ผ่านพ้นวันมาฆบูชาไปแล้ว หลายสถานที่ในหลายจังหวัดของไทยต่างจัดงานยิ่งใหญ่ขึ้น เป็นอีกหนึ่งทางในการส่งเสริมงานบุญประเพณีควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยหนึ่งในงานประเพณีสำคัญในวันมาฆะ ที่เป็นที่รู้จักกันดีของคนทั่วไปก็ไม่พ้นงาน“ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ” ที่วัดพระมหาธาตุวรวิหาร จ.นครศรีธรรมราช
นั่นจึงทำให้ “ตะลอนเที่ยว”เก็บกระเป๋าล่องใต้มาสัมผัสเมืองนครในหลากหลายแง่มุม ทั้ง ด้านธรรมชาติ วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรม ตลอดจนสิ่งที่เป็นอันซีนเล็กๆ ที่น้อยคนจะเคยสัมผัสมาก่อน
เมื่อมาถึงเมืองคอน เรามุ่งไปสักการะ“องค์พระบรมธาตุเมืองนคร” ที่วัดพระมหาธาตุ เอาฤกษ์เอาชัยเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงมุ่งหน้าต่อไปยังตำบลกะทูน ไปนั่งรถกินลมชมวิวสองข้างทาง ที่เต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ ทิวเขา และสวนยางพาราของชาวบ้านที่มีให้เห็นเป็นระยะๆ
ไม่นานรถก็มาจอดที่“อ่างเก็บน้ำกะทูน” เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่นอกจากชาวบ้านจะได้ใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำแห่งนี้แล้ว ยังมีประโยชน์ทางอ้อมในการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจแห่งเมืองคอนอีกด้วย
ลมจากภูเขาหลายลูกที่รายรอบพัดมาเป็นระลอก วิวอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และทิวเขาที่มีเมฆด้านบนประปรายนั้นช่างเป็นภาพที่งดงามไม่น้อย ถึงขนาดหลายคนยกให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์แห่งแดนใต้กันเลยทีเดียว
ทว่า...ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามนั้น หลายคนคงลืม หรือไม่ทราบถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติในอดีตอันร้ายแรงที่เกินขึ้น ณ บริเวณนี้ว่า หลังจากเกิดพายุดีเพรสชั่นทำให้มีฝนติดต่อกันหลายวันทำให้ดินบนภูเขาซึมซับน้ำได้เกินขีดจำกัด จึงทำให้ทั้งดิน ต้นไม้ ไหลลงมาตามแรงดึงดูดของโลก และในช่วงเชิงเขาที่เป็นไร่ปลูกยางพาราของชาวบ้าน ยิ่งไม่มีความสามารถในการชะลอน้ำได้ดีมากนัก และเมือวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 เกิดฝนตกหนักอีกระลอก ทำให้เกิดมหันตภัยโคลนถล่มลงมาสู่หมู่บ้าน สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงโดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 700 คน
ความโหดร้ายในอดีตได้ผ่านไป ทิ้งเอาไว้แต่ความทรงจำและเรื่องเล่า แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเบื้องล่างของอ่างเก็บน้ำแห่งนี้คือหุบเขา และเคยมีชุมชนขนาดใหญ่อยู่ในอดีต จะพอมีเหลือก็แค่ยอดเสาไฟฟ้า ยอดของเมรุเผาศพที่ยังโผล่พ้นน้ำมาให้เห็น และถ้ามาเที่ยวที่นี่กิจกรรมหลักๆ ของที่นี่ก็คือการล่องเรือชมบรรยากาศ หรือดูพระอาทิตย์ตกก็ได้ เพราะสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ
จากอ่างเก็บน้ำเรานั่งรถต่อไปยังจุดชมวิวบนยอดเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากอ่างกะทูนเท่ามากนัก ซึ่งด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ซึ่งจากตรงจุดนี้ เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์แบบ 360 องศา เห็นอ่างกะทูนจากมุมสูง เทือกเขา ป่าไม้ และไร่นาของชาวบ้าน แม้ตอนกลางวันแดดอาจจะร้อนไปสักหน่อย แต่ด้านบนมีลมพัดอยู่ตลอดเวลา
