โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“ไม่เมาเหล้าแต่เราดันเมารถ”
นี่เป็นอาการของใครและใครหลายๆคนที่มักจะเกิดขึ้นแบบไม่ตั้งตัวในการเดินทางสู่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก เพราะในเส้นทางสู่อุ้มผางไปตามถนนหมายเลข 1090 แม่สอด-อุ้มผางนั้น เราต้องผ่านโค้งซ้าย-โค้งขวา โค้งแล้ว-โค้งเล่า โค้งขึ้น-โค้งลง ซึ่งมีใครก็ไม่รู้นับมาให้เสร็จสรรพว่า โค้งทั้งหมดมีจำนวนมากถึง 1,219 โค้งด้วยกัน
ตัวเลขโค้งดังกล่าวใครที่เห็นแล้วจะใช้องค์วิชาความรู้แบบไทยๆไปซื้อเบอร์แทงหวยก็สุดแท้แต่ ส่วนผมด้วยความที่พอมีวิทยายุทธ์อยู่ 2-3 กระบวนท่าและก็เคยมาแอ่วอุ้มผางหลายครั้ง เราจึงไม่ถึงกับเมา(รถ) แต่เพียงแค่มึนๆตามโค้งไปบ้าง ชนิดที่พอเข้าสู่ชุมชนอุ้มผางต้องถอนมึนกันพอเป็นกระศัยกับสุราพื้นบ้านรสขมปร่า วูบวาบร้อนท้อง ซึ่งบทสรุปก็คือ
“ไม่เมารถแต่เราดันเมาเหล้า”
อ้วก!!!

เที่ยวป่าหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผางคี
พูดถึงอุ้มผางดินแดน“แผ่นดินดอยลอยฟ้า”แล้ว ภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่ลอยเด่นหรามาก็คือ“น้ำตกทีลอซู” น้ำตกที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในเมืองไทย และสวยติด 1 ใน 6 ของโลก
นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำตกเด่นๆอื่นๆ อย่าง ทีลอจ่อ ทีลอเร ปิตุโกร แต่ฤดูกาลที่เหมาะสมต่อการเที่ยวน้ำตกในอุ้มผางนั้น อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวยาวไปจนถึงกลางหนาวราวเดือนมกราคมที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของอุ้มผาง ที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางฝ่าพันกว่าโค้งขึ้นมาแอ่วยังดินแดนแผ่นดินดอยลอยฟ้าแห่งนี้
ส่วนในหน้าฝนที่เป็นโลว์ซีซั่นหรือกรีนซีซั่น อุ้มผางค่อนข้างเงียบเหงา แต่หากใครเคยไปอุ้มผางในช่วงนี้จะพบว่าที่นี่มีเสน่ห์ไม่น้อย ทั้งความเขียวสดของต้นไม้ สายน้ำ ขุนเขา ป่าไพร ไร่นา ความชุ่มชื่นของพื้นดินแผ่นฟ้ายามฝนพรำ รวมไปถึงภาพความงามอันชวนประทับใจของสายหมอก(ฝน) ที่ลอยปกคลุมไต่เรี่ยไล่ตามยอดเขายอดดอย หรือบางครั้งก็ลงหนาจนห่มคลุมร่างกายให้เราได้ไล่คว้าหมอกหยอกเอินความชุ่มฉ่ำกันอย่างเพลิดเพลิน

และด้วยเสน่ห์ข้างต้นทำให้ทาง ททท.สำนักงานตากได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอุ้มผางในช่วงฤดูฝนขึ้น ภายใต้ชื่อโครงการ “เที่ยวป่าหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผางคี” ซึ่งอุ้มผางคีนั้นจะเป็นฉันใด จะใช่กุญแจอุ้มผางหรือไม่ เดี๋ยวคงได้รู้กัน
อุ่นเครื่องมรดกโลกทุ่งใหญ่นเรศวร
