“ภูเก็ต” วันนี้มีฐานะเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังติดอันดับโลก เป็น“ไข่มุกแห่งอันดามัน”ที่นักท่องเที่ยวถวิลหา แต่ก่อนที่จะมีวันนี้ ภูเก็ตได้ผ่านยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของการเหมืองแร่มายาวนาน ดังที่ปรากฏในเอกสาร พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ ว่า
...ภูเก็ตเป็นเมืองที่เติบโตมาจากการทำเหมืองแร่ดีบุก ซึ่งต้องใช้ดีบุกเคลือบโลหะกันสนิม และผสมทองแดงเป็นสำริดมากว่า 500 ปี จึงทำให้ชาวยุโรป(โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศสและอังกฤษ) และชาวจีนฮกเกี้ยน(ทั้งที่ผ่านมาจากสิงคโปร์และปีนังหรือมาจากจีนโดยตรง)หลั่งไหลเข้ามาทำเหมืองและตั้งหลักแหล่งในภูเก็ต มีวัฒนธรรมผสมผสานไทย ยุโรปและจีน ทำให้มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น อาทิ สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส อาหารพื้นเมือง ภาษา การบูชาเทพเจ้า การแต่งกาย การแต่งงาน รวมไปถึงน้ำทะเลใสสีคราม หาดทรายสะอาดและแดดเมืองร้อน จนกลายเป็นมนต์เสน่ห์ ไข่มุกแห่งอันดามันเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงก้องโลก...
นับได้ว่ายุคเหมืองแร่เป็นอีกหนึ่งยุคทองของภูเก็ตที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเมืองในหลากหลายมิติ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
มาวันนี้แม้ภูเก็ตจะเปลี่ยนผ่านจากยุคเหมืองแร่เข้าสู่เมืองท่องเที่ยว แต่ประวัติศาสตร์แห่งความเป็นเมืองเหมืองยังไม่ตายและยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคน เป็นประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ศึกษาในรากเหง้าของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เห็นความสำคัญ โดยนายประเสริฐ ขาวกิจไพศาล อดีตนายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง ได้เสนอให้มีการจัดตั้ง“พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่”ขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนหลังเหตุการณ์สึนามิ ทางจังหวัดภูเก็ตได้มอบหมายให้เทศบาลตำบลกะทู้ ดำเนินการจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2549 บนพื้นที่เหมืองแร่ดีบุกเดิม (เลิกทำเหมืองเมื่อ พ.ศ. 2500) บริเวณเหมืองท่อสูง ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต
อาคารพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่สร้างตามแบบของนางปัญจภัทร(ตูน) ชูราช โดยมี ผศ.สมหมาย ปิ่นพุทธศิลป์ เป็นผู้ออกแบบวางแนวคิดการจัดแสดงให้พิพิธภัณฑ์ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ที่สามารถเรียนรู้ สัมผัส จับต้อง และร่วมลงมือปฏิบัติการด้วยตัวเองได้ในบางจุด ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จไปประมาณ 80 %
อาคารหลังนี้สร้างในสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ซึ่ง ผศ.สมหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมของภูเก็ตและเป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์ในครั้งนี้ กล่าวว่า คนภูเก็ตเรียกอาคารลักษณะนี้ว่า “อังมอเหลา” ที่หมายถึง บ้านเรือนแบบฝรั่งของบรรดาเศรษฐีหรือนายเหมืองในอดีต
สำหรับการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จัดแสดงในแนวคิด“เปิดลับแลม่านฟ้า เกาะพญามังกรทอง” โดย แบ่งส่วนจัดแสดงหลักออกเป็นภายนอกและภายใน
ภายนอก มีพันธุ์ไม้พื้นเมืองหลายชนิดให้ชม อาทิ ราชินีเหลือง หม้อข้าวหม้อแกงลิง เฟินสามร้อยยอด ผักหวาน และยังหลงเหลือร่องรอยของการทำเหมืองเก่าไว้ให้ชมบ้าง ซึ่งในอนาคตจะทำเป็นเหมืองแร่จำลอง มีเรือ ขุด รางแร่ ฯลฯ มาจัดแสดงให้ชม
ภายใน แบ่งเป็นส่วนต่างๆ มีส่วนจัดแสดงที่สำคัญๆคือ
