โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ในย่านชายขอบกรุงเทพฯอันเป็นเมืองหลวงทันสมัย หลายๆพื้นที่ยังคงมีพื้นที่สีเขียวร่มรื่นให้ได้เห็นกัน ความเจริญที่เข้าถึงไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของเมืองหลวง ก็ไม่ได้ทำให้วิถีเกษตรที่สืบทอดกันมาจากอดีตจนมาถึงปัจจุบันสูญหายไปหมด แม้จะลดเหลือน้อยลงไปมากก็ตาม
อย่างเช่นในย่าน "ตลิ่งชัน" ที่ฉันได้มาเยี่ยมเยือนในวันนี้ ก็ยังคงเป็นเขตหนึ่งของกรุงเทพฯที่เราสามารถสูดอากาศสดชื่น ยังมองเห็นสวนผัก สวนผลไม้ สวนกล้วยไม้ ยังมีท้องร่องให้กระโดดข้ามเล่น และหากพูดถึงการท่องเที่ยวในเขตตลิ่งชันที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็เห็นจะเป็นการมาเที่ยว "ตลาดน้ำ" ซึ่งในเขตตลิ่งชันนี้ก็มีตลาดน้ำให้เที่ยวกันได้ถึง 3 แห่งเลยทีเดียว
ตลาดน้ำแห่งแรกที่เรารู้จักกันดีและมีชื่อเสียงมานานก็คือ "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ที่มีสารพัดอาหารของกินให้เลือกชิมกันได้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเผาปลาเผา ส้มตำ สารพัดยำ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ขนมไทยๆ และผลไม้จากสวน ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าจะพายเรือออกมา และนั่งปรุงนั่งขายกันอยู่บนเรือ บางลำอยู่ไกลจากฝั่งหน่อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหาเวลาจะซื้อจะขาย เพราะเขาจะใช้ไม้ยาวๆ ที่มีตะกร้าตรงปลายไว้ส่งสินค้าและรับสตางค์
และที่พลาดไม่ได้หากมาที่ตลาดน้ำตลิ่งชันก็คือการนั่งเรือนำชมคลอง ชมสวน ชมชีวิตริมน้ำของชาวตลิ่งชัน ที่เขาจะมีบริการเรือเป็นรอบๆ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการนั่งเรือเที่ยวในคลองชักพระ หรือคลองบางขุนศรี ซึ่งเป็นคลองที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร และเป็นคลองที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ และระหว่างทางเราก็จะได้ชมบรรยากาศบ้านริมคลองที่ดูน่าอยู่ ได้เห็นตลาดลอยน้ำ หรือเรือขายขนมหรืออาหารที่ออกให้บริการเฉพาะคนที่อยู่ริมน้ำ และได้แวะชมสวนกล้วยไม้ที่มีกล้วยไม้สวยๆหลายพันธุ์ สามารถซื้อกลับบ้านกันได้ด้วย
ตลาดน้ำแห่งต่อมาของตลิ่งชัน ก็เป็นตลาดน้ำที่กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แม้จะเพิ่งเปิดมาได้ไม่นานนัก นั่นก็คือ "ตลาดน้ำคลองลัดมะยม" ซึ่งแม้จะเป็นตลาดน้ำที่ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็เต็มไปด้วยอาหารการกินต่างๆ ไม่ให้เสียชื่อว่าเป็นตลาดน้ำ ไม่ว่าจะเป็นหมูสะเต๊ะ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ขนมจีน ขนมนมเนยอย่างไอศกรีม ขนมถ้วย ขนมลูกชุบ น้ำผลไม้ ฯลฯ ที่มีให้เลือกซื้อหาทั้งจากในเรือที่มาลอยลำ และจากตลาดบนบก ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนในคลองลัดมะยมนี่เอง โดยในวันธรรมดาเขาก็จะทำสวนหรือทำอาชีพปกติไป ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็จะเอาผลผลิตจากบ้านจากสวนมาขาย หรือทำขนมทำกับข้าวเตรียมออกมาขายกันตามฝีมือให้ลูกค้าที่มาเที่ยวได้ชิมกัน