การมาอุ้มผางของคราวนี้ นอกจากจะมาเที่ยวและกะมาลุยแล้ว ผมกับเพื่อนๆชาวคณะยังร่วมกันไปทำโป่งสัตว์(โป่งเทียม) ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร(ด้านตะวันออก) ที่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง

โดยในเช้าวันที่สองของทริป เรานั่งรถกันก้นบานผ่านเส้นทางสมบุกสมบันจากอุ้มผางไปยังป่าทุ่งใหญ่ เพื่อร่วมกันโรยเกลือทำโป่ง(เทียม) ณ บริเวณโป่งช้างที่เป็นโป่งเก่า ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์ฯจะมาปรับเสริมทำเป็นโป่งเทียมเพื่อเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ในละแวกนี้
สำหรับการทำโป่งเทียมก็ไม่มีอะไรมาก แค่พวกเราไปโรยไปหว่านเกลือแล้วคลุกเคล้ากับดิน เพื่อเติมแร่ธาตุให้กับดินก็เป็นอันเสร็จพิธี แต่งานนี้มันยากตรงที่มีฝนตกพรำ การทำโป่งจึงเต็มไปด้วยความเปียก เปรอะ เปื้อน ผสมกับความภูมิใจที่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่ทำตัวเป็นคนรกโลกเหมือนนักการเมืองหลายๆคนในบ้านเรา

แม้บริเวณที่ทำโป่งจะเป็นชายขอบของป่าทุ่งใหญ่ แต่ผมก็ได้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นป่าที่นี่ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ขุนเขา ทุ่งหญ้า และรอยตีนสัตว์ ขี้สัตว์ รวมไปถึงกับเจ้าเก้งของตัวในบริเวณที่ทำการฯซึ่งมันออกจากป่ามาหากินที่นี้จนคุ้นชิน เดินนวยนาดไป-มาแบบไม่กลัวคน เป็นเก้งป่าแสนเชื่องที่สร้างสีสันให้ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
หลังเสร็จสรรพจากการทำโป่ง ขากลับเราไปแวะบ้านปะหละทะ เพื่อชมน้ำตกปะหละทะ ในเขตวนอุทยาน้ำตกปะหละทะ ซึ่งจากจุดจอดรถเดินเท้าเข้าไปไม่ไกล ระหว่างทาง 2 ข้างทางมีต้นกระเจียวสีส้มออกดอกสวยงามให้ชมกันประปรายเป็นจุดๆ แต่มีความเป็นธรรมชาติดี
นอกจากนี้ในเส้นทางเดินยังมีทิวทัศน์สวยๆงามๆของไร่ข้าวโพด ทุ่งนา ขุนเขาให้ทัศนากัน เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องช่วยกันควบคุมดูแลให้ปลูกพืชทำไร่นาในพื้นที่ทำกิน อย่าให้คนเห็นแก่ตัวบางคนแอบบุกรุกป่าขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เพราะป่าไม้บ้านเรายิ่งมายิ่งเหลือน้อยเต็มที

ผมเดินชมวิวไปเพลินๆ ไม่กี่อึดใจก็มาถึงทางลงน้ำตกที่ช่วงหน้าฝนอย่างนี้ลื่นพอตัว ทำให้ตอนเดินต้องเกร็งลมปราณกันพอสมควรก่อนจะไปถึงยังตัวน้ำตกปะหละทะ ที่เป็นน้ำตกเตี้ยๆ สายน้ำไหลแผ่สยายไปทางกว้าง ในหน้าฝนอย่างนี้น้ำตกมีสายน้ำมาก ไหลถั่งโถมเป็นสายรุนแรง ดูมีพลังไม่น้อย
อ้อ!!! ที่ข้างๆน้ำตกปะหละทะเขามีป้ายห้ามกระทำการบางอย่าง เมื่อเห็นแล้วชวนสะดุดตาดีแท้ กับข้อความ
...ห้ามกระโดดบริเวณน้ำตกอย่างเด็ดขาด ห้ามจับปลาโดยเด็ดขาดไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ถ้าใครจับขอให้มีอันเป็นไป และปรับ 2,000 บาท ต่อปลา 1 ตัว...