โปท้องหง่อก่ากี่ แสดงภาพ(วาด)ลักษณะเด่นของอาคารชิโน-โปรตุกีส เช่น หัวเสากรีก-โรมัน ลวดลายประตู หน้าต่าง มีรถสองแถวสร้างด้วยไม้หรือ “โปท้อง” ตั้งไว้โดดเด่นกลางห้อง โดย ผศ.สมหมาย ให้ข้อมูลว่า ภูเก็ตเป็นหัวเมืองที่มีรถยนต์เป็นอันดับแรกของเมืองไทย และเป็นเมืองที่มีรถยนต์เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากกรุงเทพฯ
ชินวิถี มีประตูทางเข้า หน้าต่างและช่องลม เป็นเสมือนปาก ตาและคิ้วพญามังกร เมื่อเดินเข้าไป
เป็นส่วนรับแขกของคนจีนผู้มีอันจะกิน ตกแต่งอย่างหรูหรา มีโต๊ะมุกเป็นที่นั่งรับน้ำชาจากเจ้าของบ้าน มีฉากลวดลายต้นและดอกโบตั๋นอันสวยงามประดับ
อัญมณีนายหัวเหมือง จัดแสดงวัตถุโบราณของสะสมสิ่งละอันพันละน้อย อาทิ แสตมป์ดวงแรกของไทย เงินโบราณ จากเงิน(หอย)เบี้ย เงินพดด้วง เงินปึก มาถึงเหรียญ ธนบัตร ซากฟอสซิล หินโบราณ งาช้างตราประทับ"มณฑลภูเก็จ" ซึ่ง ผศ.สมหมาย บอกว่านี่คือ 1 ใน หลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่าในอดีตชื่อของภูเก็ตน่าจะใช้“ภูเก็จ”ที่หมายถึง ภูเขาแก้ว นอกจากนี้ยังมีวัตถุ สิ่งของ ข้าวของสะสมของนายหัวเหมืองอีกมากมาย ที่ล้วนต่างมามีต้นกำเนิดมาจากห้องถัดไป
เรืองดารากร ส่วนนี้จัดแสดงกำเนิดระบบสุริยะจักรวาล กำเนิดโลก โยงมาถึงการกำเนิดของมนุษย์ การเกิดหิน เกิดแร่ วิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคโบราณพร้อมหุ่นจำลองมนุษย์ยุคโบราณ ที่เริ่มรู้จักนำหิน นำแร่ อย่างเหล็ก สำริด มาใช้ในชีวิต ก่อนจะรู้จักการขุดค้นแร่และการทำเหมืองแร่ที่ปรากฏในห้องต่อไป
สายแร่แห่งชีวิต คือห้องสำคัญ จัดแสดงการทำเหมืองแร่ในรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย เหมืองแล่น เหมืองรู(เหมืองปล่อง) เหมืองหาบ เหมืองฉีด เหมืองสูบ เหมืองเรือขุดแล้ว โดยพื้นที่ให้อาสาสมัครลงไปทดลองร่อนแร่ของจริงชนิดเปียกจริงได้ผงแร่ออกมาจริงๆให้จับต้องกัน จัดแสดงกระบวนการในการผลิตแร่ตั้งแต่ยุคแรกที่ใช้แรงงานคน มาจนถึงยุคการใช้เครื่องจักร โดยมี "ลูกเชอ" เป็นภาชนะตักแร่ที่สำคัญ
และด้วยการเข้ามาของการทำเหมือง อันเป็นยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูของการทำเหมืองในภูเก็ตนี่เอง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวภูเก็ตครั้งสำคัญ โดยเมื่อราว 150 ปีที่แล้ว แรงงานเหมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนได้อพยพมาเป็นกุลีในเหมืองหาบแล้วแต่งงานกับคนไทย คนท้องถิ่น ให้กำเนิดลูกหลานมีการผสมผสานทางวัฒนธรรม เกิดเป็นวิถีวัฒนธรรมอันมีลักษณะเฉพาะตัวที่น่าสนใจขึ้นมากหลายในภูเก็ต ดังปรากฏในส่วนแสดงถัดๆไป
สำหรับส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมภูเก็ตมีเรื่องราวน่าสนใจชวนชม อาทิ เรือกอจ๊านที่ใช้ในสมัยก่อน เรื่องราวการหลงผิดไปเสพฝิ่นของแรงงานสมัยก่อน บรรยากาศร้านรวง ศาลเจ้า ย่านพบปะของภูเก็ตในอดีต โรงงิ้ว โรงหนังตะลุง ร้านโกปี๊ วัฒนธรรมการแต่งงานแบบบาบ๋าเป็นต้น
และนั่นก็เป็นส่วนใหญ่ของการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ อีกหนึ่งแหล่งรวมเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญ ดุจดังแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีองค์ความรู้อันหลากหลายให้ค้นหา ซึ่งไม่เฉพาะแค่ชาวภูเก็ตเท่านั่นแต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญของชาวไทยอีกด้วย
*****************************************
พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ ตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 ถนนสายกะทู้-นาเกาะ ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เดิมเปิดให้เข้าชมฟรี แต่ปัจจุบันจำเป็นต้องเก็บค่าเข้าชมเพื่อมาบำรุงพิพิธภัณฑ์ดังนี้ ผู้ใหญ่ 50 บาท นักศึกษา 20 บาท เด็ก 10 บาทคนพิการชมฟรี พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ เปิดวันเวลาราชการ 8.30-16.30 น. โทร. 081-535-3187, 083-1025-606