โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ถ้าหากถามว่าเรามีวันนี้ได้เพราะอะไร ฉันก็ขอตอบเลยว่า เพราะบรรพบุรุษของเราที่รวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น และยังสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ไว้ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย โดยเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์ ได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมือง และพัฒนาประเทศให้ก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ ฉันว่านี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นที่เราคงไม่สามารถตอบแทนได้หมดสิ้น
และเนื่องในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือวันปิยะมหาราช ซึ่งเป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่เคารพรักของทวยราษฎร์ เนื่องจากพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์นั้นได้ทำให้ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ฉันจึงขอร่วมรำลึกถึงพระองค์ท่าน ด้วยการเข้าไปชม “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ซึ่งตั้งอยู่ ณ ตึกถาวรวัตถุ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
ใครที่มาสนามหลวงแล้วเห็นตึกสีเหลืองอยู่ตรงฝั่งวัดมหาธาตุฯ นั่นแหละคือสถานที่ตั้งของอาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ มองดูภายนอกแล้วก็จะเห็นถึงความสวยงามของสถาปัตยกรรม แต่นอกจากนั้นแล้ว ต้องขอบอกเลยว่า อาคารแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ภายหลังจากมีการตั้งมหาธาตุวิทยาลัย
อีกประการหนึ่งคือเพื่อเป็นที่อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาประดิษฐานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลนั้นแล้วจะได้ถวายอาคารนี้ให้เป็นสังฆิกเสนาสนะสำหรับมหาธาตุวิทยาลัยต่อไป
การสร้างอาคารถาวรวัตถุนี้แล้วเสร็จในรัชกาลที่ 6 และทรงพระราชทานให้เป็นที่ตั้งของหอสมุดสำหรับพระนคร ซึ่งต่อมาก็ได้มีการใช้งานเรื่อยมา จนกระทั่งมีการปรับปรุงเพื่อให้เป็นที่จัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระปิยมหาราช
ภายในนิทรรศการจะแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 7 ส่วน ซึ่งฉันจะเริ่มเดินชมนิทรรศการกันที่ “ห้องปิยมหาราช” ห้องนี้มีทั้งเนื้อหาและภาพเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระองค์ท่าน รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่สำคัญต่างๆ ที่ทำให้คนรุ่นหลังอย่างฉันได้รู้ว่า สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในทุกวันนี้ก็ล้วนแต่เกิดขึ้นจากสายพระเนตรอันยาวไกล รวมทั้งได้อัญเชิญพระบรมราโชวาทในวาระต่างๆ ที่แสดงถึงพระราชปณิธานของพระองค์
พอเดินผ่านเข้ามายังส่วนที่ 2 “ห้องราชเคียงประชา” ก็มีเสียงส่งเข้ามาทักทายก่อนเป็นอันดับแรก โดยเป็นเสียงจากวีดิทัศน์เกี่ยวกับการเลิกทาส ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ที่ทำให้สังคมไทยเกิดความเสมอภาคกัน ทำให้ราษฎรไทยได้เป็นไท และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการศึกษาอย่างเป็นแบบแผน ดังที่ทรงมีพระราชดำรัสในวันพระราชทานประกาศนียบัตร ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ว่า “...ตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นลงไป ตลอดจนราษฎรต่ำที่สุด จะได้มีโอกาสได้เล่าเรียนเสมอกัน...”