งานนี้ไม่ใช่ทั้งจำทั้งปรับ หากแต่เป็น“ทั้งแช่งทั้งปรับ”กันเลยทีเดียว

เดินป่า ฝ่าอุปสรรค
ในเช้าวันใหม่พวกเราตื่นกันแต่เช้า เพื่อนๆหลายคนรวมทั้งผม ต่างอัดข้าวต้มกันเต็มที่ เพราะที่เราจะต้องออกเดินป่า ฝ่าดง ผจญสายน้ำเชี่ยวไปกับการล่องแก่ง“อุ้มผางคี” ที่ตลอดทั้งทริป(ทั้งวัน)ได้ชื่อว่าโหดหิน ลุยเอาเรื่อง
จากที่พัก“ตูกะสู คอทเทจ” ผู้ร่วมจัดโปรแกรมเที่ยวลุยๆในทริปนี้ เราออกเดินทางจากตัวอุ้มผางไปประมาณ 14 กม.สู่หมู่บ้านอุ้มผางคี เพื่อออกเดินไปยังจุดตั้งต้นของการล่องแก่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ประจำทริป
คำว่า“คี” เท่าที่สอบถามจากคนในพื้นที่เป็นภาษากะเหรี่ยงหมายถึง “ต้นน้ำ” อุ้มผางคีก็คือต้นน้ำอุ้มผางที่เป็นลำน้ำสาขาไหลไปรวมกับแม่น้ำแม่กลอง

ส่วนหมู่บ้านอุ้มผางคี เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ที่ยังคงมีภาพของวิถีชาวบ้านดั้งเดิมให้เห็น แต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เพราะเดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงเขาพัฒนาแล้ว หลายคนมีมือถือรุ่นล้ำกว่าของผมเสียอีก
จากหมู่บ้านอุ้มผางคี ผมกับเพื่อนๆไปรับของแจก ซึ่งไม่ใช่เป็นข้าวเน่า ปลากระป๋องเน่า หรือถุงยังชีพราคาเกินจริง หากแต่เป็นเสื้อชูชีพกับหมวกล่องแก่ง(หมวกกันกระแทก)ที่เห็นแล้วชวนฉงน
เอ...ทำไมเดินป่าต้องใส่ชูชีพ หรือว่าทางสตาฟฟ์เขาขี้เกียจแบกขนไปเลยผลักภาระมาให้เรา เรื่องนี้ผมมีข้อกังขาตะหงิดๆในใจ ในระหว่างที่ดินออกจากหมู่บ้านแล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขาผ่านไร่ข้าวโพด ที่เห็นแล้วอดนึกถึงหนังเรื่อง“คืนบาปพรหมพิราม” ที่มีฉากวิ่งกันในไร่ข้าวโพดไม่ได้ แต่กระนั้นวิวในมุมสูงและมุมเงยของไร่ที่เดินผ่านนี้ก็จัดว่าเยี่ยมทีเดียว

สำหรับเส้นทางเดินจากหมู่บ้านไปยังจุดตั้งต้นล่องแก่ง ไม่เคยมีใครวัดระยะทางเป็นกิโลเมตรที่แน่นอน มีแต่คำนวณระยะกิโลแม้วจากการเดินเท้าว่าอยู่ในราวๆ 3 ชั่วโมง
ระหว่างทางนอกจากจะผ่านไร่ข้าวโพดแล้ว ยังมีป่าโปร่ง ป่าเกือบทึบมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น เส้นทางช่วงนี้แม้เดินขึ้นไปจนสุดแล้วดิ่งลงไปบนเส้นทางที่ลื่นชัน ผมล้วนต่างบ่ยั่น แต่ในเส้นทางราบนี่กับงานงอกเฉยเลย เพราะมันมีช่วงที่ต้องเดินลุยข้ามลำน้ำ ข้ามไป-ข้ามมาอยู่ 7-8 ครั้ง

สายน้ำที่นี่อย่าใช้สายตาวัด เพราะเมื่อมองจากด้านบนผิวนำ เห็นไหลเรื่อยๆเอื่อยๆ แต่ประทานโทษ เมื่อเดินลุยข้ามไป สายน้ำมันแรงไม่ใช่เล่น แถมการข้ามน้ำบางช่วง น้ำสูงถึงอก ถึงไหล่ต้องให้สตาฟฟ์ชาวกะเหรี่ยงขึงเชือกยึดให้ค่อยลำเลียงตัวผ่านไป ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลของการที่ทำไมพวกเราต้องเดินป่าใส่ชูชีพ