ใครที่อิ่มอร่อยจากสารพัดอาหารแล้ว ก็อย่าลืมแวะเข้ามาเดินเที่ยวชมใน "สวนเจียมตน" ซึ่งเป็นสวนไม้ยืนต้นและไม้จำพวกสมุนไพร คนที่สนใจต้นไม้ใบหญ้าก็สามารถเข้าไปเดินดูกันได้ เพราะภายในสวนจะมีป้ายอธิบายต้นไม้หลายๆ ต้น อีกทั้งในสวนนี้ยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆของตลาดน้ำ และมีมุมห้องสมุดเล็กๆ ให้เด็กๆ มานั่งอ่านหนังสือกันด้วย และที่ไม่อยากให้พลาดหากได้เข้าไปในสวนเจียมตนก็คือการพายเรือเล่นในคลอง ที่หากใครพายเป็นก็สามารถพายไปเที่ยวใกล้ได้ หรือใครไม่ค่อยถนัดก็จะมีเด็กๆ รอให้บริการเป็นฝีพายอยู่ ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่จะให้เงินเป็นสินน้ำใจแก่เด็กๆเพื่อเป็นกำลังใจก็ได้
มาถึงตลาดน้ำแห่งสุดท้ายของเขตตลิ่งชัน ซึ่งเป็นตลาดน้ำน้องใหม่ล่าสุด หรือ "ตลาดน้ำวัดสะพาน" ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความอร่อยของอาหารจากรสมือของแม่ค้าพ่อค้าที่นี่ ซึ่งก็มีอาหารหลากชนิดให้เลือกชิมกัน ทั้งขนมจีนน้ำพริก น้ำยา แกงไก่ แกงลูกชิ้น ผัดไทย หอยทอด หมูสะเต๊ะ และขนมของกินเล่นไทยๆ อย่างเมี่ยงคำ ข้าวเหนียวหน้ากุ้งหน้ากลอย ข้าวเกรียบว่าว ข้าวหลาม ซึ่งบางร้านฉันได้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วยอมรับว่าอร่อยจริง แต่พูดไปก็ไม่ได้รสชาติ คงต้องมาสัมผัสด้วยลิ้นตัวเองจึงจะดีที่สุด
คนที่มาเที่ยวตลาดน้ำวัดสะพานยังจะได้มาทำบุญไหว้พระที่ "วัดสะพาน" อันเป็นที่ตั้งของตลาดน้ำ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สมัยปลายอยุธยาต่อมาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระพุทธรูปหินทรายเก่าแก่สมัยอยุธยาอยู่หลายองค์ด้วยกัน แต่ถูกทำลายจนหักพังลงไปมาก บางองค์ก็นำมาพอกปูนซ่อมใหม่ แต่บางองค์ก็เสียหายมากเกินจะปฏิสังขรณ์ได้ โดยพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดนั้นมีสามองค์ด้วยกัน ประดิษฐานอยู่ในวิหารโถง ซึ่งเป็นวิหารโล่งไม่มีฝาผนัง พระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้นก็คือ "หลวงพ่อโต" "หลวงพ่อกลาง" และ "หลวงพ่อดำ" ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในแถบนั้นเป็นจำนวนมาก
สำหรับใครที่มีเวลาน้อยแต่อยากชมบรรยากาศของตลาดน้ำทั้งสามแห่ง ก็สามารถทำได้ เพราะเขามีการเชื่อมโนงตลาดน้ำทั้งสามเข้าด้วยกันเป็นเส้นทางท่องเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชันทางน้ำ เพราะคลองในแถบนี้สามารถเชื่อมถึงกันได้หมด โดยไปเริ่มต้นที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน แล้วเหมาเรือมาที่ตลาดน้ำท่ามะยม แล้วมาจบที่ตลาดน้ำวัดสะพาน ในหนึ่งวันก็สามารถเที่ยวและหาของกินอร่อยๆ ได้ถึงสามตลาดน้ำเลยทีเดียว
ในย่านตลิ่งชันนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอย่าง "บ้านจักรยาน" บนถนนสวนผัก ที่ถือเป็นสวรรค์ของคนรักจักรยาน เพราะที่นี่มีจักรยานยี่ห้อต่างๆ ประเภทต่างๆ ให้ชมกันเป็นพันๆคัน ด้วยการสะสมของเจ้าของบ้าน หรืออาจารย์ทวีไทย บริบูรณ์ บุคคลผู้หลงเสน่ห์ของจักรยานและได้เริ่มลงมือเสาะหาและสะสมจักรยานมา 5 ปีด้วยกัน โดยจักรยานคันสำคัญที่คนรักจักรยานต้องอยากเห็นก็คือ จักรยานยี่ห้อ "เดตัล" ซึ่งเป็นจักรยานยี่ห้อแรกที่เข้ามาขายในประเทศไทยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 และจักรยานยี่ห้อดังอย่างราเล่ห์ ฮัมเบอร์ ฟิลลิปส์ เฮอคิวลิส รัดจ์ และบีเอสเอ เป็นต้น ซึ่งจักรยานนับพันคันเหล่านี้ก็มีทั้งวางโชว์อยู่บนพื้น และแขวนโชว์อยู่ด้านบน ละลานตาไปด้วยจักรยาน
แต่นอกจากจักรยานสวยๆแล้ว เจ้าของบ้านก็ยังสะสมของเก่าอย่างขวดน้ำอัดลม ขวดเหล้าเก่าๆ แบบที่หาไม่ได้ในปัจจุบันแล้ว และเฟอร์นิเจอร์เก่าดูคลาสสิคอย่างพัดลมตั้งโต๊ะ พัดลมแขวน รวมถึงหนังสือเก่า โปสเตอร์เก่าต่างๆ อีกทั้งยังมีเครื่องปั้นดินเผาเป็นรูปคนและสัตว์ ซึ่งเป็นผลงานของเจ้าของบ้านเองอีกด้วย