จากนั้นเราเดินทางต่อมายังอำเภอปากพนัง เมืองที่ไม่เคยหลับไหล เพราะจะได้ยินแต่เสียงนกร้องตลอดทั้งวันทั้งคืน
ถ้าใครที่เคยมาที่นี่แล้วก็พอจะทราบว่า มันมีทั้งเสียงนกจริงและนกปลอมปนกันอยู่ เนื่องจากว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วย “คอนโดนก” ซึ่งกับประโยคชวนขันที่ว่าคนเมืองนครใจดี สร้างบ้านไว้ให้นกอยู่นั้นก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะรังนกที่ได้จากการเก็บขายนั้นมีราคาสูง ถ้ายังไม่ได้ทำความสะอาดมีราคาก็ราวๆ กิโลกรัมละสามหมื่นบาท แต่ถ้าขัดเกลาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ทำราคาได้สูงเหยียบหนึ่งแสนบาทต่อกิโลกรัม ด้วยเหตุนี้เองชาวบ้านแถบนี้จึงตัดสินใจสร้างคอนโดเอาไว้ รอเวลาให้เจ้า”นกอีแอ่น” ยกโขยงกันเข้ามาจับจองเป็นที่อยู่อาศัยแบบไม่ต้องดาวน์
นอกจากนี้เสียงนกที่ร้องระงมไปทั่วตลาดปากพนังส่วนหนึ่งก็มาจากเครื่องเสียงที่เปิดไว้ เพื่อดึงดูดให้นกเข้ามาทำรัง สำหรับคนทั่วไปอาจเรียกนกชนิดนี้ว่านกนางแอ่น แต่ชาวบ้านที่นี่บอกว่า เราสามารถแบ่งนกประเภทนี้ออกเป็น 2 ชนิด คือ “นกนางแอ่น” และ “นกอีแอ่น” ซึ่งรังที่สามารถกินได้และสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านอย่างในปัจจุบันนี้มาจากนกอีแอ่น แต่เพียงแค่ชื่ออาจจะไม่เพราะ คนส่วนใหญ่เลยติดปากเรียกรวมไปว่าเป็นนกนางแอ่นกันเสียหมด
หลังจากเดินสำรวจตลาดปากพนัง เยี่ยมชมร้านค้า ตึกเก่า และขนมพื้นบ้านต่างๆ แล้ว ก็เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเรือชมวิถีชีวิตริมสองฝั่งแม่น้ำปากพนังกันบ้าง พร้อมกับไกด์ตัวจิ๋วแต่ความรู้ความสามารถนั้นไม่จิ๋วอย่างที่คิด สองฟากฝั่งของแม่น้ำยังคงมีภาพของการคมนาคมทางเรือที่ชาวบ้านแถบนี้ยังคงใช้เป็นการสัญจรหลักมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภาพของหมู่บ้านชาวประมงที่ยังคงจับปลาด้วยวิธีการดั่งเดิมอย่างเช่นการใช้ยอ การตกปลา หรือแม้แต่ภาพของเด็กๆ ในหมู่บ้านใช้ไม้พายตีน้ำเพื่อไล่ปลาให้เข้ายอก็มียังคงให้เห็น ซึ่งแน่นอนว่าถูกใจผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพวิถีชีวิตอย่างแน่นอน
นอกจากวิถีชีวิตแล้ว ธรรมชาติริมน้ำอย่างป่าชายเลน และป่าโกงกางยังมีให้เห็นตลอดทาง เรานั่งเรือมาจนถึงประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ หนึ่งในโครงการลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงคิดค้นและวางแผนเพื่อบริหารจัดการน้ำเค็มและน้ำจืดให้เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้านในลุ่มน้ำปากพนัง
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับทิวทัศน์สองข้างทาง ก็มีนกตัวหนึ่งโฉบลงมากินปลาในน้ำตัดหน้าเรือของเราไป ซึ่งช่างภาพแต่ละคนก็ทำได้แค่จับกล้องแล้วมองตาปริบๆ ไกด์ตัวน้อยของเราก็บอกว่านี้คือภาพที่พบเห็นได้อย่างชินตาแต่คนเมืองอย่างเราๆ กลับรู้สึกว่าหาชมได้ยากเหลือเกิน แต่ก็ยังเป็นโชคดีที่มีนกเยี่ยวตัวหนึ่งบินลงมาอวดโฉมให้เราได้เห็นในระยะไม่ไกลมากนัก ซึ่งเหมือนกับว่าเรานั้นได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น
