xs
xsm
sm
md
lg

ออกพรรษา ได้เวลาพญานาคพ่น(เม็ด)เงิน/ ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
ความเชื่อเรื่องพญานาคปรากฏให้เห็นทั่วไปในอุษาคเนย์(สถานที่ : ธาตุหลวง : เวียงจันทน์)
“พญานาค” มีจริงหรือไม่ ? เรื่องนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้

แต่“บั้งไฟพญานาค”มีจริง แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้เช่นกันว่าเกิดขึ้นจากอะไร ?

1…

“ผมว่ามันต้องมีคนทำขึ้นแน่ๆ มีคนไปยิงพลุ ยิงปืน จุดบั้งไฟกลางแม่น้ำ ลูกไฟมันถึงพุ่งขึ้นมาตรงเวลาทุกปี” หนุ่มหัวแข็ง ท่าทางขวางโลกชอบมองอะไรในแง่ลบ บอกยังงั้น

“นี่พ่อหนุ่มถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เดี๋ยวพญานาคเพิ่นสิโกรธเอา เพราะมีคนเคยเห็นร่องรอยพญานาคกันมาหลายคนแล้ว” คุณลุงผู้ผ่านโลกมาร่วมค่อนชีวิตกล่าวเตือนไอ้หนุ่มหัวแข็ง

“นี่ คุณลุงกับน้องชายอย่าเพิ่งเถียงกัน อันที่จริงบั้งไฟพญานาค มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง เกิดมาจากก๊าซร้อนใต้ลำน้ำโขง..................” หนุ่มแว่นหนาท่าทางเด็กเรียน พยายามทำหน้าที่คนกลางเข้าสมานฉันท์ข้อโต้เถียงของ 2 ชายต่างวัย ที่ทั้งคู่ต่างพากันทำหน้างงๆ ว่าหมอนี่เป็นใคร ก่อนที่จะพากันแยกย้ายจากไปทิ้งหนุ่มแว่นยืนฝอยอยู่คนเดียว

2…

สำหรับข้อสันนิษฐานการเกิดบั้งไฟพญานาคแบ่งเป็น 3 ความเชื่อหลักคือ

ข้อแรก เชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นผู้ทำบั้งไฟพญานาคขึ้น ทั้งการยิงปืน จุดพลุ สร้างวัสดุพิเศษยิงขึ้นฟ้า ในขณะที่ทีวีบางช่องเคยรายงานข่าว(พยายามทำให้คนเชื่อว่า)เป็นการยิงปืนขึ้นฟ้าของทหารลาว
แต่ก็ถูกลบล้างด้วยเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคนั้นมีอายุมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ดังนั้นก็ย่อมมีมาก่อนปืนของทหารลาวแน่นอน นั่นจึงทำให้ความเชื่อนี้ได้รับการยอมรับน้อยที่สุด

ข้อสอง เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของพญานาคในศาสนาพุทธ(อ่านรายละเอียดช่วงถัดไป)

ข้อสุดท้าย เชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดจากก๊าซร้อน ที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทน และก๊าซไนโตรเจน ซึ่งเกิดจากการหมักตัวของซากพืช ซากสัตว์ มูลสัตว์ และแบคทีเรีย เมื่อก๊าซที่ฝังตัวอยู่ใต้แม่น้ำโขงโดนแรงกดดันจากน้ำและอากาศที่เหมาะสมมันจะลอยพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ และเมื่อก๊าซนั้นกระทบกับออกซิเจน ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกไฟ หรือบั้งไฟพญานาคอย่างที่เห็นกัน

3…

ไม่ว่าใครจะมองบั้งไฟพญานาคที่เกิดในลำน้ำโขงทุกคืนวันออกพรรษา(15 ค่ำ เดือน 11 : ปีนี้ตรงกับวันที่ 4 ต.ค.)ว่าเกิดจากอะไร? ฝีมือมนุษย์ พญานาค หรือธรรมชาติ แต่ทุกปีในคืนวันออกพรรษาจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไป จ.หนองคาย เพื่อรอชมปรากฏการณ์ลูกไฟประหลาดขนาดประมาณไข่ไก่ พุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงหลายสิบลูก ก่อนที่จะหายลับไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ณ บริเวณริมฝั่งโขง ไทย-ลาว(จุดหลักๆอยู่ที่ อ.โพนพิสัย) กันอย่างเนืองแน่น ทำให้เมืองพญานาคคึกคักขึ้นมาอักโข

คุณความดีครั้งนี้คงต้องยกให้กับพญานาคไปเต็มๆ!!! เพราะลูกไฟประหลาดที่ลอยขึ้นมาจากน้ำโขงนั้น มันชื่อ“บั้งไฟพญานาค”นั่นเอง

