วันแม่เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้ร่วมเดินทางไปกับ “คาราวานหัวใจสีเขียว พาแม่เที่ยว เทอดไท้องค์ราชินี” ที่ทางสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดขึ้น พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวในเส้นทางตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ราชบุรี-สมุทรสงคราม ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวแต่ละที่ก็น่าสนใจจนต้องนำมาบอกต่อ เผื่อว่าใครจะพาแม่ไปเที่ยวในวันแม่ที่ใกล้จะถึงนี้
จุดแรกของเส้นทางท่องเที่ยวเริ่มกันที่ “พระรามราชนิเวศน์” หรือ “พระราชวังบ้านปืน” พระราชวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับแปรพระราชฐาน ตัวอาคารย่อส่วนมาจากพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าวิลเลี่ยม ไกเซอร์ แห่งเยอรมัน โดยมีนายคาร์ล ดอห์ริง สถาปนิกชาวเยอรมนีเป็นผู้ออกแบบอาคาร แต่การก่อสร้างไม่ทันแล้วเสร็จ รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงทรงดำเนินการสร้างต่อจนเสร็จ และพระราชทานนามว่า พระที่นั่งศรเพชรปราสาท ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพระรามราชนิเวศน์ในเวลาต่อมา
ภายในพระราชวังแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องบรรทมพระเจ้าอยู่หัว ห้องทรงพระอักษร ห้องเสวย ฯลฯ ซึ่งล้วนตกแต่งอย่างงดงามในสไตล์ยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเสา หรือกระเบื้องพื้นที่ใช้ บริเวณบันไดเวียนทางปีกซ้ายของพระที่นั่งประดับประดาไปด้วยรูปปั้นตุ๊กตาเด็กชายหญิงแบบตะวันตกมองดูน่ารักน่าเอ็นดู การตกแต่งเช่นนี้เรียกว่าเป็นศิลปะแบบ Modern Style ซึ่งนิยมกันเป็นอย่างมากในช่วงหนึ่งของยุโรป ส่วนบริเวณด้านหน้าพระราชวังมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ไว้ให้ประชาชนได้สักการบูชาด้วย
จากที่นี่เราเดินทางมุ่งหน้าต่อมายังจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปยัง “อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ใน อ.เมือง แหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องดาราศาสตร์ เพราะที่หว้ากอนี้เป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เคยเสด็จมาทอดพระเนตรเหตุการณ์สุริยุปราคาที่หมู่บ้านหัววาฬ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยพระองค์ทรงคำนวณวันเวลาของการเกิดสุริยุปราคาล่วงหน้าถึงสองปีด้วยพระองค์เอง และทรงคำนวณได้โดยไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ต่อมา สถานที่แห่งนี้จึงสร้างเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งมีอาคารจัดแสดงนิทรรศการทางด้านดาราศาสตร์ อวกาศ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกัน และมีชื่อเรียกคล้องจองกันว่า พันทิวาทิตย์ พันพินิจจันทรา และดาราทัศนีย์
นอกจากนั้นภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ฯแห่งนี้ยังมี “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ” ที่ให้ความรู้เรื่องบรรดาสัตว์โลกใต้ทะเลทั้งหลาย อีกทั้งยังมีตู้ปลาขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า Big Tank ที่เราสามารถเดินลงบันไดวนไต่ระดับความลึกลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับได้ดูปลามากมายภายในตู้ปลายักษ์นี้ ทั้งปลากระเบน ปลากะพง ปลานกขุนทอง ฯลฯ ที่สำคัญยังมีอุโมงค์ใต้ทะเลยาวประมาณ 15 เมตร จำลองบรรยากาศให้เหมือนอยู่ใต้ทะเลลึก ซึ่งที่นี่เป็นอุโมงค์ใต้ทะเลที่แรกของไทยด้วยล่ะ