ส่วนในเรื่องของการสอดส่องความเป็นอยู่ของราษฎรนั้น ก็ได้มีการเสด็จพระพาสต้น เพื่อจะได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรตามความเป็นจริง และได้ล่วงรู้ถึงทุกข์สุขของพสกนิกรด้วยพระองค์เอง เดินดูภาพและข้อมูลต่างๆ แล้ว ฉันรู้สึกได้เลยว่า พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างประชาชนจริงๆ ดังชื่อของห้องนี้
ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่มีชาวต่างชาติเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยอย่างมาก และยังเป็นช่วงที่ลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกมีผลกระทบโดยตรงกับดินแดนในทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยของเรา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำเนินพระราชวิเทโศบายต่างๆ เพื่อให้ชาติไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ถ้าหากว่าเห็นการจัดแสดงภาพต่างๆ ภายใน “ห้องธำรงเอกราช” จะเห็นได้เลยว่าพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้สามารถดำรงเอกราชของชาติไว้ได้ แม้จะต้องเสียดินแดนไปเป็นบางส่วนก็ตาม
หลังจากผ่านวิกฤติต่างๆ มาแล้ว บ้านเมืองของเราก็เริ่มมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากการเสด็จประพาสชาติตะวันตกหลายประเทศ พระองค์ได้นำความทันสมัยหลากหลายด้านมาปรับใช้กับประเทศไทย อย่างเช่นการวางรากฐานกิจการด้านสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็น การไฟฟ้า น้ำประปา การไปรษณีย์ อันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาบ้านเมืองต่อมา ที่ “ห้องสยามใหม่” แห่งนี้ นอกจากจะได้เห็นว่าบ้านเมืองเรามีการพัฒนาในด้านใดบ้างแล้ว ฉันก็ได้ลองเขียนและส่งไปรษณียบัตรที่ระลึก หย่อนลงในตู้สำหรับทิ้งหนังสือฝาก หรือตู้ไปรษณีย์ ที่มีคุณบุรุษไปรษณีย์ยืนประจำการอยู่ด้วย
นอกจากการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว ศิลปะต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นก็มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก เกิดขึ้นจากการผสมผสานศิลปกรรมจากโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน สังเกตได้จาก “ห้องมรดกสถาปัตยกรรมแห่งสยาม” ที่แสดงอาคารจำลองสถาปัตยกรรมสำคัญ 5 แห่ง ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งก็คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม วังบางขุนพรหม ธนาคารไทยพาณิชย์ (สาขาตลาดน้อย) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ ตึกถาวรวัตถุ อันเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการแห่งนี้เอง ถ้ามองดูตึกเหล่านี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นรูปทรงออกไปทางตะวันตก แต่ก็มีศิลปกรรมแบบไทยๆ ที่อ่อนช้อยเข้ามาผสมอยู่มากเหมือนกัน
การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะกับคนไทย เพราะเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวเนื่องในด้านการพัฒนาประเทศ ระหว่าง พ.ศ.2411-2453 ก็ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งหากอยากรู้ว่ามีเอกสารอะไรบ้างนั้นก็ต้องเข้ามาที่ “ห้องมรดกความทรงจำแห่งโลก” สามารถเลือกหยิบหนังสือมาอ่าน หรืออ่านจากสำเนาเอกสารด้วยระบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-บุ๊ค ก็ได้
ส่วนห้องสุดท้าย “ปิยมหาราชรฤก” จะอยู่บริเวณระเบียงของตึก จัดแสดงภาพถ่ายส่วนพระองค์จำนวนมาก โดยทางกรมศิลปากรจะมีการหมุนเวียนภาพที่นำมาจัดแสดงเป็นระยะ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นระเบียงภาพมีชีวิต ฉันเดินดูภาพต่างๆ แล้วก็นึกย้อนกลับไปในสมัยก่อน แม้ว่าจะเกิดไม่ทัน แต่ก็ได้เห็นสังคมไทยสมัยก่อนผ่านภาพถ่ายเหล่านี้
ใครที่เดินชมนิทรรศการจนจุใจแล้ว ขาออกก็ยังมีส่วนที่จัดจำหน่ายหนังสือที่มีคุณค่าทางโบราณคดีมากมาย โดยเงินรายได้จะนำไปสมทบกองทุนเพื่อบูรณะสถานที่ แถมเพิ่มเติมอีกนิดสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป ที่นี่สามารถเข้าไปเก็บความทรงจำผ่านเลนส์ได้เลย แต่งดใช้แฟลชและขาตั้งกล้อง เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ภาพและสถานที่จัดแสดง
สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ หากเข้ามาชมนิทรรศการนี้ก็อาจจะได้เห็นถึงความเป็นมาช่วงหนึ่งของชาติไทย แต่สำหรับคนทั่วไปอย่างฉัน รวมไปถึงลูกหลาน เด็กเล็ก เด็กโต พ่อแม่พี่น้อง ฉันก็อยากจะชวนให้เข้ามาที่นี่ เพื่อซึมซับความเป็นชาติไทย และพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทย จนสามารถยืนอยู่ได้ในทุกวันนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ตึกถาวรวัตถุ) ตั้งอยู่ข้างวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (ฝั่งสนามหลวง) เปิดให้เข้าชมวันพุธ-ศุกร์ (หยุดวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.30-16.00 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โทร. 0-2222-4867, 0-2221-6830
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com