โดย ตะลอนเที่ยว (travel_astvmgr@hotmail.com)

ถ้าย้อนกลับไปในสมัยก่อน นิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยนิยมใช้เวลาว่าง เดินทางท่องเที่ยวไปยังภูเขาและดอยต่างๆ อาทิ ภูกระดึง ภูสอยดาว ภูชี้ฟ้า ฯลฯ จนกลายมาเป็นกระแสการท่องเที่ยวส่งผลมาถึงปัจจุบัน การผจญภัยในธรรมชาติที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก อากาศที่หนาวเย็น กลับเป็นเหมือนมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครต่างหลงไหล

แม้ว่าปัจจุบันการเที่ยวดอยนั้นจะสะดวกสบายมากขึ้น บางดอยนั้นรถสามารถเข้าถึง ร้านรวงขายสินค้าอุปโภคบริโภคก็มีอยู่มากมาย แต่ก็ส่งผลดีทำให้ผู้สูงอายุ และเด็กมีโอกาสที่จะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติได้บ้าง แต่คราวนี้ “ตะลอนเที่ยว” ต้องแพคกระเป๋าเพื่อก้าวเข้าสู่อ้อมกอดของผืนป่าแม่วงก์ เดินทางไปพิชิตยอดดอยที่สูงติดอันดับในประเทศ ที่มีชื่อว่า “โมโกจู” หนึ่งในเทือกเขาที่หลายคนเชื่อว่าถูก“พนมเทียน”นำไปเป็นฉาก “เพชรพระอุมา” สุดยอดนวนิยายยาวที่สุดในโลก
จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้ามาสู่จังหวัดกำแพงเพชร มายังอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ผืนป่าใหญ่ที่เป็นที่ตั้งของจุดหมายในครั้งนี้ หลังจากที่เตรียมตัวเตรียมใจกันเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่ต้องมาจัดกระเป๋าใหม่อีกครั้ง เพื่อนำสิ่งที่จำเป็นติดตัวไปให้น้อยชิ้นที่สุด เพราะการเดินทางครั้งนี้เราต้องแบกกระเป๋าของเราส่วนหนึ่ง และมีคณะลูกหาบช่วยขนสัมภาระและอาหารไปอีกส่วนหนึ่ง ก่อนเดินทางเราต้องเข้ารับฟังข้อมูลเดินทางคร่าวๆ จากเจ้าหน้าที่ของอุทยาน เพื่อประกอบการเดินทาง อาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจแต่จริงๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มากทีเดียวสำหรับการเดินป่า เพราะว่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ อาทิ จุดที่ควรระวัง การเดินแต่ละช่วงนั้นจะต้องเจออะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้อาจช่วยชีวิตของนักท่องเที่ยวไว้ได้ในยามจำเป็น

การเดินทางสู่ยอดโมโกจูนั้นจะต้องใช้เวลาการเดินขึ้น 3 วัน และเดินลงอีก 2 วัน ซึ่งเป็นตารางที่เหมาะสมที่ทางอุทยานได้คำนวณไว้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเริ่มเดินจากที่ทำการอุทยานสู่แค้มป์แม่กระสา จุดพักในคืนแรก ทางช่วงนี้จะเดินผ่านผืนป่าปลูกใหม่ ผ่านผืนไร่เก่าของชาวบ้าน และเริ่มเข้าสู่ป่าไผ่ธรรมชาติ และสุดยอดของความเหนื่อยในช่วงแรกนี้คือ “มอขี้แตก” เป็นทางที่เราต้องเดินขึ้นสู่เขาลูกเล็กๆ ไม่สูงมากแต่มีช่วงที่ต้องเดินขึ้นติดต่อกันเป็นระยะทางยาว เรียกได้ว่าแค่เริ่มต้นเดินก็ได้ยินเสียงหายใจแรงๆ จากเพื่อนร่วมทริปหลายคนแล้ว

