หน้าฝนมาเยือนแล้ว ทำให้ธรรมชาติรอบๆ ตัวดูเขียวขจี ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนอันเย็นฉ่ำ เสียจริงเชียว
“ตะลอนเที่ยว” ชื่นชอบหน้าฝนอยู่ไม่น้อย เพราะว่าเวลาฝนตกแล้วทำให้อากาศเย็นดี จะนอนอยู่บ้านก็สบาย แต่คนชอบเที่ยวอย่างเรา จะมัวแต่มานอนอยู่บ้านก็กระไรอยู่ ต้องหาเหตุออกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันดีกว่า
และในทริปนี้เราได้ออกเดินทางมายังจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้ามายัง “เมืองชายแดน แคว้นประวัติศาสตร์ ธรรมชาติงดงาม นามไทรโยค” ซึ่งนี่คือคำขวัญประจำอำเภอ “ไทรโยค” ที่เราเลือกที่จะมาเที่ยว เพราะที่อ.ไทรโยคแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ชวนเที่ยวมากหลายตามคำขวัญประจำอำเภอเลย
เราเปิดฉากเที่ยวกันที่ “อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์” ที่เห็นชื่อแล้วหลายคนชอบเข้าใจผิดว่าตั้งอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี แต่ว่าไม่ใช่ เพราะอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ หรือ “ปราสาทเมืองสิงห์” เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อย ต.เมืองสิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นโบราณสถานที่มีศิลปะการก่อสร้างอยู่ในยุคลพบุรีตอนปลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-18 มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีเนื้อที่ประมาณ 800 กว่าไร่ มีกำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลงขนาดกว้าง 880 ม. ตัวปราสาทล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง คูน้ำ และแนวคันดิน สร้างตามรูปแบบศิลปะขอมแบบบายน ตรงกับสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของประเทศกัมพูชา
เมื่อมาชมปราสาทเมืองสิงห์ จะได้เห็นถึงร่องรอยประวัติศาสตร์อันงดงาม แต่ก่อนที่จะไปชมตัวปราสาทฯ เราเข้าไปชมอาคารจัดแสดงวัตถุโบราณกันก่อน ภายในจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้และของมีค่าที่ขุดค้นพบ มีพระพุทธรูปปางต่างๆ จำลองไว้
จากนั้นจึงค่อยเดินไปยังตัวปราสาทเมืองสิงห์ที่อยู่ด้านใน ที่เมื่อเห็นแล้วก็ต้องบอกว่าตัวปราสาทมีความงดงามเป็นอย่างยิ่งตามแบบศิลปะขอม มีโคปุระ (ซุ้มประตู) และระเบียงคดอยู่ล้อมรอบปรางค์ประธานทั้งสี่ทิศ มีบรรณาลัย หรือหอไตรที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บคัมภีร์ทางศาสนา และที่ปรางค์ประธานด้านในมีรูปเคารพของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ในภาคที่เรียกว่าเปล่งรัศมีประดิษฐานอยู่ และด้านหลังยังมีรูปเคารพของนางปรัชญาปารมิตาประดิษฐานอยู่ อีกทั้งภายในอุทยานฯ ยังมีหลุมขุดค้นโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ที่มีอายุราว 2,000 ปีให้ได้ชมกันอีกด้วย
เราได้เดินชมปราสาทเมืองสิงห์กันจนทั่ว ได้เก็บภาพประทับใจและซึมซัมเรื่องราวความรู้มากมายแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังที่เที่ยวต่อไป โดยเราจะไปหาความสดชื่นเย็นฉ่ำกับสายน้ำตกกันที่ “น้ำตกไทรโยคน้อย” หรือ “น้ำตกเขาพัง” เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ถ.สายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) กิโลเมตรที่ 46