เช้าวันต่อมาเรามุ่งหน้ามายัง “วัดเขาขุนพนม” อำเภอพรหมคีรี เพื่อมาตามหาประวัติศาสตร์และความเชื่อของชาวบ้านที่นี่ ที่ว่ากันว่าวัดแห่งนี้คือที่เสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แม้ว่ายังหาหลักฐานและข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตามประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีข้อสันนิษฐานว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นไปมาหาสู่เมืองนครแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
บริเวณวัดแห่งนี้แม้ดูคล้ายๆ กับวัดทั่วไป แต่โบสถ์ของที่นี่เป็นโบสถ์มหาอุตถ์ มีทางเข้าและออกทางเดียว ข้างๆ กันนั้นเป็นเขาลูกเล็กๆ ซึ่งมีศาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งอยู่ เดินขึ้นบันไดไปอีกหน่อยก็จะเจอศาลที่เชื่อกันว่าท่านใช้เจริญภาวนาเมื่อครั้งที่เป็นฆาราวาส และด้านบนสุดมีถ้ำที่เชื่อว่าเป็นที่บรรทมและห้องทรงงานของพระองค์ท่าน
ในโบสถ์มีภาพเขียนสีน้ำมันซึ่งกำลังจะลบเลือนไปเป็นรูปคล้ายเรือสำเภาบอกเล่าเรื่องราวของสังคมในช่วงยุคนั้น ร่วมด้วยภาพเขียนคล้ายพญานาคเจ็ดเศียรยังคงสังเกตุเห็นได้อยู่ในถ้ำขนาดเล็กที่มืดจนต้องใช้ไฟฉายส่องดู แต่น่าเสียดายที่พระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ในบริเวณนี้ได้ถูกมือดีมาขุดค้นและขโมยไปตั้งแต่ครั้งมีการค้นพบถ้ำ
ภายนอกถ้ำมีรอยพระบาทจำลอง และพระพุทธรูปให้ได้สักการะกัน และด้วยความบังเอิญทำให้เราพบกับสิ่งที่เป็นอันซีนของวัดนี้โดยไม่คาดคิด นั่นก็คือ พระพุทธรูปองค์เล็กซึ่งถูกฉาบติดกับผนังปรากฏแสงสีเขียวที่เศียรเมื่อแสงไฟฉายที่ส่องนำทางไปตกกระทบ
เจ้าหน้าที่ซึ่งพาเราไปชมถ้ำเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพานักท่องเที่ยวมาที่นี่ในช่วงเย็น ขณะที่กำลังส่องไฟผ่านพระพุทธรูปองค์นี้ กับปรากฏแสงสีเขียวใสบริสุทธิ์ออกมาให้เห็น ซึ่งเมื่อลองนำไฟฉายมาส่องใกล้ๆ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน คาดกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นจากมรกตทั้งองค์ แต่ปัจจุบันถูกพอกปูนและฉาบติดกับผนังถ้ำ แต่ปูนที่ส่วนเศียรคงลอกร่อนไปตามกาลเวลา และในช่วงเวลาที่มีแสงแดดจัด ก็ยังพอจะเห็นสีเขียวอร่ามขององค์พระได้โดยไม่ต้องส่องไฟ
ไม่ไกลจากวัดเขาขุนพนม เป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างจังหวัดและชาวนครเอง นั่นก็คือ“น้ำตกพรหมโลก” น้ำตกขนาดกลางที่มีน้ำไหลไม่แรงมากนักแต่ทอดตัวยาวเป็นสายน้ำหลักในบริเวณนี้ โดยแทบทุกช่วงตั้งแต่ตัวน้ำตกลงมาจะมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำ พักผ่อน และชาวบ้านแถบนี้ก็ได้ประโยชน์จากการเปิดร้านค้า ร้านอาหาร ตลอดจนที่พักโฮมสเตย์ในแบบต่างๆ สร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชน และที่สำคัญน้ำตกแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้เคยเสด็จประพาสต้น เมื่อปี พ.ศ. 2502 ก่อนที่สุดท้ายจะแช่น้ำกันจนเพลิน ท่ามกลางร่มไม้และลมพัดเย็นๆชวนให้ชื่นใจยิ่งนัก
และนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เราไปตะลอนทัวร์มาแล้ว ในเมืองคอนยังมีภาพวิถีชีวิตอันน่าสนใจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปสัมผัสค้นหา รับรองว่าภาพวิถีชีวิตของเมืองนครศรีธรรมราชแห่งนี้มีความงดงามจนคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนครศรีธรรมราชเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครศรีธรรมราช โทร.0-7534-6515-6