เดินบ้างพักบ้าง จนถึงมาถึงบนมอขี้แตก และจากนี้จะเป็นทางลงสลับกับทางราบเสียส่วนใหญ่ ลุยผ่านลำคลองธรรมชาติพอให้เท้าได้เปียกน้ำ และมาแวะกินข้าวกลางวันกลางทาง และรีบจ้ำให้ถึงที่พักก่อนที่อาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปเสียก่อน สรุปแล้วการเดินทางช่วงแรกนั้นมีระยะทางประมาน 16 กม. เราออกจากที่ทำการอุทยานประมาน 10.00น. มาถึงแค้มป์แม่กระสาประมาณ 16.00 น. “ทำเวลาได้ไม่เลว” พี่โย่ง หัวหน้าคณะลูกหาบในครั้งนี้กล่าวชื่นชม
เช้าวันใหม่ในป่า สามารถสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด อากาศเย็นๆ พร้อมกลิ่นควันจากกองไฟในขณะที่กำลังประกอบอาหารเช้า ทำให้เรานึกย้อนกลับไปยังอดีต ครั้งที่ความเจริญทางวัตถุยังไม่เข้ามามีบทบาทกับวิถีชีวิตมากนัก คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไม่มีการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน อาหารในป่านั้นก็ทำขึ้นง่ายๆ จากพืชผักข้างทาง เมื่ออิ่มกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อสู่แค้มป์แม่รีวา ซึ่งเราจะพักกันในคืนที่สอง

ทางเดินวันนี้สบายกว่าเมื่อวานเพราะเดินแค่ประมาณ 4 กม. สามารถใช้เวลาถ่ายภาพ ชื่นชมกับธรรมชาติของป่าไม้สองข้างทางได้ ร่องรอยของสัตว์กินพืชอย่างเก้ง หรือแมวป่าขนาดเล็กเริ่มมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ เราใช้เวลา 2 ชม. ก็เดินมาถึงที่พัก จากนั้นก็จะเป็นไฮไลท์ของช่วงที่สองนี้คือ น้ำตกแม่รีวา เป็นอีกน้ำตกที่ขึ้นชื่อของผืนป่านี้ เราเดินเท้าไปยังน้ำตก ถ่ายภาพเก็บความประทับใจ บ้างเล่นน้ำ บ้างนั่งชมความงามของธรรมชาติ จากนั้นก็กลับมายังทีแค้มป์เพื่อทานข้าวมื้อเย็น ระยะทางจากจากแค้มป์แม่รีวามายังน้ำตกนั้นไปกลับราว 8 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาน 3 ชม.

ในป่าหน้าหนาวนั้นมืดไวมาก นั่งล้อมวงกินข้าวได้ไม่นานก็ต้องอาศัยแสงไฟจากไฟฉายและกองไฟ เมื่อไม่มีไฟฟ้า คนอย่างเราๆ จะทำอะไรได้เมื่อเวลาหนึ่งทุ่มในป่าไม่ต่างอะไรกับเที่ยงคืนในเมืองกรุงเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายกิจกรรมก่อนเข้านอนคือเรื่องเล่ารอบกองไฟ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนเรื่องขำขันต่างๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขก่อนเข้านอน

วันที่สามของการเดินทาง และวันนี้เป็นวันที่โหดและเหนื่อยที่สุด เราออกเดินทางกันแต่ 8.00น. รีบทำเวลาเพื่อให้ทันเก็บภาพอาทิตย์ตกบนยอดโมโกจู ระยะทางจากแค้มป์แม่รีวาไปถึงแค้มป์ตีนดอยประมาณ 9 กม. แต่เป็น 9 กม. ที่ยากลำบากที่สุด พี่โย่งเล่าให้ฟังว่าในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวถอดใจ ไม่เดินต่อเยอะที่สุด เพราะเราต้องลัดเลาะขึ้นเขาตามเส้นทางของกระทิง ทางชันตั้งแต่ 45 องศา จนเกือบ 90 องศา ในบางช่วง

ในช่วงนี้ต้องระวังเป็นพิเศษทั้งการเดิน ตลอดจนสัตว์และแมลงจำพวกทากและตัวคุ่น ซึ่งคอยรบกวนเราตลอดเวลา สเปรย์กันแมลงต่างๆ จึงช่วยได้มากในช่วงนี้ และไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาเดินเท้าเกือบทั้งวันจนมาถึงแค้มป์ตีนดอยประมาณ 16.00 น. ซึ่งอาทิตย์ก็เริ่มจะเอนเอียงเข้าใกล้ขอบฟ้าแล้ว จึงต้องรีบจัดแจงกล้องถ่ายภาพ แล้วเดินขึ้นบนยอดโมกูจูต่อ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ไม่ว่าวันนี้จะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนแต่จุดหมายของเราอยู่เบื้องหน้า หลายคนมีอาการเจ็บเท้าและเจ็บกล้ามเนื้อขาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากคนแรกที่ถึงบนยอด กลับเป็นแรงผลักดันให้เรากัดฟันเดินต่อจนถึงยอดโมโกจู ก้าวแรกบนยอดที่มีความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้เสียงพูดคุยระหว่างทางค่อยๆ เงียบลง สายตามอันตื่นเต้นกับรอยยิ้มของนักเดินทางทุกคนปรากฏขึ้น

