โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมาฉันได้ไปร่วมกิจกรรม "พิพิธพาเพลินเชิญเที่ยว ตอน เที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ ภาค 1" ที่ทาง "มิวเซียมสยาม" เขาจัดขึ้นให้ผู้ที่สนใจได้ร่วมเดินทางโดยรถรางเพื่อเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจต่างๆในเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งก็นับว่าตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ขอร่วมเดินทางไปเที่ยวกันกับเขาด้วย เพราะฉันได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ถึงห้าแห่งด้วยกัน แถมยังได้นั่งสบายๆบนรถราง พร้อมทั้งมีมัคคุเทศก์คอยบรรยายสิ่งต่างๆที่น่าสนใจระหว่างทางให้ฟังกัน
เริ่มเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งแรก นั่นก็คือ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร" พิพิธภัณฑ์ที่หลายๆคนเคยมาเที่ยวกันแล้ว แม้บ่อยครั้งจะได้ยินคนบ่นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ทันสมัย มีแต่ของเก่าไร้ชีวิตชีวา แต่ข้าวของหลายๆสิ่งภายในก็มีคุณค่าควรแก่การเข้าชม อีกทั้งประวัติศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้ก็น่าสนใจ โดยแต่เดิมนั้นบริเวณนี้เคยเป็น "วังหน้า" หรือ "พระราชวังบวรสถานมงคล" ที่ประทับของวังหน้า หรือมหาอุปราช แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นอกจากจะมีข้าวของล้ำค่าจากหลายยุคหลายสมัยแล้ว ก็ยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานสำคัญอีกด้วย เช่น พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน ซึ่งตอนนี้เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทย พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไทย พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ที่เคยเป็นท้องพระโรงของวังหน้า หมู่พระวิมาน หรือพระที่นั่งต่างๆ ของวังหน้าที่ใช้เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่ควรค่าแก่การชม
รถรางวิ่งต่อมาที่ "พิพิธภัณฑ์ป้อมพระสุเมรุ" ป้อมปราการเก่าแก่ของกรุงเทพฯที่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองป้อมเท่านั้น (อีกป้อมหนึ่งคือป้อมมหากาฬ) ป้อมแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สวนสันติชัยปราการ ตรงหัวมุมถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ
ป้อมพระสุเมรุนั้นสร้างขึ้นในปีที่สองของการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 1 พร้อมๆกับการสร้างกำแพงเมืองและขุดคูรอบพระนคร มีลักษณะเป็นป้อมก่ออิฐถือปูนความสูงสามชั้น ชั้นบนเป็นหอรบสูงมีเครื่องบนเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องใช้ในการสังเกตการณ์ข้าศึกจากทิศเหนือและบริเวณโดยรอบ
วันนี้ฉันได้ปีนขึ้นไปอยู่บนป้อมพระสุเมรุเลยทีเดียว ต่างจากวันอื่นๆ ที่ได้เพียงยืนมองอยู่เบื้องล่างเท่านั้น โดยชั้นที่หนึ่งของป้อมนั้นเป็นลานป้อมรูปแปดเหลี่ยมด้านไม่เท่า มีกำแพงล้อมรอบ บนกำแพงมีใบเสมา ซึ่งระหว่างใบเสมาเหล่านั้นก็จะมีปืนใหญ่ตั้งไว้เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูที่จะรุกรานเข้ามา และบนชั้นที่สองก็มีปืนใหญ่เช่นเดียวกัน อีกทั้งที่กลางลานป้อมยังมีหอรบ ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แสดงประวัติของป้อมพระสุเมรุ รวมทั้งยังมีวัตถุโบราณต่างๆ ที่ขุดพบในการปฏิสังขรณ์แต่ละครั้งอีกด้วย
ชมป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการกันแล้ว รถรางพาเรามาต่อกันที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์" แหล่งรวมผลงานศิลปะทั้งแบบไทยประเพณีและศิลปะร่วมสมัยชิ้นสำคัญของไทย แต่เดิมนั้นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้ามาก่อน และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้มีการรื้อถอนพระตำหนักเพื่อสร้างเป็นโรงกษาปณ์สิทธิการ หรือโรงงานผลิตเงินเหรียญ ก่อนจะกลายมาเป็นหอศิลป์แห่งชาติ หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ อย่างในปัจจุบัน
