โดย : ปิ่น บุตรี
หนาวนี้เป็นอีกฤดูหนึ่งที่มีคนเดินทางไปเที่ยว“เชียงคาน”(จ.เลย) เยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในวันหยุดยาวมีผู้คนหลั่งไหลกันมาเต็มแน่น จนเมืองเชียงคาน(แทบ)แตก ซึ่งตัวเลขจากททท.ระบุว่า ปีนี้จะมีคนมาเที่ยวเชียงคานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว
พูดถึงเชียงคานในวันนี้ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่ดูเนิบช้าและค่อยๆคลานอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวนอดฮิตอันดับต้นๆของเมืองไทยที่มาแรงและเติบโตเร็วมาก
เร็วจนหลายๆคนอดเป็นห่วงเชียงคานไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาบ้านเรามีโมเดลเมืองท่องเที่ยวลักษณะเดียวกับเชียงคานอยู่หลายเมือง คือเริ่มต้นมีชื่อมาจากเมืองสงบงามท่ามกลางธรรมชาติอันอบอวลไปด้วยเสน่ห์แห่งวิถีอันเรียบง่าย แต่พอโด่งดังเข้าเท่านั้นแหละ กลายเป็นเมืองเสียศูนย์ไปแบบยากที่จะกู่กลับ
สำหรับเมืองเชียงคานวันนี้แม้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็เริ่มมีเค้าลางให้เห็น ซึ่งหากไม่รีบหาทางป้องกัน วางแผนบริหารจัดการให้ดี เชียงคานเมืองท่องเที่ยวริมฝั่งโขงอาจจะเป๋ออกทะเลไปแบบชนิดไม่ทันให้ตั้งท่าไหว้ครู
1…
เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อนๆผมจำนวนหนึ่งที่เชียงคานมันโทรศัพท์มาบ่นดังๆ ระบายปัญหาให้ฟังถึงการเติบโตทางธุรกิจท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วของเชียงคานว่า เริ่มจะไปในทิศทางเดียวกับปาย และดูไร้ทิศทางมากขึ้นทุกที เชียงคานจากเมืองน่ารักน่าอยู่ กลายเป็นเมืองที่ถูกความโลภเข้าครอบงำในจิตใจของใครและใครหลายคน ทั้งคนเชียงคานเอง(คนใน) และคนต่างถิ่น(คนนอก)ที่เดินทางเข้าไปทำมาหากินที่นี่
และนั่นมันทำให้ผมจำเป็นต้องเขียนถึงเมืองนี้อีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งเขียนถึงเชียงคานไปเมื่อไม่นาน
เพื่อนผมคนหนึ่งที่โทร.มามันบ่นให้ฟังว่า คนเชียงคานหลายคนวันนี้เห็นว่านี่คือโอกาสทองในการทำเงิน จึงหันมาลงทุน สร้างบ้านใหม่ หวังจะทำเป็นเกสต์เฮาส์ โรงแรม ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก อาคารหลายหลังเกิดขึ้นใหม่แบบดูแปลกแยก ผิดที่ผิดทาง ซึ่งหากไม่มีการควบคุมกันในเรื่องนี้ อีกไม่นานจะเกิดทัศนอุจาดขึ้นในบริเวณถนนชายโขง
“พอเงินเข้ามาน้ำใจไมตรีมันหายไปเยอะ เจ้าของบ้านหลายหลังไล่ญาติพี่น้องตัวเองออกจากบ้านให้ไปหาที่ใหม่อยู่ เพราะจะทำบ้านเป็นเกสต์เฮ้าส์ เป็นโฮมสเตย์ ที่ตลกก็คือชาวบ้านทะเลาะกันเรื่องแย่งกันขายปาท่องโก๋ จนมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ส่วนช่วงวันหยุดยาว ร้านอาหารบางร้านถือโอกาสชาร์จเพิ่ม จนกลายเป็นข่าวให้เชียงคานขายขี้หน้า” เพื่อนผมคนนั้นบ่นแบบเซ็งๆ ก่อนเปรยว่า
"เชียงคานมันเริ่มเสียศูนย์ เริ่มไม่น่าอยู่แล้ว คนที่นี่เริ่มแก่งแย่งกัน เพราะเงินตัวเดียวแท้ๆ”
อย่างว่าแหละเงินทองแม้เป็นของนอกกาย แต่มันก็ไม่เข้าใครออกใคร พี่น้องคลานตามกันมายังฆ่ากันได้ก็เพราะเงินตัวเดียว
2...