“สวยมาก” คำพูดที่ตรงกันของทุกคน ว่าตั้งแต่เริ่มเดินป่าเที่ยวดอยมาไม่เคยเห็นธรรมชาติที่สวยงามอย่างนี้มาก่อน วิว 360 องศา บนยอดโมโกจูนั้นทำให้เราตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย ทิวเขาน้อยใหญ่สลับกันไปมาเป็นชั้นๆ ป่าไม้ที่สมบูรณ์เมื่อมองจากด้านบนลงมาไม่ปรากฏรอยเว้าแหว่งของการตัดไม้ทำลายป่า เมฆที่ลอยต่ำบกคลุมภูเขาด้านล่างกลายเป็นทะเลหมอกย่อมๆ ท้องฟ้าด้านบนนี้สีฟ้าสดใส โดยไม่ต้องปรับแต่งใดๆ

จากนั้นเราเดินต่อมายัง “หินเรือใบ” สัญลักษณ์บนยอดโมโกจู หลังจากถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเสร็จแล้วก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะดวงอาทิตย์ค่อยๆ หายเข้าไปยังกลุ่มเมฆที่ทอดตัวเป็นเส้นยาวแบ่งฟ้าออกเป็นสองส่วน ทำให้ท้องฟ้าวันนั้นมี 2 สี ท้งส้มและฟ้า ดั่งธรรมชาติจงใจระบายสีไว้เพื่อต้อนรับนักเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยมาหลายวันอย่างเรา ทุกคนลืมความเหนื่อยที่ผ่านมา ซึ่งความรู้สึกประทับใจและมีความสุขขนาดไหนนั้นบางทีก็ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ผู้ที่ขึ้นมาเท่านั้นจึงจะสัมผัสได้ และเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ได้เวลากลับลงมายังแค้มป์ตีนดอยเพื่อกินอาหารเย็นและแยกย้ายกันนอนหลับอย่างรวดเร็วเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่ได้เจอมาทั้งวัน

ตี 4 ยามเช้าของวันใหม่ มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดโมโกจูอีกรอบหนึ่งเพื่อเก็บภาพอาทิตย์ขึ้น แต่ทว่าการเดินขึ้นตอนที่ยังมืดอยู่นั้นลำบากกว่าที่คิด จึงต้องค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังจนถึงยอด “บนนี้ดาวสวยมาก” เสียงจากเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่ง ซึ่งเราต่างก็เห็นอย่างเดียวกัน ช่วงประมานเกือบตี 5 แล้ว แต่ยังมองเห็นดาวได้ชัด อากาศวันนี้หนาวจนต้องอาศัยเสื้ออย่างหนา ลมแรง แต่ก็ยังมีตัวคุ่นเยอะอยู่พอสมควร

ช่วงเวลาที่อาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านขอบฟ้าขึ้นมาทักทายเราในวันใหม่นั้น เป็นช่วงที่แสงสีของธรรมชาตินั้นงามมาก การนั่งมองแสงแรกของวันช่างเป็นอะไรที่มีความสุขและหากันไม่ได้ง่ายๆ เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มปรากฏ ภาพทะเลหมอกยามเช้าก็เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าวิวบนยอดโมโกจูนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน และมีความสวยงามที่ต่างกันออกไป แต่ก็คุ้มค่ากับการเดินทางที่แสนยากลำบาก “ป่า” นั้นมีความงามอีกหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ เสียดายทุกวันนี้เราคิดที่จะหาประโยชน์จากมันมากกว่าคืนธรรมชาติให้กับป่าไม้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่เหลือป่าไว้ให้สัตว์ รวมทั้งคนอย่างเราๆ ได้พึ่งพาอาศัยอีกต่อไป