ห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรของที่นี่นั้นมีผลงานชิ้นสำคัญหลายชิ้นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พระบรมสาทิสลักษณ์ของกษัตริย์ที่วาดโดยจิตกรชาวต่างประเทศ จิตรกรรมพุทธศาสนาวาดบนผืนผ้า หรือที่เรียกว่าพระบฎ อีกทั้งยังมีผลงานภาพวาดและประติมากรรมของศิลปินแห่งชาติ และศิลปินผู้มีชื่อเสียงของไทยอีกหลายท่านด้วยกัน
ในส่วนของนิทรรศการหมุนเวียนนั้นก็จะมีผลงานศิลปะของศิลปินทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาจัดแสดงให้ชมกันตลอดทั้งปี ประมาณเดือนละ 2 นิทรรศการ ซึ่งนิทรรศหมุนเวียนหนึ่งที่กำลังจัดแสดงอยู่ในตอนนี้ก็คือนิทรรศการของผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการประกวดจิตรกรรมร่วมสมัยพานาโซนิค ครั้งที่ 11 ซึ่งจะเปิดให้ชมกันได้ถึงสิ้นเดือนนี้
รถรางวิ่งผ่านวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังมาที่อาคารราชวัลลภ ของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง หรือกรมการรักษาดินแดนเดิม เพื่อมาชม "พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 6" พิพิธภัณฑ์ที่มีสิ่งของเครื่องใช้ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนมาก
พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 6 นี้ แบ่งเป็นสองห้องด้วยกัน โดยใน "ห้องพระบารมีปกเกล้า" นั้น จะเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนจัดแสดงการเทิดพระเกียรติ รัชกาลที่ 6 ซึ่งประดิษฐานพระบรมรูปจำลองรัชกาลที่ 6 ทรงเครื่องทรงพระมหาพิชัยยุทธเป็นสีแดงทั้งองค์ ถูกต้องตามตำราพิชัยยุทธนาการโบราณราชประเพณี ส่วนพระราชประวัติ รัชกาลที่ 6 ส่วนจัดแสดงพระราชกรณียกิจ ส่วนจัดแสดงพระปรีชาชาญด้านการทหาร และส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง
และห้องจัดแสดงอีกห้องหนึ่งนั้นก็คือ "ห้องรามจิตติ" ซึ่งเป็นห้องที่จัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์ ได้แก่ ฉลองพระองค์ ฉลองพระบาท พระมาลา และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่งหน่วยบัญชาการกำลังสำรองได้รับมอบจากสำนักพระราชวัง และเพื่อเป็นการรักษาของใช้ส่วนพระองค์เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด โดยฉลองพระองค์เหล่านี้มีจำนวนนับร้อยๆเลยทีเดียว ส่วนด้านในสุดของห้องก็จัดจำลองห้องทรงงานของรัชกาลที่ 6 ที่มีลายพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษให้ได้ชมกัน
มาปิดท้ายการเที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์กันที่ "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์ที่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย ด้วยการเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆในการชมพิพิธภัณฑ์ และยังตั้งใจให้เด็กและเยาวชนไทยสร้างสำนึกในการรู้จักตนเอง รู้จักเพื่อนบ้าน และรู้จักโลก ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
การเที่ยวชมมิวเซียมสยามนั้นถือว่าเป็นเรื่องสนุก ต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆที่มักจะมีป้ายห้ามถ่ายรูป ห้ามจับ แต่ที่แห่งนี้สามารถสัมผัสได้ทุกสิ่งแบบไม่หวงห้าม อีกทั้งยังเล่นสนุกกับอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ ที่มีไว้ให้ สนุกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว โดยเนื้อหาภายในมิวเซียมสยามนี้ก็แบ่งออกเป็น 17 ห้อง ที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของประเทศไทยตั้งแต่ยังเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ จนมาถึงสยามประเทศ ก่อนจะมาเป็นประเทศไทยอย่างในปัจจุบัน
นอกจากพิพิธภัณฑ์ทั้ง 5 แห่งที่ฉันได้ไปเที่ยวมาวันนี้แล้ว พิพิธภัณฑ์ในเกาะรัตนโกสินทร์นี้ยังมีอีกมากมายหลากหลายแห่ง และนี่ก็เป็นการเที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ภาคแรกเท่านั้น เชื่อแน่ว่าน่าจะมีภาคสองตามมาในไม่ช้านี้ ผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมกิจกรรมก็ต้องติดตามข่าวสารจากมิวเซียมสยามกันต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สนใจกิจกรรมต่างๆ ของทางมิวเซียมสยาม สามารถโทรสอบถามได้ที่.0-2225-2777 หรือดูรายละเอียดที่ www.ndmi.or.th
เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมาฉันได้ไปร่วมกิจกรรม "พิพิธพาเพลินเชิญเที่ยว ตอน เที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ ภาค 1" ที่ทาง "มิวเซียมสยาม" เขาจัดขึ้นให้ผู้ที่สนใจได้ร่วมเดินทางโดยรถรางเพื่อเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจต่างๆในเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งก็นับว่าตัดสินใจไม่ผิดเลยที่ขอร่วมเดินทางไปเที่ยวกันกับเขาด้วย เพราะฉันได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ถึงห้าแห่งด้วยกัน แถมยังได้นั่งสบายๆบนรถราง พร้อมทั้งมีมัคคุเทศก์คอยบรรยายสิ่งต่างๆที่น่าสนใจระหว่างทางให้ฟังกัน
เริ่มเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งแรก นั่นก็คือ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร" พิพิธภัณฑ์ที่หลายๆคนเคยมาเที่ยวกันแล้ว แม้บ่อยครั้งจะได้ยินคนบ่นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ทันสมัย มีแต่ของเก่าไร้ชีวิตชีวา แต่ข้าวของหลายๆสิ่งภายในก็มีคุณค่าควรแก่การเข้าชม อีกทั้งประวัติศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้ก็น่าสนใจ โดยแต่เดิมนั้นบริเวณนี้เคยเป็น "วังหน้า" หรือ "พระราชวังบวรสถานมงคล" ที่ประทับของวังหน้า หรือมหาอุปราช แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นอกจากจะมีข้าวของล้ำค่าจากหลายยุคหลายสมัยแล้ว ก็ยังมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานสำคัญอีกด้วย เช่น พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน ซึ่งตอนนี้เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทย พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไทย พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ที่เคยเป็นท้องพระโรงของวังหน้า หมู่พระวิมาน หรือพระที่นั่งต่างๆ ของวังหน้าที่ใช้เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ที่ควรค่าแก่การชม
รถรางวิ่งต่อมาที่ "พิพิธภัณฑ์ป้อมพระสุเมรุ" ป้อมปราการเก่าแก่ของกรุงเทพฯที่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองป้อมเท่านั้น (อีกป้อมหนึ่งคือป้อมมหากาฬ) ป้อมแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สวนสันติชัยปราการ ตรงหัวมุมถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุ
ป้อมพระสุเมรุนั้นสร้างขึ้นในปีที่สองของการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 1 พร้อมๆกับการสร้างกำแพงเมืองและขุดคูรอบพระนคร มีลักษณะเป็นป้อมก่ออิฐถือปูนความสูงสามชั้น ชั้นบนเป็นหอรบสูงมีเครื่องบนเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องใช้ในการสังเกตการณ์ข้าศึกจากทิศเหนือและบริเวณโดยรอบ
วันนี้ฉันได้ปีนขึ้นไปอยู่บนป้อมพระสุเมรุเลยทีเดียว ต่างจากวันอื่นๆ ที่ได้เพียงยืนมองอยู่เบื้องล่างเท่านั้น โดยชั้นที่หนึ่งของป้อมนั้นเป็นลานป้อมรูปแปดเหลี่ยมด้านไม่เท่า มีกำแพงล้อมรอบ บนกำแพงมีใบเสมา ซึ่งระหว่างใบเสมาเหล่านั้นก็จะมีปืนใหญ่ตั้งไว้เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูที่จะรุกรานเข้ามา และบนชั้นที่สองก็มีปืนใหญ่เช่นเดียวกัน อีกทั้งที่กลางลานป้อมยังมีหอรบ ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แสดงประวัติของป้อมพระสุเมรุ รวมทั้งยังมีวัตถุโบราณต่างๆ ที่ขุดพบในการปฏิสังขรณ์แต่ละครั้งอีกด้วย
ชมป้อมพระสุเมรุและสวนสันติชัยปราการกันแล้ว รถรางพาเรามาต่อกันที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์" แหล่งรวมผลงานศิลปะทั้งแบบไทยประเพณีและศิลปะร่วมสมัยชิ้นสำคัญของไทย แต่เดิมนั้นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เคยเป็นพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้ามาก่อน และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้มีการรื้อถอนพระตำหนักเพื่อสร้างเป็นโรงกษาปณ์สิทธิการ หรือโรงงานผลิตเงินเหรียญ ก่อนจะกลายมาเป็นหอศิลป์แห่งชาติ หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ อย่างในปัจจุบัน