นอกจากคนในเชียงคาน(จำนวนหนึ่ง)แล้ว คนนอก(จำนวนหนึ่ง)ที่เข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวเปิดร้านรวงต่างๆก็ถือเป็นกองกำลังหลักต่อความเป็นไปของเมืองนี้
คนนอกที่มาด้วยจิตใจดี มาทำสิ่งดีๆ มันก็ช่วยให้เชียงคานน่าอยู่
ส่วนพวกที่คิดตรงกันข้าม มุ่งเน้นเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ กอบโกย แบบไม่คำนึงผลกระทบต่อเชียงคาน ครั้นพอเชียงคานหมดคุณค่าแล้วก็สลัดก้นทิ้งไปหาที่ใหม่อย่างไม่เหลือเยื่อใย พวกนี้ถือเป็นตัวอันตรายที่ไม่ว่าไปที่ไหน เป็นเจ๊งที่นั่น
ในขณะที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็ถือว่ามีส่วนสำคัญในการทำให้เชียงคานเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ร้านรวงหลายร้านในเชียงคาน ถือเป็นการตอบสนองจริตนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง นั่นเลยทำให้ที่ปาย อัมพวา สามชุก เชียงคาน มีร้านจำนวนมาก มีลักษณะเหมือนถอดแบบฟอร์มเดียวกันมา คือต้องดูแนว ดูอาร์ต เอาไว้ก่อน
นักท่องเที่ยวหลายคนไปเชียงคาน เพราะไปตามกระแส ไปเพียงเพราะแค่มาคุยบอกเพื่อนว่า “กูไปเชียงคานมาแล้ว”แค่นั้น บางคนไม่เคารพในพื้นที่ อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเมาอยากจะโวยวายก็ทำ คนเชียงคานบนถนนชายโขงเดิมเคยนอนกันแต่หัวค่ำ แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่ไม่เคารพพื้นที่เข้ามาจำนวนมาก พวกเขาก็ต้องมาทนฟังกับเสียงดนตรี เสียงวงเหล้า(เพราะนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มกินเหล้ากันในที่พัก)
เรียกว่าความเป็นส่วนตัวหายไป แต่ก็ได้เงินทดแทนกลับมา
นักท่องเที่ยวบางคนมองคนเชียงคานโดยเฉพาะเด็ก คนแก่ สาวสวย และพระ เป็นเหมือนหุ่นขี้ผึ้งมีชีวิต คือไปบังคับให้เขาทำโน่นทำนี้ ต้องยิ้ม ต้องทำหน้าเศร้า ต้องเดินแบบนั้น แบบนี้ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้สมใจในการถ่ายภาพแค่นั้น บางคนกระหายถ่ายภาพหนักถึงขนาดไปบอกให้พระเดินช้าๆเวลาบิณฑบาตยามเช้า เพื่อจัดฉากในภาพของตัวเองกันเลยทีเดียว
ดูแล้วมันไม่ได้เป็นการใส่บาตรเพื่อทำบุญ แต่มันกลับกลายเป็นแฟชั่นการใส่บาตรเพื่อถ่ายรูปเสียมากกว่า
ส่วนที่แสบมากก็เห็นจะเป็นเรื่องเล่าจากเจ้าของเกสต์เฮาส์คนหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนเขามีบริการให้ยืมจักรยานฟรี(เป็นจักรยานดีด้วยจากอินเดีย)สำหรับคนที่มาพักในเกสต์เฮาส์ของเขา ผลก็คือต้องเสียจักรยานจำนวนมากไปฟรีๆ เพราะนักท่องเที่ยวบางคนพวกขอยืมไปขี่ แล้วขี่หายไปเลย
นั่นจึงทำให้ตอนหลังผู้ปะกอบธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงคานไม่สามารถไว้ใจนักท่องเที่ยวได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เลยทำให้เสน่ห์ที่เป็นน้ำมิตรจิตใจบางอย่างจากผู้กระกอบการมันหายไปอย่างน่าเสียดาย
3...