แม้เส้นทางข้ามน้ำจะโหดหิน แต่ว่าก็สนุกเร้าใจไม่น้อย แถมระหว่างทางในช่วงเดินดินปกติยังมีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ กล้วยไม้ เห็ด แมลง แมงมุม มอส เฟิร์น รวมไปถึงต้นไม้สวมเสื้อที่ปกคลุมไปด้วยมอส ฝอยลม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชุ่มชื้นสมบูรณ์ของป่า

ผจญแก่งอุมผางคีสุดมัน
หลังเดินป่าฝ่าสายน้ำกันมาร่วม 3 ชม. ผมก็มาถึงยังจุดแวะพักกินข้าวเที่ยงที่เป็นจุดตั้งต้นล่องแก่งด้วย ครั้นเมื่อเติมพลังจนข้าวและกับหมดเกลี้ยง ที่นี้ก็ได้เวลาลุยระทึกกันแล้ว
เส้นทางผจญแก่งอุ้มผางคี ใครก็ไม่รู้มานับไว้(เหมือนโค้งขึ้นอุ้มผาง)ว่ามีทั้งหมด 77 แก่ง เปิดประเดิมกันด้วย“แก่งหลง” แก่งใหญ่ ยาก ที่สายน้ำแรงเชี่ยว ราวระดับ 4

จากนั้นเส้นทางก็พาผ่านแก่งมากมายในระดับ 1 ถึง 3+ ทั้งแก่งเล็กแก่งใหญ่ บางช่วงเรือแล่นฝ่าแก่งโค้งไปคดมาอย่างน่าตื่นเต้น บางช่วงเราต้องก้มหมอบเพราะเรือพุ่งลอดกิ่งไม้ ขณะที่บางช่วงเรือติดแหงกต้องลงทุนลงแรงขย่มเข็นกัน ส่วนบางช่วงแม้เรือ(บางลำ)จะแล่นฝ่าแก่งแค่เพียงในระดับ 1 แต่สมาชิกบนเรือนี่เล่นร้องกรี๊ดกันลั่นดังไปถึงในระดับ 5++ โน่น
สำหรับเสน่ห์ของการล่องแก่งอุ้มผางคีก็คือความต่อเนื่องของแก่ง ในเส้นทางล่องเรือมีแก่งให้ลุ้นให้เสียวกันตลอด ขณะที่สายน้ำนั้นก็เป็นสายน้ำใสไหลเย็น นอกจากนี้วิวสองข้างทางยังมีเสน่ห์ไปด้วยธรรมชาติอันพิสุทธิ์น่ายล

พวกเราใช้เวลาล่องแก่งประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงจุดสิ้นสุดที่หมู่บ้างอุ้มผางคีจุดตั้งต้น งานนี้แม้จะลุย จะโหด จะเหนื่อย จะเปียกชุ่มโชก แต่ผมกับรู้สึกสนุกเร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
นับเป็นความเร้าใจภายใต้สภาพแวดล้อมของธรรมชาติอันพิสุทธิ์ที่ไม่อาจสัมผัสได้ในป่าคอนกรีต เพราะในยุคที่ป่าไม้บ้านเราถูกทำลายลงทุกวัน การมีป่าให้เที่ยวยังไงๆย่อมดีกว่าการสูญสิ้นป่าเป็นไหนๆ
*****************************************

เนื่องจากกิจกรรมล่องแก่งอุ้มผางคี มีการเดินป่า ฝ่าแก่ง จึงไม่เหมาะสำหรับผู้สูงวัยที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง โดยฤดูกาลล่องแก่งที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วง เดือน ก.ค.- ต.ค. ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานตาก โทร. 0-5551-4341-3

“ไม่เมาเหล้าแต่เราดันเมารถ”
