ธุรกิจท่องเที่ยวทุกวันนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งดึงดูดเงินตราเข้าประเทศได้เป็นอย่างดี ทำให้หลายๆ ประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของการท่องเที่ยว จึงได้ทำการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวมากขึ้น ดังเช่นประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้มีการจัดงาน “Jogja Travel Mart 2012” (JTM 2012) ขึ้น ที่เมืองยอกยาการ์ตา โดยหนึ่งในตัวแทนสำคัญจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่เข้าร่วมในโครงการครั้งนี้ก็คือ “สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว”(Thai Travel Agents Association : TTAA)
นายสุทธิพงศ์ เผื่อนพิภพ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า การเดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ เพื่อที่จะมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอินโดนีเซีย เพราะปีหนึ่งๆคนอินโดนีเซียไปเที่ยวประเทศไทยสองแสนกว่าคน แต่คนไทยมาเที่ยวอินโดนีเซียแค่ประมาณ 1 ใน 3 หรือประมาณปีละเจ็ดหมื่นกว่าคน ดังนั้นจุดประสงค์ของ TTAA ในการมาครั้งนี้ คือต้องการกลับไปแล้วชักชวนให้คนไทยมาเที่ยวอินโดนีเซียให้มากขึ้น
“อินโดนีเซียมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวคนไทย ในเรื่องของโรงแรม ถ้าตามเมืองใหญ่ ๆ อย่างบาหลี จาการ์ตา ยอกยา ก็มีโรงแรมทุกระดับตั้งแต่ 1-6 ดาวให้เลือกมากมาย มีความสะดวกสบาย จะมีเรื่องที่ติดขัดบ้างสำหรับนักท่องเที่ยวคนไทย ก็เห็นจะเป็นเรื่องอาหารที่อาจจะไม่ค่อยถูกปากคนไทยมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ผมอยากให้คนไทยมาเที่ยวยอกยากัน ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ คือบุโรพุทโธ อยากให้คนพุทธในประเทศไทย ได้ไปเที่ยวพุทธสถานทั้งที่เป็นปัจจุบันและเป็นอดีต และที่ยอกยาก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย” สุทธิพงศ์ กล่าว
สำหรับเมือง “ยอกยาการ์ตา” (Yogyakarta) หรือ “ยอกยา” (Jogja) ถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญของประเทศอินโดนีเซีย ได้ชื่อว่าเป็น “อู่วัฒนธรรมชวา” เพราะเป็นศูนย์กลางทางศิลปวัฒนธรรมสำคัญของชวา มีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติ รวมถึงวิถีชีวิตของคนอินโดนีเซียให้ได้สัมผัสผ่านสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่น่าเที่ยวชมมากมาย
สถานที่ท่องเที่ยวชื่อก้องโลกที่ถ้าหากมาเยือนยอกยาแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะไปเที่ยวชม “บุโรพุทโธ” (Borobudur-โบโรบูดูร์ หรือ บรมพุทโธ) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศอินโดนีเซีย ได้รับมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ปี ค.ศ.1991
บุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายานและเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ.778 ถึง ค.ศ.850 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ เป็นพุทธสถานแบบฮินดูชวา ผสมผสานกับศิลปะแบบอินเดียและอินโดนีเซียเข้าด้วยกัน สร้างจากหินภูเขาไฟ เป็นรูปทรงขั้นบันไดแบบปิรามิดบนฐานสี่เหลี่ยม องค์เจดีย์มีลักษณะเป็นรูปทรงดอกบัว ซึ่งสื่อถึงสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
ความยิ่งใหญ่ของบุโรพุทโธแบ่งออกเป็น 3 ชั้นหลักๆ เปรียบเสมือนชีวิตที่แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ กามาธาตุ รูปธาตุ และ อรูปธาตุ ชั้นแรกเปรียบเป็นส่วนฐานของเจดีย์ มีภาพสลักหินนูนต่ำอันงดงามกว่า 160 ภาพ ชั้นที่ 2 คือชั้นรูปธาตุ มีภาพสลักเป็นภาพพุทธประวัติที่ได้รับอิทธิพลศิลปะ ชั้นที่ 3 เป็นชั้นบนสุด มีฐานเป็นลานทรงกลม มีเจดีย์เล็กๆ 3 แถว 72 องค์ รายล้อมรอบเจดีย์องค์ใหญ่ ลักษณะเป็นเจดีย์ยอดตัด เจดีย์เล็กๆ จะเป็นเจดีย์โปร่ง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