บนความเคลื่อนไหว ในความเปลี่ยนแปลง ใช่ว่าเชียงคานจะถูกปล่อยให้ผ่านเลยแบบไม่สนใจใยดี แต่ยังมีคนอยู่หลายกลุ่มยังเป็นห่วงเป็นในใยเชียงคาน โดยหนึ่งในนั้นก็คือ “ชมรมคนรักษ์เชียงคาน” ซึ่งล่าสุดพวกเขาได้ออกมา ทวงถามเรื่องการบังคับใช้“เทศบัญญัติเพื่อในการกำกับดูแลเมืองท่องเที่ยวของเชียงคาน” จากนายกเทศมนตรีตำบลเชียงคาน และสมาชิกเทศบาลตำบลเชียงคาน ทั้งนี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการบริการจัดการและจัดระเบียบเมืองท่องเที่ยวเมืองนี้
สำหรับเหตุผลที่ชมรมคนรักษ์เชียงคานลุกขึ้นมาส่งเสียงนั้น เนื่องจากทนเห็นเชียงคานเป็นอย่างที่เห็นไม่ได้ โดยพวกเขาได้พูดถึงปัญหาความเปลี่ยนแปลงของเชียงคานในวันนี้ซึ่งผมขอสรุปคร่าวๆดังนี้
- วันนี้เชียงคานได้เสียความเป็นตัวตนไปมาก ชาวบ้านมีการขายที่ดิน ขายบ้าน หรือให้เช่าระยะยาว บริเวณถนนชายโขง ไปเกือบหมดแล้ว และย้ายไปอยู่ปลายนา และเข้ากรุงเทพ ตามไปอยู่กับลูกที่เรียนอยู่ (ท่านเคยพูดในที่ประชุมหลายๆครั้ง ว่าคนเชียงคานไม่ขายมรดก ปู่ย่าตายาย คนเชียงคานหวงแหนมรดกปู่ย่าตายาย แต่ตอนนี้โดนขายไปส่วนใหญ่แล้ว)
- วิถี วัฒนธรรม บริเวณถนนชายโขงหายไป ชาวบ้านประกอบชีพเดิมๆหันมาประกอบอาชีพเปิดห้องพัก นิสัยใจคอเปลี่ยนไปมุ่งแต่ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง อัธยาศัยไมตรีเริ่มหายไป มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาเปรียบกันและกัน
- วัฒนธรรมการใส่บาตร เริ่มผิดแปลกไปจากเดิม ชาวบ้านมีการเตรียมชุดใส่บาตร ข้าว ขนมอาหาร หวานคาวและเงิน ให้นักท่องเที่ยว ซึ่งวิถีเดิมๆเราใส่บาตรข้าวเหนียวอย่างเดียว หรือขนมนิดหน่อย หลังจากนั้นก็นำอาหารไปถวายที่วัด หรือ บริจาคเงินที่วัด โดยไม่สร้างภาระให้กับพระท่าน
- การส่งเสริมการค้าขายของชาวบ้านและชุมชน ไม่มี ปล่อยให้สินค้าจากที่อื่นๆมาจำหน่าย เกิน สินค้าท้องถิ่น จนเอกลักษณ์ด้านสินค้าไม่มี หรือเป็นของที่อื่นไปแล้ว
- มีการก่อสร้างบ้านเรือนตามใจฉัน มากมาย ที่เด่นชัด ถนนชายโขง ปากซอย 16 ตรงข้ามซอย 8 ปากซอย 5 ตรงข้ามซอย 4 และจะมีตามมาอีกมากมาย
- สีของเรือนไม้ในถนนชายโขงก็มีสีแปลกปลอม สีส้ม เขียว เหลือง เกือบทุกสี ระรานตาไปหมด ใครอยากทาสีอะไรก็ทา ตามใจฉัน เพราะไม่มีการควบคุม