นี่เป็นอาการของใครและใครหลายๆคนที่มักจะเกิดขึ้นแบบไม่ตั้งตัวในการเดินทางสู่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก เพราะในเส้นทางสู่อุ้มผางไปตามถนนหมายเลข 1090 แม่สอด-อุ้มผางนั้น เราต้องผ่านโค้งซ้าย-โค้งขวา โค้งแล้ว-โค้งเล่า โค้งขึ้น-โค้งลง ซึ่งมีใครก็ไม่รู้นับมาให้เสร็จสรรพว่า โค้งทั้งหมดมีจำนวนมากถึง 1,219 โค้งด้วยกัน
ตัวเลขโค้งดังกล่าวใครที่เห็นแล้วจะใช้องค์วิชาความรู้แบบไทยๆไปซื้อเบอร์แทงหวยก็สุดแท้แต่ ส่วนผมด้วยความที่พอมีวิทยายุทธ์อยู่ 2-3 กระบวนท่าและก็เคยมาแอ่วอุ้มผางหลายครั้ง เราจึงไม่ถึงกับเมา(รถ) แต่เพียงแค่มึนๆตามโค้งไปบ้าง ชนิดที่พอเข้าสู่ชุมชนอุ้มผางต้องถอนมึนกันพอเป็นกระศัยกับสุราพื้นบ้านรสขมปร่า วูบวาบร้อนท้อง ซึ่งบทสรุปก็คือ
“ไม่เมารถแต่เราดันเมาเหล้า”
อ้วก!!!
เที่ยวป่าหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผางคี
พูดถึงอุ้มผางดินแดน“แผ่นดินดอยลอยฟ้า”แล้ว ภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่ลอยเด่นหรามาก็คือ“น้ำตกทีลอซู” น้ำตกที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในเมืองไทย และสวยติด 1 ใน 6 ของโลก
นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำตกเด่นๆอื่นๆ อย่าง ทีลอจ่อ ทีลอเร ปิตุโกร แต่ฤดูกาลที่เหมาะสมต่อการเที่ยวน้ำตกในอุ้มผางนั้น อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวยาวไปจนถึงกลางหนาวราวเดือนมกราคมที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของอุ้มผาง ที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางฝ่าพันกว่าโค้งขึ้นมาแอ่วยังดินแดนแผ่นดินดอยลอยฟ้าแห่งนี้
ส่วนในหน้าฝนที่เป็นโลว์ซีซั่นหรือกรีนซีซั่น อุ้มผางค่อนข้างเงียบเหงา แต่หากใครเคยไปอุ้มผางในช่วงนี้จะพบว่าที่นี่มีเสน่ห์ไม่น้อย ทั้งความเขียวสดของต้นไม้ สายน้ำ ขุนเขา ป่าไพร ไร่นา ความชุ่มชื่นของพื้นดินแผ่นฟ้ายามฝนพรำ รวมไปถึงภาพความงามอันชวนประทับใจของสายหมอก(ฝน) ที่ลอยปกคลุมไต่เรี่ยไล่ตามยอดเขายอดดอย หรือบางครั้งก็ลงหนาจนห่มคลุมร่างกายให้เราได้ไล่คว้าหมอกหยอกเอินความชุ่มฉ่ำกันอย่างเพลิดเพลิน
และด้วยเสน่ห์ข้างต้นทำให้ทาง ททท.สำนักงานตากได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอุ้มผางในช่วงฤดูฝนขึ้น ภายใต้ชื่อโครงการ “เที่ยวป่าหน้าฝน เที่ยวยลอุ้มผางคี” ซึ่งอุ้มผางคีนั้นจะเป็นฉันใด จะใช่กุญแจอุ้มผางหรือไม่ เดี๋ยวคงได้รู้กัน
อุ่นเครื่องมรดกโลกทุ่งใหญ่นเรศวร
การมาอุ้มผางของคราวนี้ นอกจากจะมาเที่ยวและกะมาลุยแล้ว ผมกับเพื่อนๆชาวคณะยังร่วมกันไปทำโป่งสัตว์(โป่งเทียม) ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร(ด้านตะวันออก) ที่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง
โดยในเช้าวันที่สองของทริป เรานั่งรถกันก้นบานผ่านเส้นทางสมบุกสมบันจากอุ้มผางไปยังป่าทุ่งใหญ่ เพื่อร่วมกันโรยเกลือทำโป่ง(เทียม) ณ บริเวณโป่งช้างที่เป็นโป่งเก่า ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์ฯจะมาปรับเสริมทำเป็นโป่งเทียมเพื่อเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ในละแวกนี้
สำหรับการทำโป่งเทียมก็ไม่มีอะไรมาก แค่พวกเราไปโรยไปหว่านเกลือแล้วคลุกเคล้ากับดิน เพื่อเติมแร่ธาตุให้กับดินก็เป็นอันเสร็จพิธี แต่งานนี้มันยากตรงที่มีฝนตกพรำ การทำโป่งจึงเต็มไปด้วยความเปียก เปรอะ เปื้อน ผสมกับความภูมิใจที่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่ทำตัวเป็นคนรกโลกเหมือนนักการเมืองหลายๆคนในบ้านเรา
แม้บริเวณที่ทำโป่งจะเป็นชายขอบของป่าทุ่งใหญ่ แต่ผมก็ได้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นป่าที่นี่ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ ขุนเขา ทุ่งหญ้า และรอยตีนสัตว์ ขี้สัตว์ รวมไปถึงกับเจ้าเก้งของตัวในบริเวณที่ทำการฯซึ่งมันออกจากป่ามาหากินที่นี้จนคุ้นชิน เดินนวยนาดไป-มาแบบไม่กลัวคน เป็นเก้งป่าแสนเชื่องที่สร้างสีสันให้ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
หลังเสร็จสรรพจากการทำโป่ง ขากลับเราไปแวะบ้านปะหละทะ เพื่อชมน้ำตกปะหละทะ ในเขตวนอุทยาน้ำตกปะหละทะ ซึ่งจากจุดจอดรถเดินเท้าเข้าไปไม่ไกล ระหว่างทาง 2 ข้างทางมีต้นกระเจียวสีส้มออกดอกสวยงามให้ชมกันประปรายเป็นจุดๆ แต่มีความเป็นธรรมชาติดี
นอกจากนี้ในเส้นทางเดินยังมีทิวทัศน์สวยๆงามๆของไร่ข้าวโพด ทุ่งนา ขุนเขาให้ทัศนากัน เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องช่วยกันควบคุมดูแลให้ปลูกพืชทำไร่นาในพื้นที่ทำกิน อย่าให้คนเห็นแก่ตัวบางคนแอบบุกรุกป่าขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เพราะป่าไม้บ้านเรายิ่งมายิ่งเหลือน้อยเต็มที
ผมเดินชมวิวไปเพลินๆ ไม่กี่อึดใจก็มาถึงทางลงน้ำตกที่ช่วงหน้าฝนอย่างนี้ลื่นพอตัว ทำให้ตอนเดินต้องเกร็งลมปราณกันพอสมควรก่อนจะไปถึงยังตัวน้ำตกปะหละทะ ที่เป็นน้ำตกเตี้ยๆ สายน้ำไหลแผ่สยายไปทางกว้าง ในหน้าฝนอย่างนี้น้ำตกมีสายน้ำมาก ไหลถั่งโถมเป็นสายรุนแรง ดูมีพลังไม่น้อย
อ้อ!!! ที่ข้างๆน้ำตกปะหละทะเขามีป้ายห้ามกระทำการบางอย่าง เมื่อเห็นแล้วชวนสะดุดตาดีแท้ กับข้อความ
...ห้ามกระโดดบริเวณน้ำตกอย่างเด็ดขาด ห้ามจับปลาโดยเด็ดขาดไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ถ้าใครจับขอให้มีอันเป็นไป และปรับ 2,000 บาท ต่อปลา 1 ตัว...