นอกจากบุโรพุทโธที่ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์แห่งอินโดนีเซียแล้ว เมืองยอกยาการ์ตายังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจได้แก่
“วิหารปรัมบานัน” (Prambanan) หรือ “วัดปรัมบานัน” หรือ “จันทิปรัมบานัน” ที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ เพราะเป็นศาสนสถานแห่งเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
ภายในวิหารมีความยิ่งใหญ่สวยงาม อลังการ มีจันทิหลักที่สร้างเรียงเป็น 4 แถวจำนวน 224 หลัง โดยมีจันทิหลักขนาดใหญ่ 3 หลังด้วยกัน คือ องค์ประธานหลังกลางที่ใหญ่ที่สุด เด่นที่สุด และสูงที่สุด (ประมาณ 47 ม.) เป็นจันทิที่สร้างถวายแด่พระอิศวร อีก 2 หลังเล็กลงมา เป็นจันทิทิศเหนือที่สร้างถวายแด่พระนารายณ์ และจันทิทิศใต้สร้างถวายแด่พระพรหม และยังมีจันทิพาหนะทรงของเทพทั้ง 3 คือโคนนที(พระศิวะ) หงส์(พระพรหม) และครุฑ(พระนารายณ์) แต่ปัจจุบันเหลือเพียงโคนนทีเท่านั้น
“พระราชวังสุลต่าน” (Sultan Palace หรือ Kraton Ngayogyakarta) สร้างขึ้นปี ค.ศ.1756-1790 บนพื้นที่ 14 ตร.กม. โดยสุลต่านฮาเมงกูบูโวโน ที่ 1 ตามคติแบบฮินดู ซึ่งสมมติว่าพระราชวังเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล ภายในวังมีประตู 9 ชั้น หมายถึงทวารทั้ง 9 ของมนุษย์ในคติฮินดู
พระราชวังแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบชวาผสมผสานกับดัชต์ ใช้เป็นสถานที่ประทับของสุลต่านยอกยาการ์ตาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ประทับอยู่ถาวรแล้ว) ภายในพระราชวังมีสถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สวยงามและสะท้อนให้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรมชวาให้ได้ชมกัน มีการจัดห้องต่างๆ จัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของผู้ปกครองเมืองยอกยาการ์ตาให้ได้รับรู้ และมีสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ต่างๆ รวมถึงของล้ำค่ามากมายที่หาชมได้ยาก
ส่วนใครถ้าอยากสัมผัสกับธรรมชาติของเมืองยอกยาก็มากันได้ที่“ “ภูเขาไฟเมราปี” (Mount Merapi) เป็นภูเขาไฟ 1 ใน 129 ลูกของอินโดนีเซียที่ยังครุกรุ่นอยู่ มีความสูง 2,968 ม. จากระดับน้ำทะเล เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2553 ภูเขาไฟเมราปีได้เกิดระเบิดขึ้น พ่นเถ้าถ่านและลาวาออกมาคร่าชีวิตผู้คนและสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้คนมักจะไปดูร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้น จะได้เห็นซากบ้านเรือน รถยนต์ที่ถูกเผาไหม้จากความร้อนของลาวา เห็นร่องรอยของธารลาวาที่ไหลไปตามเส้นทางยาวลงไปสู่ด้านล่างหลายกม. ได้เห็นต้นไม้ใหญ่ที่เหลือแต่ตอยืนต้นตายเพราะถูกลาวาเผาทำลาย แต่ทุกวันนี้ธรรมชาติก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา ให้ได้เห็นถึงความเขียวขจีขึ้นมากแล้ว
ขณะที่สินค้าที่ระลึกขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ “ผ้าบาติก” (Batik) ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย เพราะผู้คนที่ยอกยาจะนุ่งผ้าบาติกหลากสีสันและหลายหลากลวดลายสวยๆ ให้ได้พบเห็นทั่วเมือง นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถชมวิธีการทำผ้าบาติกได้ตามร้านขายผ้าบาติกขนาดใหญ่ และสามารถเลือกซื้อหาผ้าบาติกสวยๆ ที่มีทั้งผ้านุ่ง ผ้าพันคอ เสื้อผ้าผู้หญิง-ผู้ชาย กระเป๋า ผ้าคลุมโต๊ะ และสินค้าจากผ้าบาติกอีกมากมาย
กล่าวได้ว่า “ยอกยาการ์ตา” เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีเสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรมอันหลากหลายของอินโดนีเซีย ที่หากใครได้มาเยือนแล้วอาจจะหลงรักได้อย่างไม่ยากเย็น