ไม่ไกลจากบ้านจักรยาน มีสิ่งที่น่าสนใจไม่ควรพลาดอย่าง "วัดชัยพฤกษ์มาลา" วัดเก่าแก่ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณะมาตลอดในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังคงมีวิหารและอุโบสถเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยาให้เราได้ชมกัน วิหารเก่าแห่งนี้ดูแปลกเพราะมีประตูเล็กอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง แถมยังมีตั้งห้าหกบาน ต่างจากวัดอื่นที่ฉันเคยไปเยือนอย่างเห็นได้ชัด มารู้ทีหลังว่าที่แท้แล้วประตูข้างนั้นก็คือหน้าต่างของวิหาร แต่เนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับคลองมหาสวัสดิ์ จึงเกิดน้ำท่วมบ่อยๆ และต้องถมที่ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหนีน้ำ ถมไปถมมาจนพื้นสูงขึ้นมาถึงหน้าต่างจนกลายเป็นทางเข้าทางออกอย่างที่เห็น
อีกทั้งภายในวัดยังมีพระเจดีย์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ต่อมาใน พ.ศ.2478 หม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อเสร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 3 และอัฐิของเจ้านายหลายพระองค์มาบรรจุไว้ในเจดีย์องค์นี้ด้วย
มาปิดท้ายแหล่งท่องเที่ยวของเขตตลิ่งชันกันที่ "ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร" ศูนย์ข้อมูลทางด้านมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ก่อตั้งขึ้นโดยมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ โดยภายในศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรนี้มีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรอยู่ 4 ห้องด้วยกัน คือ "ห้องพระราชประวัติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ" ที่จัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ตั้งแต่ในวัยเยาว์ของสมเด็จพระเทพรัตนฯ และพระบรมฉายาลักษณ์เมื่อพระองค์เสด็จไปประกอบพระราชกรณียกิจในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย และหนังสือที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นจากการเสด็จพระราชดำเนินไปในที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์เป็นภาพสีน้ำมัน และเครื่องเคลือบดินเผาหลายสิบชิ้น
"ห้องเครื่องปั้นดินเผา" ซึ่งจัดแสดงและให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาในประเทศไทยทุกยุคสมัย ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ มีตัวอย่างของเครื่องปั้นดินเผาในยุคทวารวดี สมัยสุโขทัย สมัยล้านนาให้ชมกัน "ห้องแสดงพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมในประเทศไทย" สำหรับคนที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับที่มาและชาติพันธุ์ในประเทศไทยและแถบเอเชียอาคเนย์ และ "ห้องชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดี" ซึ่งจัดแสดงแหล่งโบราณคดีในภาคอีสาน การสืบเรื่องราววิถีชีวิตในยุคก่อนประวัติศาสตร์โดยเปรียบเทียบกับสภาพปัจจุบัน เช่น การทำเกลือ การใช้ภาชนะดินเผา การถลุงเหล็ก อีกทั้งภายในศูนย์มานุษยวิทยาฯยังมีห้องสมุดที่มีหนังสือกว่า 40,000 รายการ ทั้งภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส ภาษาจีน
นี่ยังเป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวบางส่วนของเขตตลิ่งชันเท่านั้น หากอยากรู้ว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจอีกก็คงต้องมาชมกันเองเสียแล้วล่ะ