หลังจากที่เก็บภาพกันจนหนำใจแล้วก็ได้เวลาโบกมือบ้ายบายโมโกจู เก็บสัมภาระและเดินเท้าลงมายังแค้มป์แม่กระสา ที่เรานอนพักคืนแรก “เราขึ้นมาเท่าไหร่ก็ลงเท่านั้น” พี่ลูกหาบพูดแกมหยอก ขาลงนี้แม้จะไวกว่า แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าเพราะทางนั้นชันมาก เรากลับมาพักหนึ่งคืนและเดินกลับสู่ที่ทำการอุทยานในรุ่งเช้า แต่ก็ต้องมาเจอกับความเหนื่อยที่ “มอขี้แตก” อีกครั้ง ดั่งเป็นปราการณ์ด่านสุดท้ายก่อนอำลาผืนป่าแม่วงก์

จบทริปนี้เราเดินเป็นระยะทางกว่า 60 กม. กลับมาพร้อมร่างกายที่สะบักสะบอมเล็กน้อยแต่ได้ความประทับใจที่เกินร้อยกลับไป ทุกคนล้วนมีเรื่องเล่าซึ่งจะถ่ายทอดต่อ ถึงเรื่องความงามของธรรมชาติที่ยากจะหาที่ไหนเทียบ และความโหดของเส้นทางเดินที่คาดว่าไม่เป็นรองใครในประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน เชื่อว่าทุกคนในประเทศเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติเท่าๆ กันจึงมีสิทธิที่จะชื่นชมในความงามของธรรมชาติได้เท่าๆ กัน ดังนั้นเราไม่ควรหากินกับป่าแบบผิดๆ อย่างในทุกวันนี้