และนั่นก็เป็นสาส์นและเสียงจากชมรมคนรักษ์เชียงคานที่ส่งไปทวงถามยังผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ช่วยป้องกันและเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งสำหรับผมแล้วการแก้ปัญหา การบริหารจัดการ การจัดระเบียบเมืองเชียงคานนั้นถือเป็นเรื่องที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน ต้องลดอัตตา ลดอีโก้ แล้วผนึกกำลังกันวางแผน กำหนดทิศทางของเมืองเชียงคานให้แน่นอนเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เมืองท่องเที่ยวแบบพอเพียงแต่ว่ายั่งยืน ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่มาแรง มาเร็ว และก็ไปเร็วเช่นหลายๆเมืองท่องเที่ยวที่กำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามสำหรับเสียงจากชมรมคนรักษ์เชียงคานที่ออกมาแสดงความห่วงใยต่อเมืองเชียงคานนั้น ดูจะเป็น“เสียงเบาๆ”ที่สังคมไม่แยแสสนใจ ผิดกับเรื่องราวของดาราจอมลวงโลกที่สร้างวีรเวรไว้ในเชียงคาน ซึ่งไม่ว่าเชื่อว่านี่จะเป็น“เสียงดังๆ”แห่งเชียงคานที่สังคมไทยให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ
หนาวนี้เป็นอีกฤดูหนึ่งที่มีคนเดินทางไปเที่ยว“เชียงคาน”(จ.เลย) เยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในวันหยุดยาวมีผู้คนหลั่งไหลกันมาเต็มแน่น จนเมืองเชียงคาน(แทบ)แตก ซึ่งตัวเลขจากททท.ระบุว่า ปีนี้จะมีคนมาเที่ยวเชียงคานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว
พูดถึงเชียงคานในวันนี้ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่ดูเนิบช้าและค่อยๆคลานอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวนอดฮิตอันดับต้นๆของเมืองไทยที่มาแรงและเติบโตเร็วมาก
เร็วจนหลายๆคนอดเป็นห่วงเชียงคานไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาบ้านเรามีโมเดลเมืองท่องเที่ยวลักษณะเดียวกับเชียงคานอยู่หลายเมือง คือเริ่มต้นมีชื่อมาจากเมืองสงบงามท่ามกลางธรรมชาติอันอบอวลไปด้วยเสน่ห์แห่งวิถีอันเรียบง่าย แต่พอโด่งดังเข้าเท่านั้นแหละ กลายเป็นเมืองเสียศูนย์ไปแบบยากที่จะกู่กลับ
สำหรับเมืองเชียงคานวันนี้แม้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็เริ่มมีเค้าลางให้เห็น ซึ่งหากไม่รีบหาทางป้องกัน วางแผนบริหารจัดการให้ดี เชียงคานเมืองท่องเที่ยวริมฝั่งโขงอาจจะเป๋ออกทะเลไปแบบชนิดไม่ทันให้ตั้งท่าไหว้ครู
1…
เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อนๆผมจำนวนหนึ่งที่เชียงคานมันโทรศัพท์มาบ่นดังๆ ระบายปัญหาให้ฟังถึงการเติบโตทางธุรกิจท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วของเชียงคานว่า เริ่มจะไปในทิศทางเดียวกับปาย และดูไร้ทิศทางมากขึ้นทุกที เชียงคานจากเมืองน่ารักน่าอยู่ กลายเป็นเมืองที่ถูกความโลภเข้าครอบงำในจิตใจของใครและใครหลายคน ทั้งคนเชียงคานเอง(คนใน) และคนต่างถิ่น(คนนอก)ที่เดินทางเข้าไปทำมาหากินที่นี่