งานนี้ไม่ใช่ทั้งจำทั้งปรับ หากแต่เป็น“ทั้งแช่งทั้งปรับ”กันเลยทีเดียว
เดินป่า ฝ่าอุปสรรค
ในเช้าวันใหม่พวกเราตื่นกันแต่เช้า เพื่อนๆหลายคนรวมทั้งผม ต่างอัดข้าวต้มกันเต็มที่ เพราะที่เราจะต้องออกเดินป่า ฝ่าดง ผจญสายน้ำเชี่ยวไปกับการล่องแก่ง“อุ้มผางคี” ที่ตลอดทั้งทริป(ทั้งวัน)ได้ชื่อว่าโหดหิน ลุยเอาเรื่อง
จากที่พัก“ตูกะสู คอทเทจ” ผู้ร่วมจัดโปรแกรมเที่ยวลุยๆในทริปนี้ เราออกเดินทางจากตัวอุ้มผางไปประมาณ 14 กม.สู่หมู่บ้านอุ้มผางคี เพื่อออกเดินไปยังจุดตั้งต้นของการล่องแก่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ประจำทริป
คำว่า“คี” เท่าที่สอบถามจากคนในพื้นที่เป็นภาษากะเหรี่ยงหมายถึง “ต้นน้ำ” อุ้มผางคีก็คือต้นน้ำอุ้มผางที่เป็นลำน้ำสาขาไหลไปรวมกับแม่น้ำแม่กลอง
ส่วนหมู่บ้านอุ้มผางคี เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ที่ยังคงมีภาพของวิถีชาวบ้านดั้งเดิมให้เห็น แต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เพราะเดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงเขาพัฒนาแล้ว หลายคนมีมือถือรุ่นล้ำกว่าของผมเสียอีก
จากหมู่บ้านอุ้มผางคี ผมกับเพื่อนๆไปรับของแจก ซึ่งไม่ใช่เป็นข้าวเน่า ปลากระป๋องเน่า หรือถุงยังชีพราคาเกินจริง หากแต่เป็นเสื้อชูชีพกับหมวกล่องแก่ง(หมวกกันกระแทก)ที่เห็นแล้วชวนฉงน
เอ...ทำไมเดินป่าต้องใส่ชูชีพ หรือว่าทางสตาฟฟ์เขาขี้เกียจแบกขนไปเลยผลักภาระมาให้เรา เรื่องนี้ผมมีข้อกังขาตะหงิดๆในใจ ในระหว่างที่ดินออกจากหมู่บ้านแล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขาผ่านไร่ข้าวโพด ที่เห็นแล้วอดนึกถึงหนังเรื่อง“คืนบาปพรหมพิราม” ที่มีฉากวิ่งกันในไร่ข้าวโพดไม่ได้ แต่กระนั้นวิวในมุมสูงและมุมเงยของไร่ที่เดินผ่านนี้ก็จัดว่าเยี่ยมทีเดียว
สำหรับเส้นทางเดินจากหมู่บ้านไปยังจุดตั้งต้นล่องแก่ง ไม่เคยมีใครวัดระยะทางเป็นกิโลเมตรที่แน่นอน มีแต่คำนวณระยะกิโลแม้วจากการเดินเท้าว่าอยู่ในราวๆ 3 ชั่วโมง
ระหว่างทางนอกจากจะผ่านไร่ข้าวโพดแล้ว ยังมีป่าโปร่ง ป่าเกือบทึบมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น เส้นทางช่วงนี้แม้เดินขึ้นไปจนสุดแล้วดิ่งลงไปบนเส้นทางที่ลื่นชัน ผมล้วนต่างบ่ยั่น แต่ในเส้นทางราบนี่กับงานงอกเฉยเลย เพราะมันมีช่วงที่ต้องเดินลุยข้ามลำน้ำ ข้ามไป-ข้ามมาอยู่ 7-8 ครั้ง
สายน้ำที่นี่อย่าใช้สายตาวัด เพราะเมื่อมองจากด้านบนผิวนำ เห็นไหลเรื่อยๆเอื่อยๆ แต่ประทานโทษ เมื่อเดินลุยข้ามไป สายน้ำมันแรงไม่ใช่เล่น แถมการข้ามน้ำบางช่วง น้ำสูงถึงอก ถึงไหล่ต้องให้สตาฟฟ์ชาวกะเหรี่ยงขึงเชือกยึดให้ค่อยลำเลียงตัวผ่านไป ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลของการที่ทำไมพวกเราต้องเดินป่าใส่ชูชีพ
