xs
xsm
sm
md
lg

“พระป่วน”คนด่า-“พระป่า”คนนับถือ/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
วัดภูทอกในบรรยากาศวัดป่าอันร่มรื่น
ในยุค"ศรัทธา มาร์เก็ตติ้ง" ที่หลายวัดหันมาเน้นวัตถุ สร้างสิ่งใหญ่โตประเภทที่สุดในโลก หรือสิ่งแปลกปลอมขึ้นภายในวัด โดยอ้างเหตุเพื่อดึงคนให้เข้าวัด แต่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเพิ่มดีกรีความยึดติดของเพศฆราวาสให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใครและใครหลายคนรู้สึกว่าเวลาตนเองเข้าวัดแล้วร้อน

แต่เหตุที่ร้อนนั้นไม่ได้มาจากความร้อนในกิเลส ตัณหา หรือแสบร้อนแบบพวกภูตผีปีศาจ หากแต่เป็นความร้อนที่เกิดมาจากการที่วัดได้ตัด ต้นไม้ใหญ่น้อย ปรับเปลี่ยนลานหญ้า ลานดิน ลานทราย สระน้ำให้กลายเป็นลานจอดรถคอนกรีตแข็งกระด้างและร้อนระยับ

เรียกว่าตรงกันข้ามกับ “วัดป่า”โดยสิ้นเชิง ซึ่งปัจจุบัน วัดป่าหลายๆแห่งมีผู้คนเข้าไปท่องเที่ยว ศึกษาหาธรรมะกันเป็นจำนวนมาก แม้หลายๆวัดทางวัดจะออกมาพูดย้ำอยู่เสมอว่า วัดแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นการเข้ามาในวัดโปรดสำรวม แต่งกายให้เหมาะสม อย่าส่งเสียงดัง

แต่กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเพราะยึดมั่นในคติไทยอย่างแนบแน่นว่าทำอะไรคือไทยแท้

1...

เหตุที่ช่วงหลังๆชาวพุทธส่วนหนึ่งหันมาเข้าวัดป่ากันมาก ก็เป็นเพราะความเสื่อมศรัทธาในวัดบ้านและพระบ้าน ซึ่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแบ่งออกสองสายหลักๆ คือ ฝ่ายคันถธุระ และฝ่ายวิปัสสนาธุระ

ฝ่ายคันถธุระ หรือ ฝ่าย“คามวาสี” เป็นพระสงฆ์ที่ มุ่งศึกษาพระปริยัติธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความรอบรู้ในหลักธรรม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ จึงมักจะอยู่จำวัดในเขตเมือง ใกล้เขตชุมชน เพื่อความสะดวกในการแสวงหาความรู้ และใช้ความรู้นั้นๆสั่งสอนฆราวาส

พระภิกษุฝ่ายคามวาสี คนนิยมเรียกกันสั้นๆง่ายๆว่า “พระบ้าน”

ส่วนฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือฝ่าย “อรัญวาสี” เป็นพระสายปฏิบัติที่มุ่งนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เน้นไปที่การฝึกสมาธิ ฝึกจิตใจ และศึกษาแก่นแท้ของธรรมในศาสนาพุทธเพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นความรู้ที่แท้จริงตามหลักของพระพุทธศาสนา จึงจำเป็นต้องหาที่สงบสงัด ห่างไกลต่อการรบกวนจากภายนอกในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นพระภิกษุฝ่ายนี้จึงออกไปสู่ป่าเขา

พระภิกษุฝ่ายอรัญวาสี คนนิยมเรียกกันสั้นๆว่า “พระป่า” หรือ “พระธุดงค์

พระป่า หรือ พระธุดงค์ในเมืองไทย ยังมีการแบ่งออกเป็น 2 สายหลักๆอีก สายหนึ่งเป็นพระธุดงค์ฝ่ายธรรมยุติ หรือเรียกว่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ส่วนอีกสายหนึ่งเป็นพระธุดงค์ฝ่ายมหานิกาย ในสายหลวงพ่อสนอง วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี และหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