และนั่นมันทำให้ผมจำเป็นต้องเขียนถึงเมืองนี้อีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งเขียนถึงเชียงคานไปเมื่อไม่นาน
เพื่อนผมคนหนึ่งที่โทร.มามันบ่นให้ฟังว่า คนเชียงคานหลายคนวันนี้เห็นว่านี่คือโอกาสทองในการทำเงิน จึงหันมาลงทุน สร้างบ้านใหม่ หวังจะทำเป็นเกสต์เฮาส์ โรงแรม ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก อาคารหลายหลังเกิดขึ้นใหม่แบบดูแปลกแยก ผิดที่ผิดทาง ซึ่งหากไม่มีการควบคุมกันในเรื่องนี้ อีกไม่นานจะเกิดทัศนอุจาดขึ้นในบริเวณถนนชายโขง
“พอเงินเข้ามาน้ำใจไมตรีมันหายไปเยอะ เจ้าของบ้านหลายหลังไล่ญาติพี่น้องตัวเองออกจากบ้านให้ไปหาที่ใหม่อยู่ เพราะจะทำบ้านเป็นเกสต์เฮ้าส์ เป็นโฮมสเตย์ ที่ตลกก็คือชาวบ้านทะเลาะกันเรื่องแย่งกันขายปาท่องโก๋ จนมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ส่วนช่วงวันหยุดยาว ร้านอาหารบางร้านถือโอกาสชาร์จเพิ่ม จนกลายเป็นข่าวให้เชียงคานขายขี้หน้า” เพื่อนผมคนนั้นบ่นแบบเซ็งๆ ก่อนเปรยว่า
"เชียงคานมันเริ่มเสียศูนย์ เริ่มไม่น่าอยู่แล้ว คนที่นี่เริ่มแก่งแย่งกัน เพราะเงินตัวเดียวแท้ๆ”
อย่างว่าแหละเงินทองแม้เป็นของนอกกาย แต่มันก็ไม่เข้าใครออกใคร พี่น้องคลานตามกันมายังฆ่ากันได้ก็เพราะเงินตัวเดียว
2...
นอกจากคนในเชียงคาน(จำนวนหนึ่ง)แล้ว คนนอก(จำนวนหนึ่ง)ที่เข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยวเปิดร้านรวงต่างๆก็ถือเป็นกองกำลังหลักต่อความเป็นไปของเมืองนี้
คนนอกที่มาด้วยจิตใจดี มาทำสิ่งดีๆ มันก็ช่วยให้เชียงคานน่าอยู่
ส่วนพวกที่คิดตรงกันข้าม มุ่งเน้นเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ กอบโกย แบบไม่คำนึงผลกระทบต่อเชียงคาน ครั้นพอเชียงคานหมดคุณค่าแล้วก็สลัดก้นทิ้งไปหาที่ใหม่อย่างไม่เหลือเยื่อใย พวกนี้ถือเป็นตัวอันตรายที่ไม่ว่าไปที่ไหน เป็นเจ๊งที่นั่น
ในขณะที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็ถือว่ามีส่วนสำคัญในการทำให้เชียงคานเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ร้านรวงหลายร้านในเชียงคาน ถือเป็นการตอบสนองจริตนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง นั่นเลยทำให้ที่ปาย อัมพวา สามชุก เชียงคาน มีร้านจำนวนมาก มีลักษณะเหมือนถอดแบบฟอร์มเดียวกันมา คือต้องดูแนว ดูอาร์ต เอาไว้ก่อน