ห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรของที่นี่นั้นมีผลงานชิ้นสำคัญหลายชิ้นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พระบรมสาทิสลักษณ์ของกษัตริย์ที่วาดโดยจิตกรชาวต่างประเทศ จิตรกรรมพุทธศาสนาวาดบนผืนผ้า หรือที่เรียกว่าพระบฎ อีกทั้งยังมีผลงานภาพวาดและประติมากรรมของศิลปินแห่งชาติ และศิลปินผู้มีชื่อเสียงของไทยอีกหลายท่านด้วยกัน
ในส่วนของนิทรรศการหมุนเวียนนั้นก็จะมีผลงานศิลปะของศิลปินทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาจัดแสดงให้ชมกันตลอดทั้งปี ประมาณเดือนละ 2 นิทรรศการ ซึ่งนิทรรศหมุนเวียนหนึ่งที่กำลังจัดแสดงอยู่ในตอนนี้ก็คือนิทรรศการของผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการประกวดจิตรกรรมร่วมสมัยพานาโซนิค ครั้งที่ 11 ซึ่งจะเปิดให้ชมกันได้ถึงสิ้นเดือนนี้
รถรางวิ่งผ่านวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังมาที่อาคารราชวัลลภ ของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง หรือกรมการรักษาดินแดนเดิม เพื่อมาชม "พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 6" พิพิธภัณฑ์ที่มีสิ่งของเครื่องใช้ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนมาก
พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 6 นี้ แบ่งเป็นสองห้องด้วยกัน โดยใน "ห้องพระบารมีปกเกล้า" นั้น จะเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนจัดแสดงการเทิดพระเกียรติ รัชกาลที่ 6 ซึ่งประดิษฐานพระบรมรูปจำลองรัชกาลที่ 6 ทรงเครื่องทรงพระมหาพิชัยยุทธเป็นสีแดงทั้งองค์ ถูกต้องตามตำราพิชัยยุทธนาการโบราณราชประเพณี ส่วนพระราชประวัติ รัชกาลที่ 6 ส่วนจัดแสดงพระราชกรณียกิจ ส่วนจัดแสดงพระปรีชาชาญด้านการทหาร และส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาของหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง
และห้องจัดแสดงอีกห้องหนึ่งนั้นก็คือ "ห้องรามจิตติ" ซึ่งเป็นห้องที่จัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์ ได้แก่ ฉลองพระองค์ ฉลองพระบาท พระมาลา และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่งหน่วยบัญชาการกำลังสำรองได้รับมอบจากสำนักพระราชวัง และเพื่อเป็นการรักษาของใช้ส่วนพระองค์เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด โดยฉลองพระองค์เหล่านี้มีจำนวนนับร้อยๆเลยทีเดียว ส่วนด้านในสุดของห้องก็จัดจำลองห้องทรงงานของรัชกาลที่ 6 ที่มีลายพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษให้ได้ชมกัน
มาปิดท้ายการเที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์กันที่ "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์ที่เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย ด้วยการเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆในการชมพิพิธภัณฑ์ และยังตั้งใจให้เด็กและเยาวชนไทยสร้างสำนึกในการรู้จักตนเอง รู้จักเพื่อนบ้าน และรู้จักโลก ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
การเที่ยวชมมิวเซียมสยามนั้นถือว่าเป็นเรื่องสนุก ต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆที่มักจะมีป้ายห้ามถ่ายรูป ห้ามจับ แต่ที่แห่งนี้สามารถสัมผัสได้ทุกสิ่งแบบไม่หวงห้าม อีกทั้งยังเล่นสนุกกับอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ ที่มีไว้ให้ สนุกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว โดยเนื้อหาภายในมิวเซียมสยามนี้ก็แบ่งออกเป็น 17 ห้อง ที่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของประเทศไทยตั้งแต่ยังเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ จนมาถึงสยามประเทศ ก่อนจะมาเป็นประเทศไทยอย่างในปัจจุบัน
นอกจากพิพิธภัณฑ์ทั้ง 5 แห่งที่ฉันได้ไปเที่ยวมาวันนี้แล้ว พิพิธภัณฑ์ในเกาะรัตนโกสินทร์นี้ยังมีอีกมากมายหลากหลายแห่ง และนี่ก็เป็นการเที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ภาคแรกเท่านั้น เชื่อแน่ว่าน่าจะมีภาคสองตามมาในไม่ช้านี้ ผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมกิจกรรมก็ต้องติดตามข่าวสารจากมิวเซียมสยามกันต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สนใจกิจกรรมต่างๆ ของทางมิวเซียมสยาม สามารถโทรสอบถามได้ที่.0-2225-2777 หรือดูรายละเอียดที่ www.ndmi.or.th