แต่ก่อนในบ้านเราพระธุดงค์หลายๆรูป เมื่อออกเดินธุดงค์ฝึกสมาธิ ปฏิบัติธรรม จนถึงจุดๆหนึ่งแล้วพบว่ามีสถานที่เหมาะสม ก็จะทำการตั้งสำนักสงฆ์ หรือสร้างวัดป่าขึ้น โดยวัดป่าจะต่างจากวัดบ้านตรงที่จะอยู่ห่างไกลจากเขตเมือง(ในสมัยก่อน) เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ไม่เน้นวัตถุสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต และเป็นพระปฏิบัติที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย

แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ถือเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางสังคมไทย ที่วัดหลายๆวัดเน้นหนักไปในทางวัตถุ เน้นหนักไปทางพุทธพาณิชย์ ซึ่งผิดแผกแตกต่างไปจาก “วัดป่า” ที่มุ่งเน้นในเรื่องหลักธรรมคำสอน วัตรปฏิบัติ และแก่นแท้ของการศึกษาธรรมในศาสนาพุทธเป็นสำคัญ
ร่มรื่น สงบกาย เย็นใจ ที่วัดป่าเชิงเลน
2...

ปัจจุบันเมืองไทยมีวัดป่าอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เป็นวัดป่าจริงๆและวัดป่าแอบแฝง โดยหนึ่งในวัดป่าที่ผมชื่นชอบและเห็นว่ามีลักษณะแตกต่างไป

วัดป่าอยู่หลายวัด โดยเฉพาะทางภาคอีสานนี่มีค่อนข้างมาก แต่ที่หลายๆคนไม่รู้ก็คือ ในกรุงเทพฯเมืองหลวงที่วุ่นวายพลุกพล่านนั้นก็มีวัดป่าอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือ “วัดป่าเชิงเลน”

วัดป่าเชิงเลน ตั้งอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 ปากซอยทางเข้าอยู่ข้างห้างแมคโครจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กทม.

วัดป่าเชิงเลน มีอายุเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ด้วยความที่สถานที่ตัววัดอยู่ติดคลอง ทำให้ถูกน้ำท่วมบ่อยครั้ง จนวัดทรุดโทรมและถูกทิ้งร้างไปเป็นเวลายาวนานนับร้อยปี

จนกระทั่ง พระอาจารย์อุทัย (ติ๊ก) ฌานุตฺตโม พระป่าสายอีสานศิษย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้ธุดงค์มาพบวัดร้างแห่งนี้เข้าโดยบังเอิญใน ปี 2532

พระอาจารย์อุทัย จึงได้ทำการบูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2533 ก่อกำเนิดเป็นวัดป่าเชิงเลนขึ้นมา

วัดป่าเชิงเลน ถือเป็นโอเอซิสแห่งจิตวิญญาณแห่งเมืองกรุง ที่มีพระภิกษุอยู่เพียงไม่กี่รูป แต่ทั้งหมดล้วนต่างเป็นพระที่เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ

และด้วยความมุ่งเน้นเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้ช่วยละกิเลสที่ยึดติดในวัตถุทั้งหลายทั้งปวง ที่วัดแห่งนี้ จึงไม่มีการก่อสร้างอาคารอะไรใหญ่โต

สำหรับโบสถ์ของวัดนั้นสร้างอ้างอิงจากของเดิม มีเพียงหลังคาและฐานรากที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้แข้งแรง ส่วนกำแพงใช้ซากกำแพงของเก่าผสมผสานไปกับแนวต้นไม้ที่เป็นดังกำแพงธรรมชาติ