สถานที่ต่อมายังคงอยู่ใน อ.เมือง ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์ กองบิน 53” ซึ่งเป็นสมรภูมิรบของวีรบุรุษผู้กล้าซึ่งยอมสละชีวิตเพื่อต่อต้านทหารญี่ปุ่นที่ยกพลขึ้นบก ณ ที่แห่งนี้ เพื่อใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศพม่า เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2484 กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่ประเทศไทยและยกพลขึ้นบกตามจุดต่างๆ ทางภาคใต้ คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี กองบิน 53 หรือชื่อเดิมคือกองบินน้อยที่ 5 ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทหารญี่ปุ่นได้มาแอบซุ่มยกพลขึ้นบกและเข้ายึดพื้นที่ ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 42 คน เป็นทหารอากาศ 38 นาย ตำรวจ 1 นาย ยุวชนทหาร 1 คน และครอบครัวทหาร 2 คน
ปัจจุบันกองบิน 53 จึงจัดทำเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ มีอาคารประวัติศาสตร์สมัยญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก ซึ่งเป็นบ้านไม้เก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สีฟ้าสดใส ภายในบอกเล่าเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สอง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในกองบิน 53 รวมถึงรายนามของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย
ในคืนนี้เราจะเข้าพักกันที่ "สวนสนประดิพัทธ์" ใน อ.หัวหิน ซึ่งเป็นสถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก ชายหาดแห่งนี้มีจุดเด่นตรงความเงียบสงบและสะอาด มีหาดทรายละเอียดสีขาวความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีทิวต้นสนประดิพัทธ์อันร่มรื่น ทำให้สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ หากใครต้องการมาพักที่นี่ก็มีให้เลือกทั้งห้องพักแบบโรงแรม และบ้านพักบังกะโลริมชายหาด
มองไปทางด้านซ้ายของหาดสวนสนฯ จะเห็นภูเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง นั่นก็คือเขาตะเกียบ ซึ่งเป็นภูเขาที่กั้นระหว่างชายหาดหัวหินและสวนสนประดิพัทธ์ ซึ่งในคืนนี้เราก็จะไปเดินเล่นกันที่บริเวณเขาตะเกียบกันด้วย ที่ “ซิเคด้า มาร์เก็ต” (Cicada Market) หรือตลาดจั๊กจั่น ตลาดแนววัยรุ่นซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าแฮนด์เมดไอเดียเด็ดๆ ของตกแต่งบ้านสวยๆ รวมถึงเสื้อผ้าของใช้ต่างๆ ที่วางขายกันในสไตล์เปิดเสื่อ อีกทั้งยังจัดพื้นที่แสดงงานศิลปะในอาคารไม้หลังเล็กๆ ให้ชมกัน ใครถูกใจชิ้นไหนอยากซื้อไปประดับบ้านก็สามารถทำได้ และยังมีโซนการแสดงที่มีศิลปินมากหน้าหลายตามาร่วมแสดงความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การเต้น การเล่านิทาน เล่นละคร เป็นต้น เรียกได้ว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้มาชม ชิม และช้อป กันในบรรยากาศชิลล์ๆ ก่อนจะกลับไปนอนหลับฝันดี
ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม พร้อมกับการเดินทางไปเที่ยวกันในวันที่สอง ที่ “ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน สิรินาถราชินี” อ.ปราณบุรี ที่แต่เดิมเป็นนากุ้งร้างว่างเปล่าไม่ได้ทำประโยชน์ ต่อมาจึงได้พลิกฟื้นพื้นที่ปลูกป่าชายเลนตามโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ จนปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สีเขียวมีป่าชายเลนขึ้นจนแน่นขนัด กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของประจวบคีรีขันธ์
ภายในศูนย์ศึกษาฯ มีทางเดินศึกษาธรรมชาติลัดเลาะไปในป่าชายเลน มองเห็นต้นโกงกางหนาแน่นร่มครึ้ม ตามพื้นเลนหากมองดีๆ จะได้เห็นปูก้ามดาบ ปูแสม ใครตาดีจะเห็นปลาตีนซึ่งนอกนิ่งอยู่ในเลนอีกด้วย
มาที่นี่ต้องไม่พลาดขึ้นไปชมวิวบนหอชะคราม หอสูงซึ่งเป็นจุดชมวิวป่าชายเลน เมื่อมองลงมาจากหอจะเห็นทิวทัศน์ป่าชายเลนสิรินาถฯ ในมุมกว้าง และสามารถมองไปได้ไกลถึงแพประมงปากน้ำปราณ ศาลเจ้าแม่ทับทิม เขากะโหลก และอุทยานสามร้อยยอดได้อีกด้วย