ในย่านชายขอบกรุงเทพฯอันเป็นเมืองหลวงทันสมัย หลายๆพื้นที่ยังคงมีพื้นที่สีเขียวร่มรื่นให้ได้เห็นกัน ความเจริญที่เข้าถึงไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของเมืองหลวง ก็ไม่ได้ทำให้วิถีเกษตรที่สืบทอดกันมาจากอดีตจนมาถึงปัจจุบันสูญหายไปหมด แม้จะลดเหลือน้อยลงไปมากก็ตาม
อย่างเช่นในย่าน "ตลิ่งชัน" ที่ฉันได้มาเยี่ยมเยือนในวันนี้ ก็ยังคงเป็นเขตหนึ่งของกรุงเทพฯที่เราสามารถสูดอากาศสดชื่น ยังมองเห็นสวนผัก สวนผลไม้ สวนกล้วยไม้ ยังมีท้องร่องให้กระโดดข้ามเล่น และหากพูดถึงการท่องเที่ยวในเขตตลิ่งชันที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็เห็นจะเป็นการมาเที่ยว "ตลาดน้ำ" ซึ่งในเขตตลิ่งชันนี้ก็มีตลาดน้ำให้เที่ยวกันได้ถึง 3 แห่งเลยทีเดียว
ตลาดน้ำแห่งแรกที่เรารู้จักกันดีและมีชื่อเสียงมานานก็คือ "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ที่มีสารพัดอาหารของกินให้เลือกชิมกันได้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็นกุ้งเผาปลาเผา ส้มตำ สารพัดยำ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ขนมไทยๆ และผลไม้จากสวน ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าจะพายเรือออกมา และนั่งปรุงนั่งขายกันอยู่บนเรือ บางลำอยู่ไกลจากฝั่งหน่อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหาเวลาจะซื้อจะขาย เพราะเขาจะใช้ไม้ยาวๆ ที่มีตะกร้าตรงปลายไว้ส่งสินค้าและรับสตางค์
และที่พลาดไม่ได้หากมาที่ตลาดน้ำตลิ่งชันก็คือการนั่งเรือนำชมคลอง ชมสวน ชมชีวิตริมน้ำของชาวตลิ่งชัน ที่เขาจะมีบริการเรือเป็นรอบๆ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการนั่งเรือเที่ยวในคลองชักพระ หรือคลองบางขุนศรี ซึ่งเป็นคลองที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร และเป็นคลองที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ และระหว่างทางเราก็จะได้ชมบรรยากาศบ้านริมคลองที่ดูน่าอยู่ ได้เห็นตลาดลอยน้ำ หรือเรือขายขนมหรืออาหารที่ออกให้บริการเฉพาะคนที่อยู่ริมน้ำ และได้แวะชมสวนกล้วยไม้ที่มีกล้วยไม้สวยๆหลายพันธุ์ สามารถซื้อกลับบ้านกันได้ด้วย
ตลาดน้ำแห่งต่อมาของตลิ่งชัน ก็เป็นตลาดน้ำที่กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แม้จะเพิ่งเปิดมาได้ไม่นานนัก นั่นก็คือ "ตลาดน้ำคลองลัดมะยม" ซึ่งแม้จะเป็นตลาดน้ำที่ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็เต็มไปด้วยอาหารการกินต่างๆ ไม่ให้เสียชื่อว่าเป็นตลาดน้ำ ไม่ว่าจะเป็นหมูสะเต๊ะ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ขนมจีน ขนมนมเนยอย่างไอศกรีม ขนมถ้วย ขนมลูกชุบ น้ำผลไม้ ฯลฯ ที่มีให้เลือกซื้อหาทั้งจากในเรือที่มาลอยลำ และจากตลาดบนบก ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนในคลองลัดมะยมนี่เอง โดยในวันธรรมดาเขาก็จะทำสวนหรือทำอาชีพปกติไป ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็จะเอาผลผลิตจากบ้านจากสวนมาขาย หรือทำขนมทำกับข้าวเตรียมออกมาขายกันตามฝีมือให้ลูกค้าที่มาเที่ยวได้ชิมกัน