น้ำตกไทรโยคน้อย เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ตัวน้ำตกเกิดจากหน้าผาหินปูนที่พังทลายลงมา จนเกิดโขดหินปูนลดหลั่นกันอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา มีต้นกำเนิดเป็นน้ำผุดจากภูเขาแล้วไหลมาตามลำธารเล็กๆ ไหลตกลงที่ผาหินปูนที่มีความสูง ประมาณ 15 ม. แล้วแผ่กระจายไปตามพื้นเขาลาดเอียง รอบข้างร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
ปัจจุบันน้ำตกไทรโยคจะมีสายน้ำ(มาก)ไหลชุ่มฉ่ำสวยงามเฉพาะหน้าฝนเท่านั้น ส่วนยามหน้าแล้งเดี๋ยวนี้สายน้ำได้เหือดแห้งหายไปมากแบบหนังคนละเรื่องเลย
จากน้ำตกไทรโยคเดินไปไม่ไกลจะพบกับร่อยรอยของเส้นทางรถไฟสายมรณะ และรถจักรไอน้ำ ซี 56 หมายเลข 702 ผลิตในประเทศญี่ปุ่น นำมาใช้ปี พ.ศ. 2489-2519 การรถไฟแห่งประเทศไทยมอบให้ จ.กาญจนบุรี ไว้ ณ น้ำตกไทรโยคน้อย เพื่อเป็นอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์และส่งเสริมการท่องเที่ยว
พอได้สดชื่นใจกับสายน้ำตกสวยๆ แล้ว เราก็ออกเที่ยวกันต่อดีกว่า ซึ่งที่หมายต่อไปคือการไปเที่ยวถ้ำกันที่ “ถ้ำละว้า” หรือเรียกกันอีกชื่อว่า “ถ้ำลาวา” เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบโดยนายเผิน ดอกเข็ม เมื่อปี พ.ศ. 2496 และเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งบริเวณปากทางเข้าถ้ำไม่กว้างมากนัก แต่เมื่อเข้าไปภายในถ้ำแล้วจะพบกับถ้ำที่มีความกว้างใหญ่ ภายในถ้ำละว้าไม่น่ากลัว เพราะว่ามีแสงไฟส่องสว่าง และมีทางเดินที่สบายไม่ลำบาก
ภายในถ้ำละว้าแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องท้องพระโรง ห้องดนตรี ห้องม่านบรรทม ให้เดินชม เราจะได้พบกับความงดงามของหินงอกหินย้อยที่มีรูปร่างแปลกตามากมาย และมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น หินบางก้อนเป็นรูปหัวใจ เป็นรูปจระเข้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการจินตนาการร่วมไปด้วย และหินบางก้อนถ้าเคาะแล้วก็จะมีเสียงคล้ายเครื่องดนตรี แถมภายในถ้ำยังมีค้างคาวอาศัยอยู่อีกด้วย
“ตะลอนเที่ยว” เดินเที่ยวภายในถ้ำละว้าจนสุดทางแล้วก็ต้องเดินออกมาทางเดิม เพราะถ้ำแห่งนี้มีทางเข้าออกทางเดียว จากนั้นเราก็รีบตรงดิ่งไปยังที่เที่ยวต่อไปที่รออยู่ นั่นคือที่ “ช่องเขาขาด” มาเที่ยวที่นี่เหมือนเราได้มาร่วมรำลึกเส้นทางประวัติศาสตร์อันสำคัญ นั่นคือการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ (ไทย-พม่า)ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อมาถึงที่ช่องเขาขาด เราเข้าไปชม “พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ” กันก่อน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ และชวนชมเป็นอย่างมาก ภายในจัดแสดงมินิเธียเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงการก่อสร้างทางรถไฟ มีข้อมูลและภาพถ่าย รวมถึงจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ระหว่างการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ได้ชมกัน ซึ่งดูแล้วทำให้ได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบาก และชีวิตของเหล่าเชลยศึกที่น่าสงสารมาก ที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะนี้