นักท่องเที่ยวหลายคนไปเชียงคาน เพราะไปตามกระแส ไปเพียงเพราะแค่มาคุยบอกเพื่อนว่า “กูไปเชียงคานมาแล้ว”แค่นั้น บางคนไม่เคารพในพื้นที่ อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเมาอยากจะโวยวายก็ทำ คนเชียงคานบนถนนชายโขงเดิมเคยนอนกันแต่หัวค่ำ แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่ไม่เคารพพื้นที่เข้ามาจำนวนมาก พวกเขาก็ต้องมาทนฟังกับเสียงดนตรี เสียงวงเหล้า(เพราะนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มกินเหล้ากันในที่พัก)
เรียกว่าความเป็นส่วนตัวหายไป แต่ก็ได้เงินทดแทนกลับมา
นักท่องเที่ยวบางคนมองคนเชียงคานโดยเฉพาะเด็ก คนแก่ สาวสวย และพระ เป็นเหมือนหุ่นขี้ผึ้งมีชีวิต คือไปบังคับให้เขาทำโน่นทำนี้ ต้องยิ้ม ต้องทำหน้าเศร้า ต้องเดินแบบนั้น แบบนี้ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้สมใจในการถ่ายภาพแค่นั้น บางคนกระหายถ่ายภาพหนักถึงขนาดไปบอกให้พระเดินช้าๆเวลาบิณฑบาตยามเช้า เพื่อจัดฉากในภาพของตัวเองกันเลยทีเดียว
ดูแล้วมันไม่ได้เป็นการใส่บาตรเพื่อทำบุญ แต่มันกลับกลายเป็นแฟชั่นการใส่บาตรเพื่อถ่ายรูปเสียมากกว่า
ส่วนที่แสบมากก็เห็นจะเป็นเรื่องเล่าจากเจ้าของเกสต์เฮาส์คนหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนเขามีบริการให้ยืมจักรยานฟรี(เป็นจักรยานดีด้วยจากอินเดีย)สำหรับคนที่มาพักในเกสต์เฮาส์ของเขา ผลก็คือต้องเสียจักรยานจำนวนมากไปฟรีๆ เพราะนักท่องเที่ยวบางคนพวกขอยืมไปขี่ แล้วขี่หายไปเลย
นั่นจึงทำให้ตอนหลังผู้ปะกอบธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงคานไม่สามารถไว้ใจนักท่องเที่ยวได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เลยทำให้เสน่ห์ที่เป็นน้ำมิตรจิตใจบางอย่างจากผู้กระกอบการมันหายไปอย่างน่าเสียดาย
3...
บนความเคลื่อนไหว ในความเปลี่ยนแปลง ใช่ว่าเชียงคานจะถูกปล่อยให้ผ่านเลยแบบไม่สนใจใยดี แต่ยังมีคนอยู่หลายกลุ่มยังเป็นห่วงเป็นในใยเชียงคาน โดยหนึ่งในนั้นก็คือ “ชมรมคนรักษ์เชียงคาน” ซึ่งล่าสุดพวกเขาได้ออกมา ทวงถามเรื่องการบังคับใช้“เทศบัญญัติเพื่อในการกำกับดูแลเมืองท่องเที่ยวของเชียงคาน” จากนายกเทศมนตรีตำบลเชียงคาน และสมาชิกเทศบาลตำบลเชียงคาน ทั้งนี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการบริการจัดการและจัดระเบียบเมืองท่องเที่ยวเมืองนี้
สำหรับเหตุผลที่ชมรมคนรักษ์เชียงคานลุกขึ้นมาส่งเสียงนั้น เนื่องจากทนเห็นเชียงคานเป็นอย่างที่เห็นไม่ได้ โดยพวกเขาได้พูดถึงปัญหาความเปลี่ยนแปลงของเชียงคานในวันนี้ซึ่งผมขอสรุปคร่าวๆดังนี้
