ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผู้ว่าฯ เชียงใหม่สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าอุทยานดอยสุเทพ-ปุย “ขุนช่างเคี่ยน” ให้เกิดความชัดเจนภายใน 1 เดือน พร้อมเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิครอบครองที่ดินของราษฎรตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 41 เผยตามข้อมูลพบพื้นที่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือตกเป็นของกลุ่มนายทุนและชาวต่างชาติด้วย
จากกรณีมีผู้ตั้งข้อสังเกตและร้องเรียนต่อทางจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายทางอากาศว่า พบมีการบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง และอำเภอหางดง โดยเฉพาะในพื้นที่ขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง และในเขตอำเภอแม่ริม ที่อยู่ค่อนข้างใกล้ตัวเมืองที่มองเห็นการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าได้อย่างชัดเจน
วันนี้ (7 ส.ค.) นายบรรพต คันธเสน ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าว หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบข้อมูลและติดตามเร่งรัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว โดยพื้นที่ที่เกิดกรณีปัญหานั้น เบื้องต้นพบว่าพื้นที่ 4 อำเภอมีผู้ที่เข้าครอบครองทำประโยชน์ประมาณ 4,000 แปลง เฉพาะในพื้นที่บ้านขุนช่างเคี่ยนและอำเภอแม่ริมที่ติดต่อกันมีการบุกรุกทำประโยชน์ประมาณ 600 แปลง ซึ่งทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 41
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหานี้อย่างยิ่ง พร้อมสั่งให้ตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยส่วนราชการ ท้องถิ่น และภาคประชาชน เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการบุกรุกพื้นที่เพิ่มเติมจากพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 41 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิหรือไม่ พร้อมทั้งเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิในระดับจังหวัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ราษฎรว่ามีสิทธิครอบครองทำกินในพื้นที่ดังกล่าวได้หรือไม่ โดยในส่วนของบ้านขุนช่างเคี่ยน และบ้านแม่สาน้อยนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เน้นย้ำเป็นพิเศษให้เร่งดำเนินการให้เกิดความชัดเจนภายใน 1 เดือน เพราะเป็นพื้นที่ป่าที่อยู่ใกล้เมืองมาก
ขณะเดียวกัน นายบรรพตกล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้พื้นที่ดังกล่าวจะยังอยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดิน และห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือกันโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในความเป็นจริงมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันไปแล้วเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการซื้อขายเปลี่ยนมือไปตกอยู่ในกลุ่มนายทุนและชาวต่างชาติด้วย ซึ่งทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งทำการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนและดำเนินการทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเร็ว