ปีนี้กว่าอากาศหนาวจะมาเยือนกรุงเทพฯ ก็กินเวลามาถึงปลายเดือนธันวาคม แต่สำหรับจังหวัดทางภาคเหนือนั้น ได้สัมผัสอากาศเย็นสบายก่อนคนอื่น นักท่องเที่ยวหลายๆ คน จึงนึกถึงการไปสัมผัสความหนาวเย็น พร้อมชมความงามในฤดูหนาว หากได้ไปยืนรับความสดชื่นกับธรรมชาติสวยๆ กับเสื้อกันหนาวคู่กายสักตัว คงดีไม่น้อย
ในฤดูกาลท่องเที่ยวหน้าหนาว นอกจากการไปสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นบนยอดดอยต่างๆ แล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ในช่วงหนาวๆ เช่นนี้ ก็คือ การได้ไปชมความงามสีชมพูสะพรั่งเรียงรายเป็นทิวแถวที่สวยงามของดอก “ซากุระเมืองไทย” ที่ไม่ต้องไปไกลถึงดินแดนอาทิตย์อุทัย
สำหรับซากุระเมืองไทย หรือ “ต้นพญาเสือโคร่ง” เป็นต้นไม้ที่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นซากุระของประเทศญี่ปุ่น คือ วงศ์กุหลาบ (Rosaceae) โดยนางพญาเสือโคร่งอยู่ในสกุล Prunus เช่นเดียวกับต้นเชอรี่ แอปริคอต พลัม แอปเปิลท้อ และ สาลี่ ซึ่งเป็นพรรณไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น
ต้นนางพญาเสือโคร่ง มักพบอยู่ตามไหล่เขา หรือบนสันเขา บริเวณเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป ที่มีอากาศหนาวเย็น ในช่วงก่อนที่ต้นนางพญาเสือโคร่งจะออกดอกนั้น จะเหมือนกับต้นไม้ใกล้ตาย เพราะมันจะทิ้งใบจนหมดต้น เหลือแต่กิ่งเปล่าๆ แต่หลังจากที่โกร๋นไปทั้งต้นแล้วนางพญาเสือโคร่งก็จะผลิดอก โดยจะออกเป็นช่อกระจุกตามปลายกิ่ง ให้สีสันชมพูดูสดใส โดยเฉพาะยามที่ดอกบานเต็มต้นจะประหนึ่งเหมือนพรมสีชมพูปกคลุมไปทั่วทั้งต้น ดูงดงามอ่อนหวาน เป็นที่หลงใหลของผู้ที่ได้พบเห็นอยู่เสมอ
และในช่วงเวลาที่ต้นพญาเสือโคร่งจะออกดอกบานชมพูสะพรั่ง ก็คือ ช่วงกลางเดือนมกราคม-กลางกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ดีดอกนางพญาเสือโคร่งจะผลิบานเต็มที่ หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี สำหรับการไปชมความงามของดอกพญาเสือโคร่งในประเทศไทยนั้นก็มีหลายที่ด้วยกัน โดย “ตะลอนเที่ยว” ได้นำเสนอจุดชมดอกพญาเสือโคร่งขึ้นชื่อในจังหวัดเชียงใหม่ 4 แห่ง รวมถึงช่วงเวลาที่คาดว่าจะบานเต็มที่มาให้สัมผัสทัศนากัน ดังนี้
ชมซากุระใกล้เมือง ที่ “ขุนช่างเคี่ยน”
สำหรับที่แรกที่ไม่ควรพลาดในการไปยลความงามของดอกซากุระเมืองไทยนั่นคือ “สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน” ในอำเภอเมือง เรียกได้ว่าเป็นที่ที่มีดอกซากุระเมืองไทยให้ได้ชมกันใกล้ๆ ตัวเมืองเชียงใหม่เลย โดยหากขับรถขึ้นไปยังดอยสุเทพ ผ่านพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ผ่านหมู่บ้านม้งดอยปุยไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านขุนช่างเคี่ยน ระหว่างทางจะมีดอกพญาเสือโคร่งให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จนไปถึงภายในหมู่บ้านม้ง นับว่าเป็นแหล่งชมซากุระเมืองไทยที่สวยงามไม่แพ้ที่ใดเลย
ที่ขุนช่างเคี่ยนนี้ นับเป็น “หุบเขาสีชมพู” ที่มีต้นพญาเสือโคร่งอยู่มากมาย โดยมีลักษณะเป็นดงอยู่รวมกัน ผลิดอกสะพรั่งไปทั่ว ถ้าหากไปในช่วงเวลาที่ดอกพญาเสือโคร่งบานสะพรั่งเต็มที่ จะยิ่งดูงดงามนัก ประหนึ่งว่าเป็นถนนสายสีชมพูที่เต็มไปด้วยความหวานจากสีของดอกพญาเสือโคร่ง เรียกได้ว่าเป็นถนนสายสีชมพูสุดโรแมนติกทีเดียว
ดงความงามซากุระ ที่ “ขุนแม่ยะ”
“ขุนแม่ยะ” หรือ “หน่วยจัดการต้นน้ำขุนแม่ยะ” ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่คาบเกี่ยวของ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และตำบลแม่ฮี้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่นี่ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถชมดอกซากุระเมืองไทยกันได้ โดยที่นี่มีการปลูกกันต้นนางพญาเสือโคร่งไว้อย่างหนาแน่นทั่วพื้นที่ เมื่อทุกต้นออกดอกพร้อมๆ กัน จึงคล้ายมีพรมสีชมพูปกคลุมทั่วดอย