- วันนี้เชียงคานได้เสียความเป็นตัวตนไปมาก ชาวบ้านมีการขายที่ดิน ขายบ้าน หรือให้เช่าระยะยาว บริเวณถนนชายโขง ไปเกือบหมดแล้ว และย้ายไปอยู่ปลายนา และเข้ากรุงเทพ ตามไปอยู่กับลูกที่เรียนอยู่ (ท่านเคยพูดในที่ประชุมหลายๆครั้ง ว่าคนเชียงคานไม่ขายมรดก ปู่ย่าตายาย คนเชียงคานหวงแหนมรดกปู่ย่าตายาย แต่ตอนนี้โดนขายไปส่วนใหญ่แล้ว)
- วิถี วัฒนธรรม บริเวณถนนชายโขงหายไป ชาวบ้านประกอบชีพเดิมๆหันมาประกอบอาชีพเปิดห้องพัก นิสัยใจคอเปลี่ยนไปมุ่งแต่ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง อัธยาศัยไมตรีเริ่มหายไป มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาเปรียบกันและกัน
- วัฒนธรรมการใส่บาตร เริ่มผิดแปลกไปจากเดิม ชาวบ้านมีการเตรียมชุดใส่บาตร ข้าว ขนมอาหาร หวานคาวและเงิน ให้นักท่องเที่ยว ซึ่งวิถีเดิมๆเราใส่บาตรข้าวเหนียวอย่างเดียว หรือขนมนิดหน่อย หลังจากนั้นก็นำอาหารไปถวายที่วัด หรือ บริจาคเงินที่วัด โดยไม่สร้างภาระให้กับพระท่าน
- การส่งเสริมการค้าขายของชาวบ้านและชุมชน ไม่มี ปล่อยให้สินค้าจากที่อื่นๆมาจำหน่าย เกิน สินค้าท้องถิ่น จนเอกลักษณ์ด้านสินค้าไม่มี หรือเป็นของที่อื่นไปแล้ว
- มีการก่อสร้างบ้านเรือนตามใจฉัน มากมาย ที่เด่นชัด ถนนชายโขง ปากซอย 16 ตรงข้ามซอย 8 ปากซอย 5 ตรงข้ามซอย 4 และจะมีตามมาอีกมากมาย
- สีของเรือนไม้ในถนนชายโขงก็มีสีแปลกปลอม สีส้ม เขียว เหลือง เกือบทุกสี ระรานตาไปหมด ใครอยากทาสีอะไรก็ทา ตามใจฉัน เพราะไม่มีการควบคุม
และนั่นก็เป็นสาส์นและเสียงจากชมรมคนรักษ์เชียงคานที่ส่งไปทวงถามยังผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ช่วยป้องกันและเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งสำหรับผมแล้วการแก้ปัญหา การบริหารจัดการ การจัดระเบียบเมืองเชียงคานนั้นถือเป็นเรื่องที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน ต้องลดอัตตา ลดอีโก้ แล้วผนึกกำลังกันวางแผน กำหนดทิศทางของเมืองเชียงคานให้แน่นอนเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เมืองท่องเที่ยวแบบพอเพียงแต่ว่ายั่งยืน ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่มาแรง มาเร็ว และก็ไปเร็วเช่นหลายๆเมืองท่องเที่ยวที่กำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามสำหรับเสียงจากชมรมคนรักษ์เชียงคานที่ออกมาแสดงความห่วงใยต่อเมืองเชียงคานนั้น ดูจะเป็น“เสียงเบาๆ”ที่สังคมไม่แยแสสนใจ ผิดกับเรื่องราวของดาราจอมลวงโลกที่สร้างวีรเวรไว้ในเชียงคาน ซึ่งไม่ว่าเชื่อว่านี่จะเป็น“เสียงดังๆ”แห่งเชียงคานที่สังคมไทยให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