สมัยเป็นเด็กน้อยเราคงเคยได้เรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยกันมาว่า แม้ทุกวันนี้เราจะมีแผนดินอยู่อย่างอุ่นใจ แต่ในอดีตบรรพบุรุษของเราต้องสู้รบเพื่อเอกราชของชาติไทย และในครั้งสุดท้ายเมื่อเราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ก็ได้ "สมเด็จพระเจ้าตากสิน" เป็นผู้ทรงกอบกู้เอกราช และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีต่อมา
ด้วยพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อปวงชนชายไทย จนในภายหลังประชาชนทุกหมู่เหล่าจึงพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" นั่นเอง
แต่กระนั้นก็ยังไม่วายที่มีคนไทยบางคนตีตนเสมอเจ้าคิดไปเองว่า ตนเองคือพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิด เพียงเพราะชื่อภาษาอังกฤษสะกดไปพ้องกัน พร้อมๆกับการก่อการทำร้ายประเทศไทยในหลายครั้งหลายครา
อย่างนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียกพวก"นรกกินกบาล" ซึ่งเท่าที่รู้ๆกันอยู่ คนๆนั้นมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานไปกับมายาคติที่ตัวเองสมมุติขึ้นมา
เอาเป็นว่า"ตะลอนเที่ยว"ไม่อยากจะเอ่ยถึงคนๆนี้สักเท่าไหร่ให้เปลืองเวลา ขอกลับมาที่พระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าตากสินกันต่อ ซึ่ง อาจารย์คฑา ชินบัญชร วิทยากรผู้นำทริป "ขอพรพระเจ้าตาก" โปรแกรมหนึ่งใน "โครงการเที่ยวทั่วไทยสุขใจเสริมมงคล" ที่ "ตะลอนเที่ยว"ติดสอยห้อยตามไปในทริปนี้ บอกกับพวกเราว่า
"ในความรู้สึกของอาจารย์ ดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยังอยู่และปกปักษ์รักษาประเทศไทย ถ้าไม่เช่นนั้นดวงพระวิญญาณของพระองค์คงเป็นเทพไปแล้ว"
อ.คฑา ยังกล่าวอีกว่า "คนบางคนจงใจที่จะใช้วันต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสิน และคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าตากสินกลับมาเกิด เพื่อที่จะได้โยงไปถึงสถาบันกษัตริย์ในการล้มล้างราชวงศ์จักรี โดยเขาผู้นั้นอาจจะเชื่ออย่างนั้นโดยใครคนใดคนหนึ่งใช้กลยุทธนี้ ทำให้คนนั้นอาจจะเชื่อว่าตนเป็นพระเจ้าตากสินกลับมาเกิดซึ่งจะต้องแย่งชิงบัลลังก์กลับมาก็เป็นได้"
ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำนายเรื่องราวกลับชาติมาเกิดนั้น แต่ก็ได้ดึงพระองค์ท่านลงมาแล้วทำให้แปดเปื้อนด้วยเรื่องราวที่พระองค์ท่านไม่ได้รับรู้ด้วยแต่อย่างใด ในทริปนี้ "ตะลอนเที่ยว" จึงจะขอพาคนไทยอันนับถือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปถวายสักการะพร้อมทั้งขอขมาลาโทษที่ได้มีคนบางกลุ่มได้ทำการล่วงเกินในพระบุญญาธิการของพระองค์ท่าน
สำหรับสถานที่แรกเริ่มกันที่ "วงเวียนใหญ่" อันเป็นที่ตั้งของ "พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2496 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ลักษณะเป็นพระบรมรูปทรงเครื่องกษัตริย์ประทับบนหลังม้า ทรงพระมาลา เบี่ยงหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่จ.จันทบุรี พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบชูออกไปเหนือพระเศียร พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียนท่านำพลรุกไล่ข้าศึก โดยในวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี จะมีพิธีถวายบังคม และมีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของพระองค์ที่พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯแห่งนี้
หลังสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่เอาฤกษ์เอาชัย พวกเรามุ่งหน้าสู่จังหวัดระยอง(ฮิ) เพื่อไปยัง "วัดกองดิน" ต.กองดิน อ.แกลง วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นหมุดประวัติศาสตร์ลำดับที่ 26 สุดท้ายของเขต จ.ระยองในเส้นทางสายเอกราชการเดินทัพของพระเจ้าตากสิน เมื่อคราวยกทัพไปเพื่อตีเมืองจันทบูร หรือปัจจุบันคือเมืองจันทบุรี ในปี พ.ศ.2310
วัดกองดินแห่งนี้มีเรื่องราวของพระเจ้าตากสินมากมาย ตั้งแต่ "ค่ายกองดินปืน" ที่อดีตเมื่อ 200 กว่าปีก่อน เมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยามีข้าศึกพม่ายกทัพมาประชิดพระนคร บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย พระยาตาก(ยศในขณะนั้นของพระเจ้าตากสิน) เห็นว่าหากอยู่ช่วยรบทำการป้องกันพระนครอาจแพ้แก่ข้าศึก จึงตัดสินใจรวบรวมไพร่พลราว 500 คน ตีฝ่าวงล้อมพม่าไปยังหัวเมืองชายทะเลตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังไพร่พล
ระหว่างเส้นทางเดินทัพไปเมืองจันทบูรก็ได้มาตั้งค่ายหยุดพักทัพม้าทัพช้างและไพร่พล เพื่อตำดินปืนไว้ใช้ในการออกศึกสงครามที่นี่ จึงเป็นที่มาของชื่อกองดินปืน ซึ่งปัจจุบันบริเวณนี้ก็ได้กลายเป็นค่ายกองดินปืน และได้สร้าง "พลับพลา พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ไว้เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหาวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชของชาติไทย
