xs
xsm
sm
md
lg

บาดแผลเชียงคาน/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
สีสันเมืองเชียงคานอันสงบงาม
“สายนที รินหลั่งจากฟ้า แบ่งพสุธาเป็นซ้ายและขวาสองฝั่ง หากน้ำกั้นขวางก็บ่สำคัญ แต่ความสัมพันธ์ของเฮามั่นคงเรื่อยไป

ถึงไกลกัน คนละฝั่งของ ต่างหมายปรองดองมุ่งหวังทั้งสองจนได้ ด้วยความใฝ่ฝันมั่นสุดหัวใจ ฝากฝังทรวงในเหมือนใจเดียวกัน...”

ท่อนแรกของเพลงสองฝั่งโขง(สองฝั่งของ) โดย จำปา(สุลิวัต) ลัดตะนะสะหวัน

เวลาไปลาว เพลงที่ผมนึกถึงเป็นอันดับแรกคือ“ดวงจำปา” แต่ถ้าเวลาไปแถวริมโขงชายแดนไทย-ลาว “สองฝั่งโขง”คือเพลงที่ผมนึกถึงก่อนเพื่อน

สองฝั่งโขง เพลงนี้ฟังทีไรหัวใจมันอดสะสกสะท้อนไม่ได้ พวกเราชาวไทย-ลาว รวมถึงเพื่อนบ้านอื่นๆในแถบอินโดจีน อยู่ด้วยกันมาดีๆฉันเพื่อนพ้องน้องพี่ ฉันคนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่จู่ๆกลับถูกคนนอกผู้อวดอ้างตัวเองว่าศิวิไลซ์อย่างอังกฤษ-ฝรั่งเศส เข้ามารุกราน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ยึดครองและแบ่งแยกดินแดนอินโดจีนออกเป็นฝักเป็นฝ่าย จนเกิดความร้าวฉานขึ้นทั่วไปในแผ่นดินอินโดจีน

ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคงหนีไม่พ้น กรณีเขาพระวิหารที่ถูกระเบิดเวลาลูกใหญ่ของฝรั่งเศสวางไว้ จนเกิดเป็นบาดแผลระหว่างไทยกับเขมรขึ้นมา ยิ่งมีคนขายชาตินำเขาพระวิหารไปเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ทับซ้อนก็ยิ่งทำให้บาดแผลของ 2 ชนชาติร้าวลึกมากขึ้น

หันมาดูที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงกันบ้าง ฝรั่งเศสใช้เล่ห์เหลี่ยมแบ่งแม่น้ำโขงออกเป็นฝั่งลาว-ซ้าย ฝั่งไทย-ขวา สร้างความปวดร้าวให้กับคนริมโขงที่เคยไปมาหาสู่กัน ก่อนที่หลายพื้นที่จะถูกเกมการเมืองของชนชั้นปกครองปลุก-ปั่น-ป่วน จนความปวดร้าวถูกยกระดับขึ้นเป็นความร้าวฉานตามมาในภายหลัง

แผลเก่า..

หนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของฝรั่งเศสผู้รุกรานที่ใช้สายน้ำโขงแบ่งแยกผู้คนริม 2 ฝั่งน้ำเป็นฝัก-เป็นฝ่าย เป็นไทย-เป็นลาว โดยไม่คำนึงถึงมิตรภาพดั้งเดิมของผู้คนแถบนี้ก็คือ “เมืองเชียงคาน”(ปัจจุบันอยู่ใน อ.เชียงคาน จ.เลย)
หากน้ำกั้นขวางก็บ่สำคัญ แต่ความสัมพันธ์ของเฮามั่นคงเรื่อยไป
เมืองนี้ถูกฝรั่งเศสทิ้งรอยแผล(เก่า)คือ การทำให้เกิดเมือง“เชียงคานเดิม” กลับ“เชียงคานใหม่”ขึ้น ใน 2 ฟากฝั่งลำโขง ซึ่งตามประวัติคร่าวๆของเมืองเชียงคานระบุว่า

