามบังคับลูกทัวร์ซื้อสินค้าและบริการเสริมราคาแพงอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือรายการพาเที่ยวที่กำหนดไว้ เพื่อควบคุมและขจัดการทำธุรกิจท่องเที่ยวอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงธุรกิจ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน กฎหมายฉบับนี้ทำให้ราคาทัวร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทต้องจ่ายเพิ่มให้แก่ไกด์นำเที่ยวมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่กลุ่มไกด์นำเที่ยวจะได้ค่าคอมมิสชันจากบรรดาร้านค้าที่ลูกทัวร์ถูกบังคับซื้อ กฎหมายดังกล่าวทำให้ราคาทัวร์ไทยสูงมากกว่า 2 เท่า และส่งผลให้ยอดขายแพกเกจทัวร์ตกลงด้วย ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยจะลดน้อยลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างไร

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ทำไมคนจีน จึง “ไร้มารยาท”

...ย้อนกลับไปในยุคเก่าแก่ในยุคราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์หมิง ที่ล่วงเลยมากว่าพันปี และเกือบพันปี ชนชาติจีนนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งขนบประเพณีอันสูงส่ง จากบันทึกประวัติศาสตร์จีน ระบุว่าในยุคถังและซ่ง เมื่อพ่อค้าจีนออกไปค้าขายในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ได้รับการต้อนรับให้เกียรติอย่างพิเศษในฐานะผู้เพียบพร้อมด้วยขนบประเพณี ถึงขนาดได้รับการยกเว้นค่าที่พัก ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีต่างก็เลียนแบบเจริญรอยตามจีน

ถึงยุคราชวงศ์หมิงที่ประชากรขยายตัวมาก ชนเร่ร่อนยิ่งทวีจำนวนมาก ทางการไม่อาจรับมือปัญหาสังคม กระทั่งมีการรวมกลุ่มสมาคมเถื่อนต่างๆ มากมาย อาทิ กลุ่มศาสนา กลุ่มพ่อค้าวาณิช สำนัก...พรรคต่างๆ ด้านการใช้ชีวิตสังคมยิ่งนับวันก็ยิ่งหยาบมากขึ้น

“สภาพแบบนี้ ตกทอดมาถึงปัจจุบัน มันเป็นผลมาจากความบีบคั้นในชีวิต ผู้คนเหล่านั้นรู้สึกเหนื่อยกับชีวิต และไม่มีทางออก ซึ่งคนเราทั่วไปนั้นต้องการการปลดปล่อยและได้ใช้ชีวิตอย่างสงบตามลำพัง แต่วัฒนธรรมแบบนี้ ไม่อาจปล่อยให้คุณได้อยู่สุขสงบตามลำพัง”

“การไม่ยึดถือหลักการ ยึดถือแต่ความสัมพันธ์ใกล้ชิด ทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมและความตึงเครียด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันในชีวิต ก็ไม่รู้หรือระแวงเกี่ยวกับความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของคนอื่นๆ” กัวเสี่ยวชง อาจารย์ภาควิชาการเผยแพร่และวัฒนธรรมของสถาบันศึกษาระหว่างประเทศ ยังวิเคราะห์ถึงสาเหตุอีกประการที่ทำให้คนจีนในวันนี้ “ไร้วัฒนธรรม” นั่นคือ การปะทะกันระหว่างรูปแบบชีวิตตามขนบประเพณีและสังคมปัจจุบัน อุปมาดั่งคนบ้านนอกที่ไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบจราจรของเมืองกรุง ถ่มน้ำลายตามอำเภอใจ พูดคุยเสียงดังลั่น เปลือยร่างท่อนบน คนที่เติบโตกลางท้องทุ่ง ก็เสมือนกับบุตรแห่งธรรมชาติ อิสระสบายๆ แต่เมื่อต้องมาอยู่ในเมืองใหญ่ ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าและหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกกฎระเบียบจำกัดการกระทำต่างๆ

บางความเห็นชี้ว่า การมีประชากรจำนวนมากนั้น นำไปสู่สังคมที่หยาบกระด้าง และความวิตกกลัวขาดแคลนทรัพยากรหรือไม่มีกินไม่มีใช้นั้น นำไปสู่พฤติกรรมที่ไร้วัฒนธรรม

สำหรับพวกที่มองประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ได้โทษว่าพฤติกรรมอันไร้จรรยามารยาทของคนจีนนั้น เป็นผลพวงมาจาก “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ซึ่งกินเวลานานนับ 10 ปี (ค.ศ.1966-77) ซึ่งก่อนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น การโฆษณาชวนเชื่อและปลุกระดม ได้ผลักรุนให้บรรดาเด็กนักเรียนที่มีจรรยามารยาทจำนวนมหาศาล เข้าร่วมการต่อสู้ ไล่ล่าจับกุมปฏิปักษ์ เข้าสู่ชนบทใช้แรงงาน พวกเขาได้เรียนรู้พฤติกรรมที่ถ่อยลง ถ่มน้ำลาย ด่าทอบริภาษ เก่อเจี้ยนฉง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฝู่ตันชั้นนำในเซี่ยงไฮ้กล่าว

กัวเสี่ยวชง ก็เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ข้างต้น โดยกล่าวว่าพวกที่ผ่านการปฏิวัติวัฒนธรรม มักพูดคำว่า “ขอโทษ” ไม่เป็น และมักใช้กำปั้นในการแก้ปัญหา...

ส่วนหนึ่งจากบทความเรื่อง "ถลกปมความไร้มารยาทของคนจีน" โดยหน้ามุมจีน เว็บไซต์ Astv ผู้จัดการออนไลน์ แปลเรียบเรียงจากหนันฟางโจวม่อ ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2006

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com

 

กำลังโหลดความคิดเห็น