***********************************************************
สำหรับผู้ที่อยากเป็นหนึ่งในผู้พิชิตโมโกจู สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โทร. 0-5576-6436 และที่ www.dnp.go.th และสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับโมโกจู ในจังหวัดกำแพงเพชรได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานสุโขทัย(รับผิดชอบพื้นที่สุโขทัย,กำแพงเพชร) โทร. 0-5561-6228-9, 0-5561-6366
ถ้าย้อนกลับไปในสมัยก่อน นิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยนิยมใช้เวลาว่าง เดินทางท่องเที่ยวไปยังภูเขาและดอยต่างๆ อาทิ ภูกระดึง ภูสอยดาว ภูชี้ฟ้า ฯลฯ จนกลายมาเป็นกระแสการท่องเที่ยวส่งผลมาถึงปัจจุบัน การผจญภัยในธรรมชาติที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก อากาศที่หนาวเย็น กลับเป็นเหมือนมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครต่างหลงไหล
แม้ว่าปัจจุบันการเที่ยวดอยนั้นจะสะดวกสบายมากขึ้น บางดอยนั้นรถสามารถเข้าถึง ร้านรวงขายสินค้าอุปโภคบริโภคก็มีอยู่มากมาย แต่ก็ส่งผลดีทำให้ผู้สูงอายุ และเด็กมีโอกาสที่จะได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติได้บ้าง แต่คราวนี้ “ตะลอนเที่ยว” ต้องแพคกระเป๋าเพื่อก้าวเข้าสู่อ้อมกอดของผืนป่าแม่วงก์ เดินทางไปพิชิตยอดดอยที่สูงติดอันดับในประเทศ ที่มีชื่อว่า “โมโกจู” หนึ่งในเทือกเขาที่หลายคนเชื่อว่าถูก“พนมเทียน”นำไปเป็นฉาก “เพชรพระอุมา” สุดยอดนวนิยายยาวที่สุดในโลก
จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้ามาสู่จังหวัดกำแพงเพชร มายังอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ผืนป่าใหญ่ที่เป็นที่ตั้งของจุดหมายในครั้งนี้ หลังจากที่เตรียมตัวเตรียมใจกันเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่ต้องมาจัดกระเป๋าใหม่อีกครั้ง เพื่อนำสิ่งที่จำเป็นติดตัวไปให้น้อยชิ้นที่สุด เพราะการเดินทางครั้งนี้เราต้องแบกกระเป๋าของเราส่วนหนึ่ง และมีคณะลูกหาบช่วยขนสัมภาระและอาหารไปอีกส่วนหนึ่ง ก่อนเดินทางเราต้องเข้ารับฟังข้อมูลเดินทางคร่าวๆ จากเจ้าหน้าที่ของอุทยาน เพื่อประกอบการเดินทาง อาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจแต่จริงๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มากทีเดียวสำหรับการเดินป่า เพราะว่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ อาทิ จุดที่ควรระวัง การเดินแต่ละช่วงนั้นจะต้องเจออะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้อาจช่วยชีวิตของนักท่องเที่ยวไว้ได้ในยามจำเป็น
การเดินทางสู่ยอดโมโกจูนั้นจะต้องใช้เวลาการเดินขึ้น 3 วัน และเดินลงอีก 2 วัน ซึ่งเป็นตารางที่เหมาะสมที่ทางอุทยานได้คำนวณไว้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเริ่มเดินจากที่ทำการอุทยานสู่แค้มป์แม่กระสา จุดพักในคืนแรก ทางช่วงนี้จะเดินผ่านผืนป่าปลูกใหม่ ผ่านผืนไร่เก่าของชาวบ้าน และเริ่มเข้าสู่ป่าไผ่ธรรมชาติ และสุดยอดของความเหนื่อยในช่วงแรกนี้คือ “มอขี้แตก” เป็นทางที่เราต้องเดินขึ้นสู่เขาลูกเล็กๆ ไม่สูงมากแต่มีช่วงที่ต้องเดินขึ้นติดต่อกันเป็นระยะทางยาว เรียกได้ว่าแค่เริ่มต้นเดินก็ได้ยินเสียงหายใจแรงๆ จากเพื่อนร่วมทริปหลายคนแล้ว
เดินบ้างพักบ้าง จนถึงมาถึงบนมอขี้แตก และจากนี้จะเป็นทางลงสลับกับทางราบเสียส่วนใหญ่ ลุยผ่านลำคลองธรรมชาติพอให้เท้าได้เปียกน้ำ และมาแวะกินข้าวกลางวันกลางทาง และรีบจ้ำให้ถึงที่พักก่อนที่อาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปเสียก่อน สรุปแล้วการเดินทางช่วงแรกนั้นมีระยะทางประมาน 16 กม. เราออกจากที่ทำการอุทยานประมาน 10.00น. มาถึงแค้มป์แม่กระสาประมาณ 16.00 น. “ทำเวลาได้ไม่เลว” พี่โย่ง หัวหน้าคณะลูกหาบในครั้งนี้กล่าวชื่นชม