ใครที่อิ่มอร่อยจากสารพัดอาหารแล้ว ก็อย่าลืมแวะเข้ามาเดินเที่ยวชมใน "สวนเจียมตน" ซึ่งเป็นสวนไม้ยืนต้นและไม้จำพวกสมุนไพร คนที่สนใจต้นไม้ใบหญ้าก็สามารถเข้าไปเดินดูกันได้ เพราะภายในสวนจะมีป้ายอธิบายต้นไม้หลายๆ ต้น อีกทั้งในสวนนี้ยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆของตลาดน้ำ และมีมุมห้องสมุดเล็กๆ ให้เด็กๆ มานั่งอ่านหนังสือกันด้วย และที่ไม่อยากให้พลาดหากได้เข้าไปในสวนเจียมตนก็คือการพายเรือเล่นในคลอง ที่หากใครพายเป็นก็สามารถพายไปเที่ยวใกล้ได้ หรือใครไม่ค่อยถนัดก็จะมีเด็กๆ รอให้บริการเป็นฝีพายอยู่ ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่จะให้เงินเป็นสินน้ำใจแก่เด็กๆเพื่อเป็นกำลังใจก็ได้
มาถึงตลาดน้ำแห่งสุดท้ายของเขตตลิ่งชัน ซึ่งเป็นตลาดน้ำน้องใหม่ล่าสุด หรือ "ตลาดน้ำวัดสะพาน" ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความอร่อยของอาหารจากรสมือของแม่ค้าพ่อค้าที่นี่ ซึ่งก็มีอาหารหลากชนิดให้เลือกชิมกัน ทั้งขนมจีนน้ำพริก น้ำยา แกงไก่ แกงลูกชิ้น ผัดไทย หอยทอด หมูสะเต๊ะ และขนมของกินเล่นไทยๆ อย่างเมี่ยงคำ ข้าวเหนียวหน้ากุ้งหน้ากลอย ข้าวเกรียบว่าว ข้าวหลาม ซึ่งบางร้านฉันได้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วยอมรับว่าอร่อยจริง แต่พูดไปก็ไม่ได้รสชาติ คงต้องมาสัมผัสด้วยลิ้นตัวเองจึงจะดีที่สุด
คนที่มาเที่ยวตลาดน้ำวัดสะพานยังจะได้มาทำบุญไหว้พระที่ "วัดสะพาน" อันเป็นที่ตั้งของตลาดน้ำ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สมัยปลายอยุธยาต่อมาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระพุทธรูปหินทรายเก่าแก่สมัยอยุธยาอยู่หลายองค์ด้วยกัน แต่ถูกทำลายจนหักพังลงไปมาก บางองค์ก็นำมาพอกปูนซ่อมใหม่ แต่บางองค์ก็เสียหายมากเกินจะปฏิสังขรณ์ได้ โดยพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดนั้นมีสามองค์ด้วยกัน ประดิษฐานอยู่ในวิหารโถง ซึ่งเป็นวิหารโล่งไม่มีฝาผนัง พระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้นก็คือ "หลวงพ่อโต" "หลวงพ่อกลาง" และ "หลวงพ่อดำ" ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในแถบนั้นเป็นจำนวนมาก
สำหรับใครที่มีเวลาน้อยแต่อยากชมบรรยากาศของตลาดน้ำทั้งสามแห่ง ก็สามารถทำได้ เพราะเขามีการเชื่อมโนงตลาดน้ำทั้งสามเข้าด้วยกันเป็นเส้นทางท่องเที่ยวตลาดน้ำย่านตลิ่งชันทางน้ำ เพราะคลองในแถบนี้สามารถเชื่อมถึงกันได้หมด โดยไปเริ่มต้นที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน แล้วเหมาเรือมาที่ตลาดน้ำท่ามะยม แล้วมาจบที่ตลาดน้ำวัดสะพาน ในหนึ่งวันก็สามารถเที่ยวและหาของกินอร่อยๆ ได้ถึงสามตลาดน้ำเลยทีเดียว
ในย่านตลิ่งชันนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอย่าง "บ้านจักรยาน" บนถนนสวนผัก ที่ถือเป็นสวรรค์ของคนรักจักรยาน เพราะที่นี่มีจักรยานยี่ห้อต่างๆ ประเภทต่างๆ ให้ชมกันเป็นพันๆคัน ด้วยการสะสมของเจ้าของบ้าน หรืออาจารย์ทวีไทย บริบูรณ์ บุคคลผู้หลงเสน่ห์ของจักรยานและได้เริ่มลงมือเสาะหาและสะสมจักรยานมา 5 ปีด้วยกัน โดยจักรยานคันสำคัญที่คนรักจักรยานต้องอยากเห็นก็คือ จักรยานยี่ห้อ "เดตัล" ซึ่งเป็นจักรยานยี่ห้อแรกที่เข้ามาขายในประเทศไทยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 และจักรยานยี่ห้อดังอย่างราเล่ห์ ฮัมเบอร์ ฟิลลิปส์ เฮอคิวลิส รัดจ์ และบีเอสเอ เป็นต้น ซึ่งจักรยานนับพันคันเหล่านี้ก็มีทั้งวางโชว์อยู่บนพื้น และแขวนโชว์อยู่ด้านบน ละลานตาไปด้วยจักรยาน
แต่นอกจากจักรยานสวยๆแล้ว เจ้าของบ้านก็ยังสะสมของเก่าอย่างขวดน้ำอัดลม ขวดเหล้าเก่าๆ แบบที่หาไม่ได้ในปัจจุบันแล้ว และเฟอร์นิเจอร์เก่าดูคลาสสิคอย่างพัดลมตั้งโต๊ะ พัดลมแขวน รวมถึงหนังสือเก่า โปสเตอร์เก่าต่างๆ อีกทั้งยังมีเครื่องปั้นดินเผาเป็นรูปคนและสัตว์ ซึ่งเป็นผลงานของเจ้าของบ้านเองอีกด้วย