แม้เส้นทางข้ามน้ำจะโหดหิน แต่ว่าก็สนุกเร้าใจไม่น้อย แถมระหว่างทางในช่วงเดินดินปกติยังมีสิ่งน่าสนใจให้ชมกันเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ กล้วยไม้ เห็ด แมลง แมงมุม มอส เฟิร์น รวมไปถึงต้นไม้สวมเสื้อที่ปกคลุมไปด้วยมอส ฝอยลม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชุ่มชื้นสมบูรณ์ของป่า
ผจญแก่งอุมผางคีสุดมัน
หลังเดินป่าฝ่าสายน้ำกันมาร่วม 3 ชม. ผมก็มาถึงยังจุดแวะพักกินข้าวเที่ยงที่เป็นจุดตั้งต้นล่องแก่งด้วย ครั้นเมื่อเติมพลังจนข้าวและกับหมดเกลี้ยง ที่นี้ก็ได้เวลาลุยระทึกกันแล้ว
เส้นทางผจญแก่งอุ้มผางคี ใครก็ไม่รู้มานับไว้(เหมือนโค้งขึ้นอุ้มผาง)ว่ามีทั้งหมด 77 แก่ง เปิดประเดิมกันด้วย“แก่งหลง” แก่งใหญ่ ยาก ที่สายน้ำแรงเชี่ยว ราวระดับ 4
จากนั้นเส้นทางก็พาผ่านแก่งมากมายในระดับ 1 ถึง 3+ ทั้งแก่งเล็กแก่งใหญ่ บางช่วงเรือแล่นฝ่าแก่งโค้งไปคดมาอย่างน่าตื่นเต้น บางช่วงเราต้องก้มหมอบเพราะเรือพุ่งลอดกิ่งไม้ ขณะที่บางช่วงเรือติดแหงกต้องลงทุนลงแรงขย่มเข็นกัน ส่วนบางช่วงแม้เรือ(บางลำ)จะแล่นฝ่าแก่งแค่เพียงในระดับ 1 แต่สมาชิกบนเรือนี่เล่นร้องกรี๊ดกันลั่นดังไปถึงในระดับ 5++ โน่น
สำหรับเสน่ห์ของการล่องแก่งอุ้มผางคีก็คือความต่อเนื่องของแก่ง ในเส้นทางล่องเรือมีแก่งให้ลุ้นให้เสียวกันตลอด ขณะที่สายน้ำนั้นก็เป็นสายน้ำใสไหลเย็น นอกจากนี้วิวสองข้างทางยังมีเสน่ห์ไปด้วยธรรมชาติอันพิสุทธิ์น่ายล
พวกเราใช้เวลาล่องแก่งประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงจุดสิ้นสุดที่หมู่บ้างอุ้มผางคีจุดตั้งต้น งานนี้แม้จะลุย จะโหด จะเหนื่อย จะเปียกชุ่มโชก แต่ผมกับรู้สึกสนุกเร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
นับเป็นความเร้าใจภายใต้สภาพแวดล้อมของธรรมชาติอันพิสุทธิ์ที่ไม่อาจสัมผัสได้ในป่าคอนกรีต เพราะในยุคที่ป่าไม้บ้านเราถูกทำลายลงทุกวัน การมีป่าให้เที่ยวยังไงๆย่อมดีกว่าการสูญสิ้นป่าเป็นไหนๆ
*****************************************
เนื่องจากกิจกรรมล่องแก่งอุ้มผางคี มีการเดินป่า ฝ่าแก่ง จึงไม่เหมาะสำหรับผู้สูงวัยที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง โดยฤดูกาลล่องแก่งที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วง เดือน ก.ค.- ต.ค. ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานตาก โทร. 0-5551-4341-3