เช้าวันใหม่ในป่า สามารถสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด อากาศเย็นๆ พร้อมกลิ่นควันจากกองไฟในขณะที่กำลังประกอบอาหารเช้า ทำให้เรานึกย้อนกลับไปยังอดีต ครั้งที่ความเจริญทางวัตถุยังไม่เข้ามามีบทบาทกับวิถีชีวิตมากนัก คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไม่มีการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน อาหารในป่านั้นก็ทำขึ้นง่ายๆ จากพืชผักข้างทาง เมื่ออิ่มกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อสู่แค้มป์แม่รีวา ซึ่งเราจะพักกันในคืนที่สอง
ทางเดินวันนี้สบายกว่าเมื่อวานเพราะเดินแค่ประมาณ 4 กม. สามารถใช้เวลาถ่ายภาพ ชื่นชมกับธรรมชาติของป่าไม้สองข้างทางได้ ร่องรอยของสัตว์กินพืชอย่างเก้ง หรือแมวป่าขนาดเล็กเริ่มมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ เราใช้เวลา 2 ชม. ก็เดินมาถึงที่พัก จากนั้นก็จะเป็นไฮไลท์ของช่วงที่สองนี้คือ น้ำตกแม่รีวา เป็นอีกน้ำตกที่ขึ้นชื่อของผืนป่านี้ เราเดินเท้าไปยังน้ำตก ถ่ายภาพเก็บความประทับใจ บ้างเล่นน้ำ บ้างนั่งชมความงามของธรรมชาติ จากนั้นก็กลับมายังทีแค้มป์เพื่อทานข้าวมื้อเย็น ระยะทางจากจากแค้มป์แม่รีวามายังน้ำตกนั้นไปกลับราว 8 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาน 3 ชม.
ในป่าหน้าหนาวนั้นมืดไวมาก นั่งล้อมวงกินข้าวได้ไม่นานก็ต้องอาศัยแสงไฟจากไฟฉายและกองไฟ เมื่อไม่มีไฟฟ้า คนอย่างเราๆ จะทำอะไรได้เมื่อเวลาหนึ่งทุ่มในป่าไม่ต่างอะไรกับเที่ยงคืนในเมืองกรุงเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายกิจกรรมก่อนเข้านอนคือเรื่องเล่ารอบกองไฟ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตลอดจนเรื่องขำขันต่างๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขก่อนเข้านอน
วันที่สามของการเดินทาง และวันนี้เป็นวันที่โหดและเหนื่อยที่สุด เราออกเดินทางกันแต่ 8.00น. รีบทำเวลาเพื่อให้ทันเก็บภาพอาทิตย์ตกบนยอดโมโกจู ระยะทางจากแค้มป์แม่รีวาไปถึงแค้มป์ตีนดอยประมาณ 9 กม. แต่เป็น 9 กม. ที่ยากลำบากที่สุด พี่โย่งเล่าให้ฟังว่าในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวถอดใจ ไม่เดินต่อเยอะที่สุด เพราะเราต้องลัดเลาะขึ้นเขาตามเส้นทางของกระทิง ทางชันตั้งแต่ 45 องศา จนเกือบ 90 องศา ในบางช่วง
ในช่วงนี้ต้องระวังเป็นพิเศษทั้งการเดิน ตลอดจนสัตว์และแมลงจำพวกทากและตัวคุ่น ซึ่งคอยรบกวนเราตลอดเวลา สเปรย์กันแมลงต่างๆ จึงช่วยได้มากในช่วงนี้ และไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาเดินเท้าเกือบทั้งวันจนมาถึงแค้มป์ตีนดอยประมาณ 16.00 น. ซึ่งอาทิตย์ก็เริ่มจะเอนเอียงเข้าใกล้ขอบฟ้าแล้ว จึงต้องรีบจัดแจงกล้องถ่ายภาพ แล้วเดินขึ้นบนยอดโมกูจูต่อ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ไม่ว่าวันนี้จะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนแต่จุดหมายของเราอยู่เบื้องหน้า หลายคนมีอาการเจ็บเท้าและเจ็บกล้ามเนื้อขาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากคนแรกที่ถึงบนยอด กลับเป็นแรงผลักดันให้เรากัดฟันเดินต่อจนถึงยอดโมโกจู ก้าวแรกบนยอดที่มีความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้เสียงพูดคุยระหว่างทางค่อยๆ เงียบลง สายตามอันตื่นเต้นกับรอยยิ้มของนักเดินทางทุกคนปรากฏขึ้น
“สวยมาก” คำพูดที่ตรงกันของทุกคน ว่าตั้งแต่เริ่มเดินป่าเที่ยวดอยมาไม่เคยเห็นธรรมชาติที่สวยงามอย่างนี้มาก่อน วิว 360 องศา บนยอดโมโกจูนั้นทำให้เราตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย ทิวเขาน้อยใหญ่สลับกันไปมาเป็นชั้นๆ ป่าไม้ที่สมบูรณ์เมื่อมองจากด้านบนลงมาไม่ปรากฏรอยเว้าแหว่งของการตัดไม้ทำลายป่า เมฆที่ลอยต่ำบกคลุมภูเขาด้านล่างกลายเป็นทะเลหมอกย่อมๆ ท้องฟ้าด้านบนนี้สีฟ้าสดใส โดยไม่ต้องปรับแต่งใดๆ