ใน อ.ปราณบุรียังเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์” ซึ่งเป็นจุดหมายถัดไปของเรา เดี๋ยวนี้ค่ายทหารหลายๆ แห่งรวมทั้งค่ายธนะรัชต์แห่งนี้ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนทั่วไปได้ไปสัมผัสชีวิตและกิจกรรมแบบทหาร เช่น การฝึกความกล้าด้วยการกระโดดหอสูง เรียนรู้การใช้ชีวิตและเอาตัวรอดในป่า และลองกินข้าวถาดหลุมเหมือนทหารดูบ้าง
แต่ก่อนที่จะไปเล่นกิจกรรมต่างๆ ที่ว่ามา ขอเชิญมาทำความเคารพอนุสาวรีย์ ฯพณฯ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งค่ายธนะรัชต์แห่งนี้ และในบริเวณเดียวกันนั้นยังมีอนุสรณ์สถานของท่านซึ่งเป็นจัดแสดงประวัติและผลงานในอดีต รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ อาทิ ชุดเครื่องแบบและเครื่องหมายยศต่างๆ ของ ฯพณฯ จอมพลสฤษฎิ์ไว้
จากนั้นขอเชิญไปสนุกกับกิจกรรมท้าทายแบบทหารหาญ ได้แก่ การกระโดดหอสูง 34 ฟุต ที่ต้องใช้ความกล้าต่อสู้กับอาการกลัวความสูง แถมความสูง 34 ฟุต นี้ยังเป็นระดับความสูงที่ว่ากันว่าเสียวที่สุดเสียด้วย หรือจะลองกิจกรรมที่หวาดเสียวน้อยลงอย่างการไต่หน้าผาจำลอง หรือเลื่อนบก (เลื่อนมรณะ) ที่เป็นการโหนรอกลงมาจากหอสูง เรียกได้ว่าล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่จะทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีทีเดียว
ผจญภัยกันพอหอมปากหอมคอ และแล้วก็ได้เวลาที่เราต้องลาจากจังหวัดประจวบฯ กันเสียแล้ว แต่ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เราก็ยังสามารถแวะเที่ยวตามรายทางได้อีก เพียงวิ่งมาตามถนนเพชรเกษม มุ่งหน้ามายังอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี เพื่อมายัง “อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม” ซึ่งมีหุ่นไฟเบอร์กลาสของบุคคลสำคัญต่างๆ จัดแสดงไว้ อาทิ ในอาคารเชิดชูเกียรติ มีหุ่นขี้ผึ้งของ ศ.มล.ปิ่น มาลากุล ผู้มีบทบาทในเรื่องการศึกษา และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ศ.ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
หุ่นของครูมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติคนสำคัญก็มีจัดแสดงไว้ รวมถึง สืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษแห่งผืนป่าห้วยขาแข้ง และบุคคลสำคัญระดับโลกอย่าง โฮจิมินท์ ผู้นำคนสำคัญของเวียดนาม แม่ชีเทเรซ่า เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 1972 เหมาเจ๋อตุงกับเติ้งเสี่ยวผิง "คู่คิดปฏิวัติ" ซึ่งนั่งสนทนากันอยู่ในห้อง และนอกจากนั้นก็ยังมีผลงานประติมากรรมอีกมากมาย เช่น ลานพระ 3 สมัย ซึ่งมีพระพุทธรูป 3 สมัย ทั้งเชียงแสน สุโขทัย และอยุธยา และอาคารจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งอีกมากมาย อยากให้ไปลองชม
มาถึงจุดหมายปลายทางแห่งสุดท้ายของเรากันแล้ว นั่นก็คือ “ตลาดน้ำอัมพวา” อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ตลาดแห่งนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะโด่งดังมานานและมีนักท่องเที่ยวไปเยือนกันล้นหลามทุกๆ วันหยุด ซึ่งต่างก็มักจะไปหาของอร่อยๆ นั่งกินกันริมแม่คลอง มองพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือมาขายอาหารสารพัดชนิด ใครที่กินของอร่อยจนอิ่มแล้วก็สามารถเดินเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก ทั้งขนมหวาน น้ำตาลมะพร้าวซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของอัมพวา หรือจะเป็นเสื้อยืดพิมพ์ลายข้อความคำว่า “อัมพวา” ก็ดูจะเป็นสินค้ายอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยม เพราะเห็นวางขายกันแทบทุกมุมของตลาดเลยทีเดียว
ในวันแม่ที่จะถึงนี้ ใครที่ยังไม่รู้จะพาคุณแม่และครอบครัวไปท่องเที่ยวที่ไหน ก็ลองพิจารณาเส้นทางที่ “ตะลอนเที่ยว” นำมาเสนอ เชื่อว่าน่าจะถูกใจคุณแม่ของใครหลายๆ คน และหากพาแม่ไปเที่ยวมาเหนื่อยๆ จนแม่บ่นเมื่อยแข้งเมื่อยขา ก็อย่าลืมบีบนวดแถมให้เป็นของขวัญตบท้ายในวันแม่นี้ด้วย จึงจะเรียกว่าเป็นลูกที่น่ารักที่สุด