...เมืองเชียงคานเดิม ตั้งอยู่บนผาฮดทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ.1400 โดยขุนคาน โอรสของขุนคัวกษัตริย์แห่งล้านช้าง ถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญริมน้ำโขงที่อยู่ภายใต้การปกครองของสยามมาช้านาน

จนกระทั่งในยุคล่าอาณานิยม สมัยรัชกาลที่ 5 ร.ศ. 112(พ.ศ. 2436) ฝรั่งเศสได้รุกรานอินโดจีนอย่างหนัก จนทำให้สยามต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายทั้งหมดของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสไป รวมไปถึงเมืองเชียงคาน(เดิม)ด้วย (หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้เปลี่ยนชื่อเมืองเชียงคานเดิมเป็น "เมืองสานะคาม" ปัจจุบันอยู่ในแขวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว)

แต่ดูเหมือนว่าชาวเชียงคานเดิมส่วนใหญ่จะไม่ยินยอมพร้อมใจ ไม่ยอมทนต่อการปกครองของฝรั่งเศส พวกเขาจึงพากันอพยพมาตั้งถิ่นฐานสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง(เยื้องๆกับเชียงคานเดิมไปทางขวาเล็กน้อย) เกิดเป็นเมืองเชียงคานใหม่หรือเชียงคานในปัจจุบันนั่นเอง...

“สมัยก่อนเราเคยพายเรือไปมาหาสู่ ข้ามไปข้ามมาเป็นประจำเป็นปกติสุข คนฝั่งโน้น(ฝั่งลาว)จะข้ามมาซื้อผักผลไม้ที่นี่ ส่วนคนฝั่งนี้(ฝั่งไทย)ก็จะข้ามไปซื้อปลา ซื้อของป่าจากเขา ไม่มีการแบ่งเป็นลาวเป็นไทยมีแต่ความเพื่อนบ้าน แต่เดี๋ยวนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เวลาจะข้ามฝั่งทีต้องไปข้ามตรงด่านข้ามแดนโน่น”

ลุงอุดม ชาวเชียงคานโดยกำเนิดผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและไมตรีเล่าให้ผมฟัง ระหว่างที่นำแพะออกมาเลาะเล็มหญ้าริมฝั่งโขงเมืองเชียงคานในช่วงสายๆของวัน

ซึ่ง ณ วันนี้แม้สายน้ำโขงจะแบ่งแยกความเป็นไทย-ลาว ออกจากกันตามกำหนดของฝรั่งเศส แต่ดูเหมือนว่าสายน้ำโขงจะแบ่งแยกได้แต่เพียงเขตแดนเท่านั้น เพราะลึกๆแล้วสายสัมพันธ์ของคนริมโขงไทย-ลาว ยังคงไปมาหาสู่แน่นแฟ้นผูกพันอยู่ไม่แปรเปลี่ยน
เชียงคานในม่านราตรี
“...โขงสองฝั่ง กั้นกลางด้วยสายนที แต่ประเพณีนั้นบ่ต่างกัน ชาติลาวและไทยก่อนนั้นเคยได้สัมพันธ์ ร่วมสายโลหิตเดียวกัน เพียงน้ำเท่านั้นมากั้นแบ่งทาง

ขอฟ้าดิน ช่วยเป็นสักขี โปรดคิดปรานีจงอย่าได้มีวันห่าง อย่าให้สัมพันธ์นั้นต้องจืดจาง ฝากฝังชีวีเหนือนทีสองฝั่งเอย”


ท่อนหลังของเพลงสองฝั่งโขง

แผลใหม่...