ขณะที่สิ่งก่อสร้างอื่นๆ เช่น ศาลาการเปรียญ ศาลากลางน้ำ ศาลาร่วมใจ กุฏิของพระสงฆ์ ก็สร้างอย่างเรียบง่าย กลมกลืนไปกับธรรมชาติต้นไม้ใบหญ้า ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักคิดที่ไม่ต้องการให้ผู้คนยึดติดในวัตถุ สิ่งปลูกสร้างใหญ่โต อีกทั้งมัวเมาลุ่มหลงในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และสิ่งที่มาหลอกล่อใจให้เกิดกิเลสไม่รู้จบ

ที่สำคัญคือที่วัดป่าแห่งนี้ไม่มีเลข เบอร์ ไม่มีเครื่องรางของขลัง ไม่มีความเจริญทางด้านวัตถุ หากแต่เป็นวัดที่มุ่งสอนให้คนมีความสงบทั้งทางกายและทางใจ ซึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมเคยสนทนาธรรมกับหลวงพี่นิรนามรูปหนึ่งที่วัดป่าแห่งนี้ โดยท่านบอกกับผมว่า

“ความสงบทางกายที่ได้จากการมาที่วัดนี้ก็อย่างที่คุณโยมเห็น คือเมื่อกายได้มาสัมผัสกับความร่มเย็นของธรรมชาติ ต้นไม้ที่เขียวครึ้ม สายน้ำที่ไหลเย็น รวมถึงดอกไม้กล้วยไม้ที่ออกดอกให้สีสันสวยงาม กายก็จะเกิดความเย็นสบายแล้วก็กลายเป็นความสงบขึ้นมา”

“แต่ว่าความสงบทางกายก็ถือเป็นความฉาบฉวยนะคุณโยม เพราะความสงบที่แท้จริงมันต้องเป็นความสงบในจิตใจ ใครที่มาที่นี่หากมาสนทนาธรรมกับพวกอาตมา พวกอาตมาก็จะสอนให้รักษาศีล สอนการกำหนดสมาธิรวมถึงวิธีการทำจิตให้สงบ เพราะถ้าจิตสงบมันก็จะไม่เกิดกิเลส”

นี่ถือเป็นประโยคอันทรงคุณค่าที่สามารถฟังได้ง่ายแต่การปฏิบัตินั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะกับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวังวนกิเลส
พระเดินธุดงค์เข้าเมืองกับคำถามถึงความเหมาะสม
3...

ขณะที่ผู้คนจำนวนหนึ่ง อยากหลีกหนีความวุ่นวาย พลุกพล่าน พลุ่งพล่าน ของเมืองใหญ่มุ่งสู่ความสงบในวิถีธรรมชาติ พระสงฆ์หลายรูปอยากเข้าหาวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดเพื่อแสวงหาแนวทางหลุดพ้นตามวัดป่าต่างๆ แต่น่าแปลกที่กลับมีพระจำนวนหนึ่งกลับมีพฤติกรรมสวนทางด้วยการเดินธุดงค์นะจ๊ะเข้าเมืองหลวง จนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปทั่ว พร้อมทั้งยังความกังขาให้กับคนส่วนใหญ่ว่าทำไปเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาหรือทำเพื่ออะไรกันแน่ ???

เรื่องนี้ นางตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้ออกมาแสดงทัศนะในเรื่องดังกล่าว ว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากการเดินธุดงค์ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ พระสงฆ์ต้องจาริกไปตามเขา อยู่อย่างสมถะ เพื่อทำให้จิตใจเป็นอิสระ ไม่ใช่มาเดินในเมืองหลวงท่ามกลางกิเลส ที่มีสีสันแห่งบริโภคนิยม

และนี่ก็คือหนึ่งในภาพสะท้อนของยุคศีลธรรมเสื่อมทรุด ซึ่งหลายๆคนยังกังขาว่า เหตุที่ศีลธรรมเสื่อมถอย เป็นเพราะ “คนเสื่อม” หรือ “พระเสื่อม” กันแน่?!?
กำลังโหลดความคิดเห็น