“ปูอลาสก้า” เป็นหนึ่งในปูชื่อดังของโลก มีชื่อเสียงในเรื่องของความใหญ่และแพง แต่หลายๆ คนอาจจะยังสงสัยว่า ปูอลาสก้านั้น มีความวิจิตรพิสดารตรงไหน ทำไมจึงมีราคาแพงมากนัก “108 เคล็ดกิน” ก็เลยมีคำตอบมาเฉลยให้
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า ปูอลาสก้านั้น ไม่ได้หาจับได้ในบ้านเรา เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันจะอยู่ในแถบทะเลแบริ่ง และอ่าวอลาสก้า (พื้นที่ทะเลระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย) และที่ทะเลแบริ่งนี้ก็มีความลึกมาเพราะใต้ทะเลมีหุบเหว มีความลึกเฉลี่ย 1,600 เมตร และยังมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก อาจจะอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส หรือติดลบเลยทีเดียว
ฉะนั้น การจับปูอลาสก้าขึ้นมาย่อมต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นเป็นอันมาก แถมด้วยคลื่นลมในแถบนั้นก็ยังแรง มีคลื่นสูงมากตลอดเวลา ผู้ที่มีอาชีพจับปูอลาสก้า (หรือที่เรียกว่า Deadliest Catch) จึงต้องเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงมาก มีการเตรียมพร้อมทั้งร่ายกาย อุปกรณ์การทำประมง และอุปกรณ์ป้องกันอันตรายต่างๆ เพื่อให้สามารถอยู่รอดปลอดภัย จับปูมาขายได้ตามที่ต้องการ
ว่ากันว่า คนที่ทำอาชีพจับปูอลาสก้านั้นจะมีรายได้สูงมาก แต่ก็เสี่ยงตายมากด้วยเช่นกัน อันเนื่องมาจากระยะเวลาในการออกไปจับปูอลาสก้านั้นมีเฉพาะช่วงเทศกาล ใช้เวลาเตรียมเรือประมาณ 2 เดือน ส่วนเวลาที่ออกทะเลจริงเพียงประมาณ 5-7 วัน เท่านั้น แต่กลับมีรายได้อย่างต่ำประมาณ 300,000 บาท ต่อสัปดาห์ (ราว 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งนอกเทศกาลจับปู คนกลุ่มนี้ก็จะมีอาชีพเสริมอื่นๆ
ส่วนความเสี่ยงตายของอาชีพนี้ก็อยู่ที่อุณหภูมิที่หนาวเย็นขนาดที่น้ำสามารถกลายเป็นน้ำแข็งได้ทันที ประกอบกับคลื่นลมที่รุนแรง ทำให้สามารถตกลงไปในท้องทะเลได้ตลอดเวลา และหากใครตกลงไปก็สามารถเสียชีวิตได้ทันที จากการสูญเสียความร้อนอย่างฉับพลัน
เห็นว่า รายได้ดีแบบนี้ ถ้าจับปูอลาสก้าขึ้นมาเยอะๆ ก็จะได้เงินเยอะตามไปด้วย แต่ที่จริงแล้วไม่เป็นแบบนั้น เพราะได้มีการออกกฎหมายมากำหนดขนาดของปูที่จะสามารถจับขึ้นมาได้ ซึ่งถ้าละเมิดกฎหมายนี้ก็จะทำให้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต และไม่สามารถเข้าไปจับปูอลาสก้าได้อีก
ทั้งหมดนี้ก็เป็นสาเหตุว่าทำไม “ปูอลาสก้า” ถึงมีราคาแพงนัก แต่ว่ารสชาติของปูอลาสก้าก็ไม่น้อยหน้าใคร ทั้งเนื้อนุ่มหวานฉ่ำ แถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการและไขมันต่ำด้วย จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกแม้ว่าจะต้องจ่ายหนักกว่ากินปูชนิดอื่น