หลังสภาพการณ์เปลี่ยนผ่าน เชียงคานเดิมเป็นเชียงคานใหม่หรือเชียงคานในปัจจุบัน ณ อ.เชียงคาน จ.เลย มาวันนี้อดีตของเชียงคานใหม่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความรุ่งเรืองร่วงโรย เดินทางเข้าสู่เมืองท่องเที่ยวเล็กๆอันสงบงามริมฝั่งโขง เป็นดังตัวแทนของอดีตอันงดงาม เพราะยิ่งพลวัตแห่งเทคโนโลยีและความเจริญทางด้านวัตถุขับเคลื่อนหมุนเร็วเท่าใด ก็ยิ่งดูเหมือนว่าจะมีผู้คนเดินหนีจากโลกเทคโนโลยีทีรุมเร้าเข้าสู่ธรรมชาติ ความปลีกวิเวก และความสงบในจิตใจมากขึ้น

ในเมืองเชียงคานมีสิ่งน่าสนใจให้ชวนสัมผัส อาทิ วิถีชีวิตชาวบ้านอันสงบงามที่มากไปด้วยรอยยิ้มและน้ำมิตร และแนบแน่นในพุทธศาสนา บ้านเรือนไม้ประตูบานเฟี้ยมสมัยเก่า(ชาวบ้าน“เรือนแรม”)และอาคารสถาปัตยกรรมยุโรปที่สร้างแซมประปราย วัดวาอารามที่มีวัดเด่นๆอย่าง วัดศรีคุณเมือง วัดท่าคก ลำน้ำโขงที่ไหลเลาะเรียบริมเชียงคานและวิถีริมโขง แก่งคุดคู้กลางลำน้ำโขงอันโดดเด่นสวยงาม(ยามหน้าแล้ง)
ตักรบาตรยามเช้า แง่งามวิถีพุทธในเชียงคาน
เชียงคานในวันนี้อาจไม่เป็นที่ถูกใจ ถูกจริต สำหรับผู้นิยมแสงสี-โลกีย์-ความเจริญทางวัตถุ-สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการจัดฉากเพื่อการท่องเที่ยวแบบเรียลลิตี้โชว์จอมปลอม แต่ด้วยกระแสเมืองท่องเที่ยวเล็กๆที่กำลังมาแรง ทำให้เชียงคานติดโผเมืองท่องเที่ยวที่กำลังมาแรงในอันดับต้นๆของเมืองไทย

และนั่นก็ทำให้ ทั้งคนใน(คนในพื้นที่ชาวเชียงคาน)และคนนอก(นักท่องเที่ยว,นายทุนต่างถิ่นที่ไปทำกินที่เชียงคาน)ในดินแดนแห่งนี้ จะต้องช่วยกันดูแลรักษาเก็บบรรยากาศอันเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์เหล่านี้ไว้ ให้เชียงคานเป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆอันสงบงาม ยั่งยืน ไม่ให้เชียงคานถูกกระแสธารแห่งการท่องเที่ยวในยุคทุนนิยมถล่มจน "เละ"เหมือนหลายๆเมืองท่องเที่ยวในบ้านเรา ที่มุ่งเน้นแต่กอบโกยเม็ดเงิน แต่ขาดการบริหาร จัดการ และพัฒนาแบบมีทิศทางไม่สะเปะสะปะไร้ทิศไร้ทาง

เพราะนั่นเท่ากับว่าเชียงคานจะมี“แผลใหม่”เกิดขึ้น เป็นแผลจากการท่องเที่ยวที่หากรักษาไม่ดี อาจจะกลายเป็น“แผลเป็น”ติดตัวเชียงคานไปตลอดก็เป็นได้

‘รักเชียงคานจริง ต้องเฝ้าทะนุถนอม ดูการเติบโตอย่างช้าๆค่อยๆเป็น ค่อยๆไป เติบโตอย่างแข็งแรง มีคุณภาพ รู้ทิศทาง ควบคุมตัวเองได้

...ไม่ตกอยู่ในความต้องการของนักท่องเที่ยว ที่มา...แล้วก็ไป อย่าลืม...ว่าพวกเขา มาแล้วก็ไป

ให้เชียงคานเป็นเชียงคาน อย่าไปเสริมเติมแต่งจริตให้มากเกิน

มิฉะนั้น...เสน่ห์เชียงคานจะจางหาย’

ตัดทอนบางส่วนจาก www.chiangkhan.com
กำลังโหลดความคิดเห็น