และหลังจากที่ซึมซับข้อมูลจากตัวพิพิธภัณฑ์กันแล้ว เราก็เดินไปชมเส้นทางรถไฟสายมรณะของจริงกันเลย ที่อยู่ตรงช่องเขาขาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ (ไทย-พม่า) ซึ่งระหว่างทางก่อนที่เดินไปถึงยังช่องเขาขาด ก็มีร่องรอยของไม้หมอนรถไฟเป็นเส้นทางรถไฟให้เห็นอยู่ รวมถึงยังมีข้อมูลต่างๆ ให้อ่านเป็นระยะๆ จนกระทั่งมาถึงยังช่องเขาขาด ก็จะได้เห็นภูเขาที่ถูกตัดเป็นช่อง และเห็นร่องรอยรางรถไฟ ซึ่งภูเขาตรงช่องเขาขาดนี้ เป็นฝีมือการตัดเจาะภูเขาหินอันแข็งแกร่งด้วยน้ำมือของเหล่าเชลยศึกทั้งหลาย ไม่มีเครื่องมืออันทันสมัยใดๆ ต้องทำงานด้วยความยากลำบาก ทุกข์ทรมานแสนสาหัส และทำงานท่ามกลางกองไฟอันร้อนราวกับไฟนรกที่ถูกจุดไว้ตลอดวันตลอดคืน ทำให้ช่องเขาขาดแห่งนี้มีอีกชื่อที่เรียกว่า “Hell Fire Pass” หรือ "ช่องไฟนรก"
เราได้เดินชมร่องรอยของเส้นทางรถไฟสายมรณะที่ช่องเขาขาดแล้ว ก็รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อยเลย และก็ภาวนาขออย่าให้เกิดสงครามโลกอีกเลยเถอะ จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปเที่ยวให้หายหดหู่ใจกันดีกว่า ไปเที่ยวผ่อนคลายกับสายน้ำตกอันฉ่ำเย็นกันดีกว่า มากันที่ “น้ำตกไทรโยคใหญ่” หรือเรียกอีกชื่อว่า “น้ำตกเขาโจน” ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติไทรโยค รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาส ณ น้ำตกแห่งนี้ด้วยเมื่อครั้งอดีต จัดว่าเป็นน้ำตกที่สวยงาม โดยตัวน้ำตกไหลจากหน้าผาลงสู่แม่น้ำแควน้อย และแยกเป็น 2 ทาง ส่วนที่อยู่ทางตอนเหนือเป็นน้ำตกขนาดกลางชั้นเดียว รองรับด้วยชั้นหินสลับกันเป็นชั้นๆ มีความสูงประมาณ 8 ม. ส่วนทางด้านใต้เป็นน้ำตกที่มีความสูงมากกว่า และสายน้ำพุ่งตกลงมาสู่แม่น้ำแควน้อย
เราสามารถเที่ยวชมทัศนียภาพของน้ำตกไทรโยคใหญ่ ได้โดยการเดินข้ามสะพานแขวนไปยังฝั่งตรงข้าม หรือจะนั่งเรือชมความงามของสายน้ำตกที่กระโจนจากหน้าผาสู่แม่น้ำแควน้อยอย่างงดงาม ดูแล้วสร้างความสดชื่นใจเป็นอย่างมาก
ทริปนี้ “ตะลอนเที่ยว” ปิดฉากเที่ยวเมืองกาญจน์แต่เพียงแค่นี้ แต่ทว่าที่อ.ไทรโยค ก็ยังมีสถสานที่ท่องเที่ยวที่อื่นๆ ที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวกันอีก ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำกระแซ เป็นถ้ำที่เคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งสร้างทางรถไฟสายมรณะ วัดป่าหลวงตาบัวฯ ที่มีเสือและสัตว์นานาชนิดให้ได้ชม ถ้ำวังบาดาล, ถ้ำแก้ว, ถ้ำดาวดึงส์ ที่ล้วนแล้วแต่มีหินงอกหินย้อยที่งดงาม หรือถ้าอยากจะเที่ยวแบบผจญภัยก็มีช้างให้ขี่ มีแพให้ล่อง เรียกว่า อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกเที่ยวแบบหลากหลาย ตามไลฟ์สไตล์ของนักเที่ยวกันไป