งานนี้พญานาคพ่นเม็ดเงินสะพัดนับร้อยล้านบาท กระตุ้นการท่องเที่ยวให้ที่พัก-โรงแรมเต็มจนล้น ร้านอาหาร ร้านรวงขายดิบขายดีเป็นพิเศษ สามารถเพิ่มตัวเลขและเปอร์เซ็นต์ทางการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้อย่างไม่ยากเย็น ชนิดที่ททท.ไม่ต้องลงทุนจัดอีเวนท์อะไรมากมาย

พูดถึงพญานาคที่เป็นดังพระเอกของงานนั้น ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่ แต่ผู้คนในอุษาคเนย์ส่วนหนึ่งเชื่อและนับถือพญานาค และส่วนใหญ่ต่างคุ้นเคยกับพญานาคเป็นอย่างดี เรื่องราวของพญานาคไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น ภาพวาด ภาพเขียน รูปสลัก ปรากฏผ่านวัดวาอาราม ปราสาท ศาสนสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นิทาน ตำนาน ความเชื่อ ฯลฯ โดยแต่ละท้องที่ต่างก็มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคที่ทั้งเหมือนและต่างกันออกไป

ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอีสานที่อยู่ริมฝั่งโขง(ไทย-ลาว) มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้ลำน้ำโขงนี้มีเมืองบาดาลอยู่ ในนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่หลายตัว เพราะมีคนเคยเห็นงูใหญ่หรือร่องรอยประหลาดที่เชื่อกันว่าเป็นร่องรอยของพญานาคอยู่เป็นประจำ

พวกเขาเชื่อว่าในอดีตดินแดนแถบนี้ถูกสร้างและปกครองโดยพญานาค

พอถึงวันออกพรรษา พญานาคเหล่านั้นซึ่งต่างก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจะพากันออกมาจุดบั้งไฟถวายพระพุทธเจ้าเป็นประจำทุกปีในบริเวณแนวแม่น้ำโขงถิ่นที่อยู่ของพญานาค

เรื่องนี้สอดรับกับเรื่องพญานาคในทางพุทธศาสนา ที่กล่าวว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใส เลิกนิสัยดุร้าย จะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” จุดเฉลิมฉลอง จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้

4...

นอกจากบั้งไฟพญานาคที่ก่อให้เกิดเงินสะพัดมากมายในหนองคายแล้ว ความเชื่อในพญานาคยังมีส่วนช่วยให้เกิดประเพณี“ไหลเรือไฟ” อีกหนึ่งเทศกาลท่องเที่ยวสำคัญในภาคอีสาน เพราะหลังจากที่พญานาคปวารณาตัวเป็นพุทธมามกะแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำนัมมทานที แม่น้ำที่มีเมืองบาดาลและเป็นที่อยู่ของพญานาค ข่าวพอรู้ถึงพญานาคก็ได้ออกมาต้อนรับพร้อมทั้งได้อาราธนาให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองบาดาล ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรมโปรดพญานาค

ก่อนที่จะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที พระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้ความต้องการของพญานาค ที่ต่อมาบรรดาเทวดา และมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งหลายต่างพากันเคารพบูชา

นั่นจึงทำให้ชาวอีสานในอดีตจัดประเพณีไหลเรือไฟขึ้นมา เพื่อเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษา โดยที่คนอีสานในยุคโบราณนั้นเชื่อกันว่า “ไฟเป็นสิ่งช่วยเผาผลาญความชั่วร้ายและขจัดความทุกข์ยากให้หมดไป”

สำหรับประเพณีไหลเรือนั้น มีทั่วไปในภาคอีสานที่อยู่ติดริมน้ำโขง แต่ที่โด่งดังมากๆก็เห็นจะเป็นที่ จ.นครพนม เพราะถือว่าเป็นดังไฮไลท์แห่งงานไหลเรือไฟเลยทีเดียว ทำให้ในแต่ละปีมีคนเดินทางมาดูงานไหลเรือไฟนครพนมเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดเงินสะพัดมากมาย

นับได้ว่าพญานาคพ่นเม็ดเงิน ให้ลาภ ให้คุณ ในงานบุญออกพรรษาไม่น้อยเลย

แต่วันนี้“ถ้าพญานาคมีจริง” สภาพการณ์ของพญานาคชักไม่ค่อยดีเสียแล้วสิ เพราะการสร้างเขื่อนในจีน การดูดทราย การระเบิดเกาะแก่ง การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศต่างๆในลำน้ำโขงถือเป็นภัยคุกคามพญานาคและเมืองบาดาล ทำให้พวกเขาอาจต้องอพยพย้ายถิ่นหรืออาจถูกทำลายสูญพันธุ์ไปจากลำน้ำโขงเลยก็ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น