ขุนแม่ยะ หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ดอยสีชมพู” มีต้นนางพญาเสือโคร่งมากมาย ซึ่งจะบานพร้อมๆ กันเต็มสันเขา โดยที่ขุนแม่ยะนี้มีบริเวณที่เราสามารถเดินเที่ยวชมดงซากุระอยู่หลายจุด นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ และยังมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์พักค้างแรมใต้ต้นซากุระอันสวยงามอ่อนหวาน ทำให้เป็นบรรยากาศที่ดีสำหรับการพักค้างแรม และนักท่องเที่ยวยังสามารถไปเที่ยวชมทะเลหมอกกันที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย
การเดินทางที่นี่ค่อนข้างที่จะลำบาก เพราะเส้นทางนั้นจะเป็นทางลูกรัง คดเคี้ยว บางช่วงก็เป็นช่วงที่แคบ แถมลื่นอีกต่างหาก รถที่จะขับขึ้นไปควรเป็นรถ 4WD ซึ่งจะมีให้บริการอยู่ตรงปากทางเข้าโดยนักท่องเที่ยวสามารถจอดรถไว้ด้านล่าง และติดต่อใช้บริการรถของชาวบ้านในพื้นที่ได้
ชมพูบานสะพรั่ง ที่ “ขุนวาง”
ไปต่อกันที่ “สถานีเกษตรหลวงเชียงใหม่” หรือ “ขุนวาง” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอแม่วาง ที่นี่นับเป็นอีกจุดยอดนิยมของการไปยลความงามของดอกไม้สีชมพูแสนหวานชนิดนี้ ซึ่งที่นี่มีการปลูกต้นพญาเสือโคร่งไว้ตลอดแนวของถนนภายในสถานีฯ ดูสวยสดงดงามจริงๆ จึงไม่แปลกที่จะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาเยี่ยมเยือนในทุกฤดูหนาว
นอกจากไปชมความงามของดอกซากุระที่ขุนวางแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถไปท่องเที่ยวชมความงามของดอกไม้เมืองหนาวบนยอดดอยอินทนนท์ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบพันปี รักเร่ เป็นต้น ระหว่างทางลงจากดอยอินทนนท์นักท่องเที่ยวยังสามารถแวะเที่ยวชมน้ำตำ 3 น้ำตก คือ น้ำตกวชิรธาร น้ำตกแม่กลาง และน้ำตกแม่ยะ หรือจะขึ้นไปเที่ยวจุดสูงสุดแดนสยาม เดินเที่ยวป่าโบราณในเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ไหว้พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ 2 พระมหาธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่ดอยอินทนนท์ ได้อีกด้วย
ยลความงามสองข้างทาง ที่ “ดอยอ่างขาง”
ส่งท้ายกับแหล่งชมซากุระเมืองไทยกันที่ “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” อำเภอฝาง ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นแหล่งชมดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งแหล่งชมซากุระอันสวยงาม จุดเด่นของที่นี่ นอกจากจะมีซากุระไทยอย่างนางพญาเสือโคร่งให้ชมได้ตั้งแต่บนเส้นทางถนนที่จะขึ้นไปยังดอยอ่างขาง เพราะมีต้นนางพญาเสือโคร่งปลูกไว้ตลอดสองข้างทางแล้ว ยังมีต้นซากุระแท้ๆ จากญี่ปุ่นปลูกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมและถ่ายรูปกันภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางอีกด้วย
นอกเหนือจากซากุระเมืองไทยแล้วภายในดอยอ่างขางมีจุดท่องเที่ยวเด่นๆ ที่รอให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมความงามอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สวนแปดสิบชนิด สวนกุหลาบอังกฤษ สวนรับเสด็จ อาคารไม้ดอกเมืองหนาว สวนบอนไซ โรงเรือนแปลงกุหลาบ และยังมีแปลงไม้ผลเมืองหนาว เช่น ท้อ บ๊วย พลัม สตรอเบอร์รี่ สาลี่ ราสเบอร์รี่ รวมไปถึงดอกไม้เมืองหนาวมากมาย อาทิ คาร์เนชั่น กุหลาบ แอสเตอร์ เบญจมาศ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินยลโฉมความงดงามและสัมผัสอากาศเย็นสบายไปพร้อมๆ กัน เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจยิ่งนัก
สำหรับในฤดูหนาวนี้ไม่เพียงแต่ที่จังหวัดเชียงใหม่เท่านั้นที่มีสถานที่ชมซากุระเมืองไทย หรือดอกพญาเสือโคร่ง ทางจังหวัดอื่นๆที่หนาวๆสูงๆก็ยังมีซากุระเมืองไทยให้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น ดอยแม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง ดอยวาวี-ดอยช้าง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย อุทยานแห่งชาติขุนสถาน จ.น่าน ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ และภูลมโล จ.เลย หากใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนในฤดูหนาวนี้ ก็ลองนำ 4 แหล่งชมซากุระของจังหวัดเชียงใหม่ไปเป็นตัวเลือกกันได้