และระหว่างที่หยุดพักทัพก่อนจะเคลื่อนพลไปตีเมืองจันทบูรก็ได้ทรงนำเหล่าแม่ทัพนายกอง ทหารหาญผู้กล้าร่วมประกอบพิธีพลีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ทรงนำอธิฐานจิตปลูกโพธิ์สามต้นร่วมกัน ตั้งสัตยาอธิฐานร่วมใจเป็นกุศโลบายปลุกกระตุ้นจิตสำนึกของทหารหาญให้มีชัยชนะต่ออริราชศัตรู กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาจากพม่า และยังตั้งพระราชมโนปณิธานถวายเป็นพุทธบูชา ที่บริเวณต้นโพธิ์สามต้นนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าในการออกรบทุกครั้ง พระเจ้าตากสินได้อัญเชิญ "พระปกาศิตพุทธนำชัย" พระพุทธรูปคู่บารมีขึ้นเป็น "พระชัยหลังช้าง" ร่วมสู้ศึกสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพเสมอ ทำให้มีชัยชนะเหนือข้าศึกศัตรูทุกครั้งไป ซึ่งพระปกาศิตพุทธนำชัย นั้นเป็นต้นแบบในการหล่อส่วนขยาย "พระพุทธภัทรปิยประกาศิต" พระประธานในอุโบสถวัดกองดิน และในตำนานยังได้เล่าว่า ในพระเศียรจอมกระหม่อมเกศบัวตูมขององค์หลวงพ่อปกาศิตองค์ต้นแบบนี้ ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้จำนวนหนึ่ง และมีเหล่าเทพเทวาชั้นสูงรักษาอยู่ถึง 9 พระองค์ อีกด้วย
ได้ฟังขนาดนี้พวกเราก็รีบตั้งจิตอธิฐานกราบไหว้ขอพรกันกันทันที จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยัง จ.จันทบุรี สู่ "วัดทองทั่ว" ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง วัดซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เก็บ"พระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสิน" ซึ่งตามประวัติเล่าว่า กระดูกที่นำมาเก็บรักษาไว้นี้เป็นพระอัฐิของพระเจ้าตาก เนื่องจากเมื่อพบครั้งแรกเมื่อคราวปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระประธานในโบสถ์เมื่อปี พ.ศ.2472 มีแผ่นทองซึ่งเขียนเป็นภาษเขมรบรรจุไว้ในโกศเขียนไว้ว่า เป็นพระอัฐิพระเจ้าตาก พระยาจันทบูร(จันทบุรี) นำมา ที่ปัจจุบันแผ่นทองคำแผ่นนั้นได้สูญหายไป
ขณะนี้แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นพระอัฐิของพระเจ้าตากหรือไม่ แต่ผู้คนก็พากันนับถือเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ที่วัดทองทั่วยังเป็นวัดที่เก่าแก่คาดว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ซึ่งเก็บรักษาศิลปวัตถุสมัยขอมหลายชิ้น ใกล้ๆกันนั้นมี "โบราณสถานเมืองเพนียด" ซึ่งเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ที่สุดของจังหวัด และเชื่อว่าน่าจะเก่ากว่านครวัดนครธมของเขมร
และในเวลาต่อมาสมัยพระเจ้าตากสิน พระองค์ก็ได้เลือกเมืองจันทบุรีเป็นที่รวบรวมไพร่พลและเสบียงอาหาร รวมไปถึงการต่อเรือ จนในที่สุดก็สามารถกู้ชาติไทยคืนจากพม่าได้สำเร็จ ความผูกพันของคนเมืองจันกับพระเจ้าตากจึงปรากฏเป็นสถานที่สำคัญหลายๆแห่ง
สำหรับสถานที่สำคัญอีกแห่งในจังหวัดจันทบุรีก็คือ "ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ต.วัดใหม่ อ.เมือง ที่คนเมืองจันท์เคารพนับถือและเดินทางมาสักการะกันไม่ได้ขาด
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เดิมเป็นเพียงศาลไม้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ประชาชนชาวจันทบุรีได้ร่วมกันบริจาคเงินสร้างศาลขึ้นใหม่ เป็นศาลทรงเก้าเหลี่ยมสร้างด้วยหินอ่อน พื้นเป็นหินแกรนิต หลังคาเป็นรูปพระมาลายอดแหลมประดับลวดลายทอง สูงประมาณ 17 ม. ภายในประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯในลักษณะประทับนั่งทรงเมือง หล่อด้วยทองเหลืองรมดำ ผนังภายในเขียนลายไทยพุ่มข้าวบิณฑ์ไว้อย่างสวยงาม
ขณะที่ด้านข้างของศาลแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของ"ศาลหลักเมืองจันทบุรี"ที่สันนิษฐานว่า พระเจ้าตากสินทรงสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่เสด็จเข้าเมืองจันทบุรี ซึ่งพวกเราก็ได้สักการะกราบไหว้เป็นการปิดท้ายทริปขอพรพระเจ้าตาก อย่างสุขใจ และหวังว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคงช่วยปกปักษ์รักษาแผ่นดินไทยที่พระองค์ทรงกอบกู้เอกราชคืนมาให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีอริศัตรูผู้ใดมาทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ของพวกเราปวงชนชาวไทยได้เถิด...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เส้นทาง "ขอพระพระเจ้าตาก” เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง "ตามรอยมังกร ขอพรพระเจ้าตาก" ในโครงการ"เที่ยวทั่วไทย สุขใจเสริมมงคล" ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)