ไม่ไกลจากบ้านจักรยาน มีสิ่งที่น่าสนใจไม่ควรพลาดอย่าง "วัดชัยพฤกษ์มาลา" วัดเก่าแก่ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณะมาตลอดในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังคงมีวิหารและอุโบสถเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยาให้เราได้ชมกัน วิหารเก่าแห่งนี้ดูแปลกเพราะมีประตูเล็กอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง แถมยังมีตั้งห้าหกบาน ต่างจากวัดอื่นที่ฉันเคยไปเยือนอย่างเห็นได้ชัด มารู้ทีหลังว่าที่แท้แล้วประตูข้างนั้นก็คือหน้าต่างของวิหาร แต่เนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับคลองมหาสวัสดิ์ จึงเกิดน้ำท่วมบ่อยๆ และต้องถมที่ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหนีน้ำ ถมไปถมมาจนพื้นสูงขึ้นมาถึงหน้าต่างจนกลายเป็นทางเข้าทางออกอย่างที่เห็น
อีกทั้งภายในวัดยังมีพระเจดีย์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ต่อมาใน พ.ศ.2478 หม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อเสร็จแล้วก็ได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 3 และอัฐิของเจ้านายหลายพระองค์มาบรรจุไว้ในเจดีย์องค์นี้ด้วย
มาปิดท้ายแหล่งท่องเที่ยวของเขตตลิ่งชันกันที่ "ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร" ศูนย์ข้อมูลทางด้านมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ก่อตั้งขึ้นโดยมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ โดยภายในศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรนี้มีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรอยู่ 4 ห้องด้วยกัน คือ "ห้องพระราชประวัติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ" ที่จัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ตั้งแต่ในวัยเยาว์ของสมเด็จพระเทพรัตนฯ และพระบรมฉายาลักษณ์เมื่อพระองค์เสด็จไปประกอบพระราชกรณียกิจในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย และหนังสือที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นจากการเสด็จพระราชดำเนินไปในที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์เป็นภาพสีน้ำมัน และเครื่องเคลือบดินเผาหลายสิบชิ้น
"ห้องเครื่องปั้นดินเผา" ซึ่งจัดแสดงและให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาในประเทศไทยทุกยุคสมัย ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ มีตัวอย่างของเครื่องปั้นดินเผาในยุคทวารวดี สมัยสุโขทัย สมัยล้านนาให้ชมกัน "ห้องแสดงพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมในประเทศไทย" สำหรับคนที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับที่มาและชาติพันธุ์ในประเทศไทยและแถบเอเชียอาคเนย์ และ "ห้องชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดี" ซึ่งจัดแสดงแหล่งโบราณคดีในภาคอีสาน การสืบเรื่องราววิถีชีวิตในยุคก่อนประวัติศาสตร์โดยเปรียบเทียบกับสภาพปัจจุบัน เช่น การทำเกลือ การใช้ภาชนะดินเผา การถลุงเหล็ก อีกทั้งภายในศูนย์มานุษยวิทยาฯยังมีห้องสมุดที่มีหนังสือกว่า 40,000 รายการ ทั้งภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส ภาษาจีน
นี่ยังเป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวบางส่วนของเขตตลิ่งชันเท่านั้น หากอยากรู้ว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจอีกก็คงต้องมาชมกันเองเสียแล้วล่ะ