จากนั้นเราเดินต่อมายัง “หินเรือใบ” สัญลักษณ์บนยอดโมโกจู หลังจากถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเสร็จแล้วก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะดวงอาทิตย์ค่อยๆ หายเข้าไปยังกลุ่มเมฆที่ทอดตัวเป็นเส้นยาวแบ่งฟ้าออกเป็นสองส่วน ทำให้ท้องฟ้าวันนั้นมี 2 สี ท้งส้มและฟ้า ดั่งธรรมชาติจงใจระบายสีไว้เพื่อต้อนรับนักเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยมาหลายวันอย่างเรา ทุกคนลืมความเหนื่อยที่ผ่านมา ซึ่งความรู้สึกประทับใจและมีความสุขขนาดไหนนั้นบางทีก็ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ผู้ที่ขึ้นมาเท่านั้นจึงจะสัมผัสได้ และเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ได้เวลากลับลงมายังแค้มป์ตีนดอยเพื่อกินอาหารเย็นและแยกย้ายกันนอนหลับอย่างรวดเร็วเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่ได้เจอมาทั้งวัน
ตี 4 ยามเช้าของวันใหม่ มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดโมโกจูอีกรอบหนึ่งเพื่อเก็บภาพอาทิตย์ขึ้น แต่ทว่าการเดินขึ้นตอนที่ยังมืดอยู่นั้นลำบากกว่าที่คิด จึงต้องค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังจนถึงยอด “บนนี้ดาวสวยมาก” เสียงจากเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่ง ซึ่งเราต่างก็เห็นอย่างเดียวกัน ช่วงประมานเกือบตี 5 แล้ว แต่ยังมองเห็นดาวได้ชัด อากาศวันนี้หนาวจนต้องอาศัยเสื้ออย่างหนา ลมแรง แต่ก็ยังมีตัวคุ่นเยอะอยู่พอสมควร
ช่วงเวลาที่อาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านขอบฟ้าขึ้นมาทักทายเราในวันใหม่นั้น เป็นช่วงที่แสงสีของธรรมชาตินั้นงามมาก การนั่งมองแสงแรกของวันช่างเป็นอะไรที่มีความสุขและหากันไม่ได้ง่ายๆ เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มปรากฏ ภาพทะเลหมอกยามเช้าก็เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าวิวบนยอดโมโกจูนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน และมีความสวยงามที่ต่างกันออกไป แต่ก็คุ้มค่ากับการเดินทางที่แสนยากลำบาก “ป่า” นั้นมีความงามอีกหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ เสียดายทุกวันนี้เราคิดที่จะหาประโยชน์จากมันมากกว่าคืนธรรมชาติให้กับป่าไม้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่เหลือป่าไว้ให้สัตว์ รวมทั้งคนอย่างเราๆ ได้พึ่งพาอาศัยอีกต่อไป
หลังจากที่เก็บภาพกันจนหนำใจแล้วก็ได้เวลาโบกมือบ้ายบายโมโกจู เก็บสัมภาระและเดินเท้าลงมายังแค้มป์แม่กระสา ที่เรานอนพักคืนแรก “เราขึ้นมาเท่าไหร่ก็ลงเท่านั้น” พี่ลูกหาบพูดแกมหยอก ขาลงนี้แม้จะไวกว่า แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าเพราะทางนั้นชันมาก เรากลับมาพักหนึ่งคืนและเดินกลับสู่ที่ทำการอุทยานในรุ่งเช้า แต่ก็ต้องมาเจอกับความเหนื่อยที่ “มอขี้แตก” อีกครั้ง ดั่งเป็นปราการณ์ด่านสุดท้ายก่อนอำลาผืนป่าแม่วงก์
จบทริปนี้เราเดินเป็นระยะทางกว่า 60 กม. กลับมาพร้อมร่างกายที่สะบักสะบอมเล็กน้อยแต่ได้ความประทับใจที่เกินร้อยกลับไป ทุกคนล้วนมีเรื่องเล่าซึ่งจะถ่ายทอดต่อ ถึงเรื่องความงามของธรรมชาติที่ยากจะหาที่ไหนเทียบ และความโหดของเส้นทางเดินที่คาดว่าไม่เป็นรองใครในประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน เชื่อว่าทุกคนในประเทศเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติเท่าๆ กันจึงมีสิทธิที่จะชื่นชมในความงามของธรรมชาติได้เท่าๆ กัน ดังนั้นเราไม่ควรหากินกับป่าแบบผิดๆ อย่างในทุกวันนี้
***********************************************************
สำหรับผู้ที่อยากเป็นหนึ่งในผู้พิชิตโมโกจู สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โทร. 0-5576-6436 และที่ www.dnp.go.th และสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับโมโกจู ในจังหวัดกำแพงเพชรได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานสุโขทัย(รับผิดชอบพื้นที่สุโขทัย,กำแพงเพชร) โทร. 0-5561-6228-9, 0-5561-6366